28 ก.ย. เวลา 06:15 • ธุรกิจ

TikTok U.S. ซื้อ หรือ ปล้น? เมื่อ Donald Trump ทุบราคาเหลือเพียงแค่ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์!

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมแอปพลิเคชันอย่าง TikTok ถึงได้รู้จักตัวตนของเราดีขนาดนั้น?
แค่เราไถหน้าจอดูวิดีโอไม่กี่คลิป มันก็เริ่มเรียนรู้และป้อนเนื้อหาที่เราน่าจะชอบมาให้แบบไม่หยุดหย่อน จนบางครั้งเรารู้สึกว่ามันอ่านใจเราได้
พลังอันน่าทึ่งนี้คือหัวใจของความสำเร็จ ที่ทำให้ TikTok กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมากถึง 170 ล้านคน
เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือบริษัท ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจากประเทศจีน ที่ถูกประเมินมูลค่าไว้สูงกว่าสามแสนล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุค
แต่ในโลกที่ข้อมูลคืออำนาจ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็มักจะมาพร้อมกับคำถามที่ใหญ่กว่าเสมอ
เรื่องราวทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หากเราย้อนกลับไปในยุค 1980 ตอนนั้นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ รู้สึกกังวล ไม่ใช่จีน แต่เป็นญี่ปุ่น
ในยุคนั้น สินค้า “Made in Japan” ทั้งรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า กำลังครองตลาดโลก บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Sony สร้างความฮือฮาด้วยการเข้าซื้อสตูดิโอภาพยนตร์ Columbia Pictures ความกังวลในหมู่ชาวอเมริกันก็เกิดขึ้นในลักษณะคล้ายๆ กัน
คำถามในวันนั้นคือ อิทธิพลทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นของญี่ปุ่น จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอเมริกาหรือไม่
วันนี้ ประวัติศาสตร์กำลังหมุนกลับมาอีกครั้ง แต่สนามรบได้เปลี่ยนไปแล้ว จากโรงงานผลิตรถยนต์และแผ่นฟิล์ม มาสู่สมรภูมิรบที่มองไม่เห็น นั่นคือโลกของข้อมูลและอัลกอริทึม
ความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องวิดีโอเต้นรำ แต่เป็นเรื่องข้อมูลมหาศาลของผู้ใช้งานชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ที่อยู่ในมือของบริษัทสัญชาติจีน
จะเกิดอะไรขึ้นหากข้อมูลเหล่านั้นถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลจีน? นี่คือคำถามที่นำไปสู่จุดแตกหักครั้งสำคัญ
รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ยื่นคำขาด ผ่านกฎหมายที่บังคับให้ ByteDance ต้อง “เลือก” ระหว่างการขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ หรือถูกแบนออกจากประเทศภายในวันที่ 20 มกราคม 2025
นี่ไม่ใช่แค่การต่อรองทางธุรกิจ แต่มันคือเส้นตายที่เดิมพันด้วยอนาคตของแอปพลิเคชันที่ร้อนแรงที่สุดในโลก
Donald Trump ประธานาธิบดีผู้มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับ TikTok เขาคือคนที่เคยพยายามจะแบนแอปนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้งานมันเป็นเครื่องมือหาเสียงอย่างทรงพลัง จนมีผู้ติดตามกว่า 15 ล้านคน
1
และเขาก็เป็นผู้ที่ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ประกาศว่าแผนการขาย TikTok มีความพร้อมแล้ว นี่คือสัญญาณว่ามหากาพย์ที่ยืดเยื้อมานานกำลังจะเดินทางมาถึงบทสรุป
แต่บทสรุปที่ว่านี้ กลับเต็มไปด้วยความน่าประหลาดใจที่ทำให้ทั้งโลกต้องหันมามอง
รองประธานาธิบดี JD Vance ได้ประกาศตัวเลขมูลค่าของบริษัท TikTok ที่จะตั้งขึ้นใหม่ในสหรัฐฯ ไว้ที่ 14,000 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขนี้อาจฟังดูมหาศาล แต่เมื่อเรานำไปวางเทียบกับภาพใหญ่ มันกลับดูน้อยจนน่าใจหาย
ลองจินตนาการตามนะครับ ถ้า ByteDance คืออาณาจักรมูลค่ากว่า 330,000 ล้านดอลลาร์ การขายกิจการในตลาดที่สำคัญที่สุดอย่างสหรัฐฯ ในราคาเพียง 14,000 ล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์อย่าง Dan Ives จาก Wedbush Securities เคยประเมินมูลค่าของ TikTok ในสหรัฐฯ ไว้สูงถึง 3-4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งนั่นเป็นการประเมินแบบที่ยังไม่นับรวม “สมบัติล้ำค่า” ที่สุดของบริษัทเข้าไปด้วยซ้ำ
สมบัติที่ว่านั้นก็คือ Recommendation Algorithm หรือ “SECRET SAUCE” ที่ทำให้ TikTok เสพติดได้อย่างที่มันเป็น
มันคือมันสมองกลที่คอยขับเคลื่อนทุกอย่าง เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีค่าที่สุด และเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทั้งหมดในดีลครั้งนี้
คำถามสำคัญที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ ในข้อตกลงมูลค่า 1.4 หมื่นล้านนี้ ใครกันแน่ที่จะได้ครอบครองมันสมองชิ้นนี้ไป?
