26 ก.ย. เวลา 13:14 • ความคิดเห็น

💡 "Saying No" = ไวรัสที่ทำลายองค์กร

(ทำไมคำว่า “ไม่” ในห้องประชุม อาจฆ่านวัตกรรมเร็วกว่าดิสรัปชันใดๆ และบทเรียนจาก “Yes, and…” สู่ภาวะผู้นำยุคใหม่)
====
💥 คำเล็กๆ ที่ฆ่าองค์กรได้?
หลายครั้งการแยก “Talent ตัวจริง” ออกจาก “พนักงานธรรมดา” ไม่ได้อยู่ที่เรซูเม่หรือวุฒิการศึกษา แต่กลับปรากฏจาก ถ้อยคำสั้นๆ ที่พวกเขาเลือกใช้เมื่อเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ คำพูดอย่างเช่น
* “ไม่ได้หรอกครับ”
* “ไม่น่าจะเป็นไปได้”
* “ไม่ใช่หน้าที่ของผม”
* “ไม่รู้จะทำยังไง”
คำเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่การปฏิเสธ แต่คือ การปิดประตูความคิด ในทันที เป็นสัญญาณว่าคนๆ นั้นกำลังตัดสินผลลัพธ์ล่วงหน้าโดยไม่ให้โอกาสตัวเองหรือทีมได้ลอง ซึ่งถ้าเกิดขึ้นในระดับ ผู้นำ ผลกระทบจะรุนแรงกว่าเดิม เพราะมันจะกลายเป็น ไวรัสทางวัฒนธรรม ที่แพร่กระจายลงมาถึงพนักงานทุกระดับ ส่งต่อบรรยากาศแห่งความกลัวและการเลี่ยงความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์คือการเกิด “Zombie Organization” องค์กรที่คนยังคงมาทำงานทุกวัน ทำงานตาม Routine ที่สั่ง แต่ปราศจากชีวิตชีวาและแรงบันดาลใจที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ
งานวิจัยจาก Gallup (2024) ระบุว่า “เมื่อพนักงานรู้สึกว่า ‘เสียงของตัวเองถูกปัดตก’ Engagement จะลดลงถึง 28% และมีโอกาสลาออกสูงขึ้นทันที”
====
🦠 วัฒนธรรม “No” = วงจรที่หยุดการเติบโต
คำว่า “ไม่” สร้างวงจรเชิงลบที่ขยายผลได้กว้างกว่าที่คิด ได้แก่
1. ผลต่อปัจเจก → จิตใต้สำนึกหยุดหาทางแก้ทันที เหมือนบอกตัวเองว่า “อย่าคิดต่อเลย”
2. ผลต่อทีม → สมาชิกเลิกเสนอความเห็น เพราะกลัวถูกปัดตก บรรยากาศห้องประชุมกลายเป็นที่ “เงียบ”
3. ผลต่อองค์กร → Pipeline ของนวัตกรรมแห้งเหือด ความคิดสร้างสรรค์หายไป ทำให้องค์กรเหลือเพียงการทำตาม Routine
รายงาน PwC Global Culture Survey (2024) พบว่า “80% ขององค์กรที่สร้างนวัตกรรมได้ต่อเนื่อง คือองค์กรที่มีวัฒนธรรม ‘เปิดรับ’ (Open Mindset) หมายความว่า พื้นที่ที่ไม่รีบปฏิเสธความคิด มักนำไปสู่ความก้าวหน้าในระยะยาว”
====
🎭 บทเรียนจากเวทีด้นสด คือ พลังของ “Yes, and…”
บนเวทีละครด้นสด (Improvisational Theater) มีกฎเหล็กข้อแรกที่นักแสดงทุกคนต้องท่องขึ้นใจคือ “Yes, and…”
* Yes = การยอมรับสถานการณ์ที่อีกฝ่ายโยนมา ไม่ปฏิเสธทันที
* And… = การต่อยอดสถานการณ์นั้นด้วยการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของเราเอง
เมื่อเปลี่ยนมาสู่โลกธุรกิจ หลักการนี้มีพลังอย่างยิ่ง
* “Yes, but…” = ฆ่าไอเดียทันที เช่น “ใช่ แต่เรายังไม่มีงบ”
* “Yes, and…” = ต่อยอดให้ไอเดียไปต่อ เช่น “ใช่ ไอเดียน่าสนใจนะ และเราอาจเริ่มจากการทดสอบเล็กๆ ก่อนใช้จริง”
Google Project Aristotle ศึกษาทีมงานหลายร้อยทีม และพบว่า Psychological Safety คือปัจจัย #1 ของทีมที่ทำงานได้ดีที่สุด ซึ่ง “Yes, and…” ก็คือวิธีสร้างความปลอดภัยทางใจ ทำให้ทีมกล้าลองผิดลองถูกโดยไม่กลัวถูกตัดสิน
====
🧭 วิธีสร้างวัฒนธรรม “Yes, and…”
1. ผู้นำต้องเป็น Role Model
เมื่อทีมเสนอไอเดียใหม่ อย่าเพิ่งปฏิเสธทันที คำตอบแรกควรสะท้อนการยอมรับและต่อยอด เช่น “ใช่ และถ้าเราลองเริ่มจากเวอร์ชันเล็กๆ ล่ะ?”
2. เปลี่ยนจากตัดสิน → ตั้งคำถาม
จาก “มันทำไม่ได้หรอก” → “อะไรต้องเกิดขึ้นบ้าง มันถึงจะเป็นจริงได้?” คำถามเปิดจะกระตุ้นความคิดแทนการปิดกั้น
3. สร้าง Safe Space ให้การเสนอความคิด
ชื่นชมความกล้าที่เสนอ แม้ไอเดียนั้นไม่ได้ถูกเลือกใช้ เพื่อแสดงว่าสิ่งที่สำคัญคือ การมีส่วนร่วม
4. ให้รางวัลกับการทดลอง ไม่ใช่แค่ความสำเร็จ
ชื่นชมทีมที่ลองวิธีใหม่ ๆ อย่างชาญฉลาด แม้ผลลัพธ์จะไม่สำเร็จ เพราะสิ่งที่ได้มาคือ “การเรียนรู้” และการสร้างทางเลือกใหม่ๆ
Microsoft ในยุค Satya Nadella คือตัวอย่างที่ชัดเจน เขาเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจาก “Know-it-all” ไปสู่ “Learn-it-all” ส่งเสริมให้ทุกคนเปิดกว้างต่อการเรียนรู้และการต่อยอด คล้ายกับการฝึก “Yes, and…” ในระดับองค์กร
====
✨ คำพูด = สัญญาณเชิงวัฒนธรรม
คำพูดของผู้นำไม่ใช่แค่การสื่อสารเฉย ๆ แต่มันคือ การส่งสัญญาณวัฒนธรรม ที่ทรงพลังและแพร่เร็วที่สุด
* ผู้นำที่พูดแต่ “ไม่” = สร้างโลกแห่งข้อจำกัด ความกลัว และความเฉื่อย
* ผู้นำที่ใช้ “Yes, and…” = สร้างโลกแห่งความเป็นไปได้ ความกล้า และนวัตกรรม
ดังนั้น คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า คุณแพร่เชื้อไวรัสหรือไม่?
แต่คือ คุณเลือกแพร่เชื้อแบบไหน —> “ไวรัสแห่งการปฏิเสธ หรือไวรัสแห่งการต่อยอด?”
====
📚 อ้างอิง
* Gallup. (2024). State of the Global Workplace Report 2024. https://www.gallup.com/workplace/349484/state-of-the-global-workplace.aspx
* Google Re:Work. Project Aristotle Findings. https://psychsafety.com/googles-project-aristotle
#วันละเรื่องสองเรื่อง #Leadership #Mindset #YesAnd #Innovation #CorporateCulture #ภาวะผู้นำ #ทัศนคติ
โฆษณา