ฝั่งทำเนียบขาวของสหรัฐฯ พยายามสร้างภาพที่ชัดเจนว่าชัยชนะเป็นของพวกเขา
คำสั่งของ Trump ระบุว่า อัลกอริทึมจะถูก “ฝึกฝนใหม่” และควบคุมโดยบริษัทอเมริกันทั้งหมด เพื่อรับประกันความปลอดภัยของข้อมูล และยังเปิดเผยรายชื่อกลุ่มทุนที่จะเข้ามาถือหุ้น นำโดยยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์อย่าง Oracle และนักลงทุนชื่อดังอย่าง Michael Dell และ Rupert Murdoch
1
ภาพที่ออกมาคือ TikTok เวอร์ชันใหม่ จะเป็นบริษัทอเมริกันแท้ๆ ที่ดำเนินงานโดยคนอเมริกัน เพื่อชาวอเมริกัน
ฟังดูเหมือนเป็นบทสรุปที่สวยงาม แต่ในอีกฟากหนึ่งของโลก เรื่องเล่ากลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
สื่อของจีนอย่าง LatePost และ Caixin ได้รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าววงในว่า ByteDance ไม่ได้จะถอยออกไปทั้งหมด แต่จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานเบื้องหลัง ทั้งในส่วนของอีคอมเมิร์ซและการเชื่อมต่อกับธุรกิจระหว่างประเทศ
1
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือรายงานข่าวเหล่านี้ถูกลบออกจากโลกออนไลน์ในเวลาต่อมาอย่างเป็นปริศนา ทิ้งไว้เพียงความสงสัยว่าความจริงคืออะไรกันแน่
ความซับซ้อนยังไม่จบเพียงเท่านั้น โครงสร้างการถือหุ้นก็เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าขบคิด
กลุ่มทุนอเมริกันอย่าง Oracle จะถือหุ้นใหญ่ก็จริง แต่ก็จะมีกลุ่ม “ผู้ถือหุ้นเดิม” ของ ByteDance เข้ามาถือหุ้นอีกราว 30% ส่วนตัว ByteDance เองจะถือหุ้นโดยตรงน้อยกว่า 20% เพื่อให้ไม่ผิดกฎหมาย
ตรงนี้คือพื้นที่สีเทาที่น่าสนใจ การมีอยู่ของผู้ถือหุ้นเดิมเหล่านี้ หมายความว่าอิทธิพลของ ByteDance ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงจริงหรือ? หรือเป็นเพียงการปรับโครงสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายเท่านั้น
มหากาพย์ครั้งนี้จึงเดินทางมาถึงจุดที่ดูเหมือนจะจบ แต่กลับยังไม่จบจริง
แม้คำสั่งฝ่ายบริหารจะถูกลงนาม บริษัทใหม่กำลังจะถูกก่อตั้ง และคณะกรรมการบริหารจะมีเสียงข้างมากเป็นชาวอเมริกัน แต่ความสงสัยก็ยังไม่จางหายไป
คำถามสำคัญที่สุดยังคงไร้คำตอบที่ชัดเจน “อัลกอริทึม” จะถูกจัดการอย่างไรกันแน่?
ศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย Alan Rozenshtein ชี้ให้เห็นว่า ประธานาธิบดีได้รับรองดีลนี้ไปแล้ว โดยที่ยังไม่มีใครเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนเลยว่า การ “ฝึกฝนใหม่” ที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
มันคือการสร้างใหม่จากศูนย์ หรือเป็นเพียงการนำของเก่ามาปรับแก้ โดยที่ทรัพย์สินทางปัญญาดั้งเดิมยังเป็นของ ByteDance อยู่?
ฝั่งการเมืองเองก็ยังไม่สงบ สมาชิกรัฐสภาหลายคนยังคงแสดงความกังขาและต้องการเห็นหลักฐานที่ชัดเจนว่านี่คือการ “ตัดขาดจากจีนอย่างสิ้นเชิง” จริงๆ
เรื่องราวของ TikTok จึงเป็นมากกว่าแค่ข่าวธุรกิจ แต่มันคือภาพสะท้อนของปรากฏการณ์ระดับโลกที่เรียกว่า Splinternet
แนวคิดนี้เชื่อว่า อินเทอร์เน็ตที่เคยเป็นหนึ่งเดียวไร้พรมแดน กำลังถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ ด้วย “กำแพงดิจิทัล” ที่มองไม่เห็น ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ดีลของ TikTok อาจกลายเป็นพิมพ์เขียวสำหรับโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต ที่บริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติจะต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ด้านความมั่นคงของแต่ละประเทศ
มันคือโลกที่การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่นวัตกรรมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องดำเนินไปภายใต้กติกาทางการเมืองที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ
หากย้อนกลับไปมองการต่อสู้ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในอดีต สนามรบในวันนั้นคือส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์และเซมิคอนดักเตอร์
แต่ในวันนี้ สนามรบได้เปลี่ยนมาเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและอัลกอริทึมที่ควบคุมความคิดของผู้คน
บทสรุปของเรื่องนี้จึงอาจไม่ใช่ชัยชนะที่เด็ดขาดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ByteDance อาจสูญเสียการควบคุมโดยตรง แต่ก็ยังรักษาตลาดที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ได้ ขณะที่สหรัฐฯ อาจประกาศชัยชนะในการปกป้องข้อมูล แต่ก็ต้องแลกมากับการสร้างบรรทัดฐานที่อาจส่งผลต่อการค้าเสรีในระยะยาว
เรื่องราวของ TikTok ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สมรภูมิรบแห่งศตวรรษที่ 21 กำลังเคลื่อนตัวจากโลกกายภาพเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
ข้อตกลงอาจจะถูกลงนามไปแล้ว แต่สงครามเย็นทางดิจิทัลครั้งใหม่… เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง
References : [reuters, bloomberg, wsj, cnbc, techcrunch]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/tiktok-u-s-buy-or-robbed/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา