29 ก.ย. เวลา 09:34 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 31 ชมอุทยานแห่งใหม่

วันนี้พวกเจี่ยเจินมาแจ้งแก่เจี่ยเจิ้งว่า
“งานในอุทยานเสร็จสมบูรณ์ นายท่านผู้เฒ่าได้ไปชมมาแล้ว รอนายท่านไปดูว่ามีอะไรบกพร่องต้องแก้ไขหรือไม่ จะได้ตั้งป้ายและคำกลอนคู่”
เจี่ยเจิ้งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า “ป้ายนี้กลับเป็นเรื่องยากอยู่ โดยหลักแล้วควรขอประทานจากกุ้ยเฟยจึงเหมาะสม ทว่าหากกุ้ยเฟยยังไม่ได้ชมทิวทัศน์ด้วยตนเอง ก็ยากที่จะตั้งชื่อ ครั้นจะรอกุ้ยเฟยเสด็จมา สถานที่อันกว้างใหญ่ ศาลามากมาย ก็จะไร้ป้ายอักษร ถึงจะมีต้นหลิ่วบุปผาธาราเขา ก็มิสง่างามเฉิดฉาย”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ 清客(ชิงเค่อ)ยิ้มแล้วตอบว่า
“ความเห็นของผู้อาวุโสชอบแล้ว พวกข้าขอเสนอว่า ป้ายและคำกลอนคู่นั้นมิอาจขาดได้ ตอนนี้เราก็เขียนคำตามทัศนียภาพเพียงสอง สาม หรือสี่อักษรลงบนโคม ใช้โคมเป็นป้ายและโคมกลอนคู่ไปชั่วคราวก่อน รอกุ้บเฟยเสด็จมา ค่อยเชิญให้ตั้งชื่อ เพียงนี้ก็เรียบร้อย”
เจี่ยเจิ้งจึงว่า “ความเห็นไม่เลว วันนี้พวกเราก็สำรวจดูแล้วคิดคำที่เหมาะสม หากยังไม่เหมาะ ก็เชิญหวี่ชุน 雨村 มาช่วยคิดอีกที”
เหล่าแขกไม้ประดับยิ้มว่า “วันนี้ผู้อาวุโสคงหาคำเหมาะสมได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนหวี่ชุน”
เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า “พวกท่านไม่รู้อะไร แต่เด็กข้าไม่สันทัดชมนกชมไม้ เขียนได้พื้นพื้น ยิ่งเดี๋ยวนี้มีอายุ ทำงานเห็นเอกสารจนเหนื่อยล้า ยิ่งถอยห่างจากอารมณ์เชิงอักษร คิดคำออกมาคงทื่อๆ ทำต้นไม้ใบหญ้าศาลาหมอง หมดความหมายไป”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ว่า “หาเป็นไรไม่ ท่านคิดออกมา พวกเราช่วยกันออกความเห็น ที่ดีก็คัดไว้ ที่ไม่ดีก็ทิ้งไป ทำไมจะไม่ได้”
เจี่ยเจิ้งว่า “ที่ว่ามาก็ถูก วันนี้อากาศดี พวกเราไปกันเถิด”
กล่าวจบก็ลุกขึ้น จะพากันไปชมอุทยาน มีเจี่ยเจินเดินล่วงหน้าเข้าไปแจ้งพวกในอุทยานให้รู้ก่อน
ให้บังเอิญว่า วันนี้เป่าวี่หดหู่คิดถึงฉินจง แม่เฒ่าเจี่ยจึงให้คนพาเข้ามาเที่ยวชมอุทยานแห่งใหม่ เพิ่งมาถึงก็เห็นเจี่ยเจินเดินเข้ามา แม่เฒ่าจึงยิ้มกับเป่าวี่ว่า
“เจ้ารีบออกไปก่อน สักครู่พ่อเจ้าจะมา”
เป่าวี่จึงนำพวกแม่นมและสาวใช้รีบออกจากสวน พอเลี้ยวหัวมุมก็พบเจี่ยเจิ้งเดินนำพวกแขกมา หลบไม่ทัน จึงหยุดยืนรอ เจี่ยเจิ้งเคยได้ฟังไต้หยู 代儒 เอ่ยชมเป่าวี่ว่า ถึงจะไม่ค่อยขยันเรียน แต่เขียนกลอนคู่สัมผัสได้ดีนัก จึงอยากทดสอบดู เรียกให้เป่าวี่ตามเข้ามาในอุทยาน เป่าวี่จึงเดินตามมาโดยยังไม่รู้เจตนา
เมื่อมาถึงอุทยาน เห็นเจี่ยเจินนำกลุ่มคนงานยืนรออยู่
เจี่ยเจิ้งว่า “ปิดประตูอุทยาน พวกเราจะดูด้านนอกก่อนจะเข้าไปข้างใน”
เจี่ยเจินสั่งให้ปิดประตูอุทยาน ประตูมีห้าช่องประตู เจี่ยเจิ้งสำรวจกระเบื้อง ลายสลัก สีกำแพง อิฐประดับ แล้วให้เปิดประตู ก้าวเข้าสู่ด้านใน ตั้งขวางตรงหน้าคือแนวเนินเขาจำลองสีมรกต เหล่าแขกไม้ประดับพากันชมว่า “เขางาม เขางาม”
เจี่ยเจิ้งว่า “หากไม่มีเนินเขานี้ พอเข้ามาก็แลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในอุทยาน แล้วยังจะมีอันใดน่าสนใจ”
เหล่าแขกไม้ประดับว่า “จริงอย่างยิ่ง หากไม่มีความละเมียดในใจ คงนึกไม่ถึงเหตุผลนี้”
พอมองถัดไปด้านหน้าก็เห็นหินประดับสีขาวรูปร่างประหลาด บ้างก็คล้ายสัตว์ ตั้งอยู่เรียงราย ด้านบนมีตะไคร่ขึ้นเป็นลายบ้าง มีเถิงหลอ(วิสทีเรีย)พาดบังบ้าง หว่างกลางมีทางน้อยทอดคดเคี้ยว
เจี่ยเจิ้งว่า “พวกเราเดินตามทางนี้ไป แล้วกลับมายังทางออกอีกด้าน ก็จะได้ชมทั่วบริเวณ”
กล่าวจบก็บอกให้เจี่ยเจินนำทาง และพยุงเป่าวี่เดินเข้าปากช่องเขา เงยหน้ามองเห็นหินสีขาวขัดเงาดังกระจกก้อนหนึ่งอยู่ด้านบน เจี่ยเจิ้งหันกลับมายิ้มว่า
“ทุกท่านเห็นว่า ที่ตรงนี้ควรตั้งชื่อว่าอะไรจึงเข้าที”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ช่วยกันออกความเห็นว่า มรกตซ้อนบ้าง ผาแพรไหมบ้าง เฉกเซียงหลู(เขาเซียงหลูที่เจียงซี)บ้าง จงหนานน้อย(เขาจงหนานที่ส่านซี)บ้าง สิบกว่าชื่อ แต่ทุกคนรู้ดีว่า แท้จริงแล้ว เจี่ยเจิ้งต้องการทดสอบความสามารถของเป่าวี่ จึงตั้งกันสะเปะสะปะ เป่าวี่เองก็เข้าใจสถานการณ์
เจี่ยเจิ้งหันมาถามเป่าวี่ให้ลองตั้งชื่อ
เป่าวี่ว่า “เคยได้ฟังคำโบราณว่า
编新不如述旧,刻古终胜雕今。
แต่งใหม่มิสู้ตามเก่า สลักเก่าเหนือกว่าเสลาใหม่
อย่าว่าแต่จุดนี้ไม่ใช่จุดชมทัศนียภาพหลัก ไม่ได้เจตนาไว้แต่แรก เป็นเพียงจุดชมหว่างทางผ่าน น่าจะใช้คำที่คนเก่าเคยจารึกไว้ว่า
“曲径通幽处 ทางลดเลี้ยวสู่แดนลับแล”
เขียนไว้ด้านบนก็ดูเหมาะสม”
พวกแขกพากันชมว่า “ใช่จริงๆ ดียิ่งนัก คุณชายรองมีพรสวรรค์ คมคายนัก ต่างจากพวกเราที่เป็นเพียงหนอนตำรา”
เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า “พวกท่านอย่าชมจนเหลิงไป เขายังอายุน้อย เป็นเพียง รู้หนึ่งไปใช้สิบ 一知充十用 สนุกๆ เท่านั้น ไว้ค่อยเลือกเอาใหม่”
แล้วพากันเดินมาถึงถ้ำศิลา เห็นใบไม้ร่มรื่น ดอกไม้แปลกตาบานสะพรั่ง ลำธารใสไหลหว่างแมกไม้แทรกผ่านรอยแยกของหินโจนลงเป็นขั้นๆ แล้วค่อยๆ ไหลไปทางเหนือ ผ่านที่ราบกว้างขวาง สองข้างธารเป็นหอสูงเสียดฟ้า สันหลังคาและคานสลักลาย ซ่อนตัวอยู่หว่างเวิ้งเขาและยอดไม้ ก้มมองเห็นลำคลองใสดังหยก ขั้นบันไดหินทอดสู่เมฆ ราวหินสีขาวล้อมรอบขอบสระ สะพานหินโค้งสามซุ้ม ใบหน้าสัตว์พ่นน้ำ
ขบวนของเจี่ยเจิ้งเข้ามาในศาลาบนสะพาน เจี่ยเจิ้งว่า
“พวกท่านเห็นควรตั้งชื่อจุดนี้ว่าอะไร”
เหล่าแขกว่า “ใน 《บันทึกศาลาเฒ่าเมามาย 醉翁亭记》 ของโอวหยางกง 欧阳公 มีเขียนว่า “มีศาลาสกุณากางปีก 有亭翼然” ก็ใช้ชื่อว่า “สกุณากางปีก 翼然” คงเหมาะสม”
เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า “สกุณากางปีก แม้นไพเราะ ทว่าศาลานี้อยู่เหนือสระน้ำ ควรมีชื่อที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ตามความเห็นของข้า โอวหยางกงมีกล่าวว่า “เชี่ยวกรากหว่างสองยอดผา 泻于两峰之间” น่าจะใช้คำว่า เชี่ยวกราก 泻”
แขกผู้หนึ่งว่า “ดียิ่ง ใช้ชื่อว่า “หยกเชี่ยวกราก 泻玉” วิเศษนัก”
เจี่ยเจิ้งลูบเคราไตร่ตรอง แล้วบอกให้เป่าวี่ลองตั้งชื่อดู
เป่าวี่ว่า “ท่านพ่อกล่าวเมื่อครู่ถูกต้องอยู่ เมื่อพิจารณาว่า โอวหยางกงกล่าวถึง สระสุรา ใช้คำว่า เชี่ยวกราก ก็เหมาะสม ทว่าสระนี้หากใช้ว่า เชี่ยวกราก คงไม่เหมาะนัก สถานที่แห่งนี้คือพระตำหนักเยี่ยมญาติ ใช้คำนี้ออกฟังดูหยาบโลนไม่สง่างาม ขอให้พิจารณาใหม่ให้ฟังดูสุภาพอ่อนโยน”
เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า “พวกท่านเห็นว่าอย่างไร เมื่อครู่พอมีคนแต่งใหม่ เจ้าว่ามิสู้ตามเก่า บัดนี้พวกเราตามเก่า เจ้ากลับว่าหยาบโลนไม่เหมาะสม เช่นนั้นเจ้าลองว่าของเจ้ามา”
เป่าวี่ว่า “แทนคำว่า “หยกเชี่ยวกราก” มิสู้ใช้คำว่า “หอมซาบซ่าน 沁芳 (ชิ่นฟาง)” สง่างามกว่า”
เจี่ยเจิ้งผงกหัวลูบเคราไม่พูดจา เหล่าแขกต่างเห็นด้วย กล่าวชมเป่าวี่ว่าไม่ธรรมดา
เจี่ยเจิ้งว่า “สองอักษรบนป้ายนั้นไม่ยาก เช่นนั้นลองแต่งคำกลอนคู่เจ็ดอักษรดู”
เป่าวี่มองไปโดยรอบ จำใส่ใจแล้วท่องคำกลอนว่า
“绕堤柳借三篙翠,隔岸花分一脉香。
หลิ่วรอบสระ มรกตทอ สามถ่อหยั่ง
มาลีสองฝั่ง เสาวคนธ์ ชลธารฟุ้ง”
เจี่ยเจิ้งฟังแล้วยิ้มผงกศีรษะ เหล่าแขกต่างชื่มชม
ออกจากศาลาข้ามสระมา ภูผา ศิลา พฤกษา มาลี นานาตระการตา พลันเห็นแนวกำแพงสีฝุ่นเบื้องหน้า มีหมู่อาคารสวยงามหลายหลัง ตั้งอยู่กลางทิวไผ่นับร้อยพันบังร่มเงา ต่างพากันชมเปาะ “สถานที่งดงามยิ่ง”
เดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน เป็นระเบียงคดเคี้ยว ลงบันไดเป็นทางเดินปูด้วยหินนำไปยังอาคารขนาดเล็กมีสามห้อง สองห้องมีประตู ห้องหนึ่งไม่มี เครื่องเรือนด้านในออกแบบกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ห้องด้านในมีประตูเล็กเปิดไปสู่สวนหลังมีต้นดอกสาลี่ขนาดใหญ่และต้นกล้วยใบกว้าง มีเรือนเล็กสองหลัง กำแพงด้านหลังมีช่องเปิดให้ลำธารขนาดเล็กนำน้ำเข้ามาในสวนเลื้อยอ้อมเรือนลอดดงไผ่ไปยังลานด้านหน้า
เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า “สถานที่นี้งามยิ่งนัก หากได้มานั่งอ่านหนังสือริมหน้าต่างใต้แสงจันทร์ยามราตรีคงไม่เสียชาติเกิด”
กล่าวแล้วก็มองมายังเป่าวี่เห็นก้มหน้าอยู่
เหล่าแขกหาเรื่องสนทนา คนหนึ่งว่า “ควรตั้งชื่อป้ายที่นี่ด้วยสี่อักษร”
เจี่ยเจิ้งยิ้มถาม “สี่อักษรใด”
คนหนึ่งว่า “มรดกลุ่มน้ำฉี 淇水遗风”
เจี่ยเจิ้งว่า “สามัญ”
อีกคนหนึ่งว่า “มรดกอุทยานซุย 睢园遗迹”
เจี่ยเจิ้งว่า “ยังสามัญ”
เจี่ยเจินยืนฟังอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “น้องเป่าวี่ลองว่าดู”
เจี่ยเจิ้งว่า “เขายังไม่ทันได้คิด คอยแต่วิจารณ์ดีชั่วของผู้อื่น เห็นได้ว่าเป็นคนอวดดี”
เหล่าแขกไม้ประดับว่า “บุตรชายท่านวิจารณ์ได้ดี ไม่ควรตำหนิ”
เจี่ยเจิ้งว่า “พวกท่านอย่าคอยให้ท้ายเขา”
แล้วกล่าวกับเป่าวี่ว่า “วันนี้ให้เจ้าพูดเหลวไหลได้ ลองวิจารณ์มาก่อนแล้วค่อยแต่ง เมื่อครู่ที่เขากล่าวกันมา มีชื่อใดเหมาะสมหรือไม่”
เป่าวี่ว่า “ไม่มีชื่อใดเหมาะ”
เจี่ยเจิ้งยิ้มเยาะว่า “เหตุใดไม่เหมาะ”
เป่าวี่ว่า “นี่เป็นสถานที่รับเสด็จ ควรใช้คำสรรเสริญ หากใช้ป้ายสี่อักษร มีคนเก่าตั้งไว้ดีแล้ว หาจำต้องคิดใหม่”
เจี่ยเจิ้งว่า “หรือว่า “น้ำฉี 淇水” “อุทยานซุย 睢园” หาใช่คำคนเก่า”
เป่าวี่ว่า “กระด้างเกินไป ไม่เหมือน 有凤来仪 หงสายุรยาตร”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ต่างชมว่าวิเศษ
เจี่ยเจิ้งผงกหัวว่า “เดรัจฉาน นี่เรียกว่า มองโลกในกะลา 管窺蠡測 (มองโลกลอดน้ำเต้า ใช้กระบวยตวงทะเล)”
แล้วสั่งต่อว่า “แต่งคำกลอนคู่มา”
เป่าวี่ท่องว่า
“宝鼎茶闲烟尚绿,幽窗棋罢指犹凉。
ติ่งต้มชา ชาหมดแล้ว ควันเขียวตรึม
หน้าต่างครึ้ม หมากรุกจบ นิ้วยังเย็น”
เจี่ยเจิ้งสั่นหัวว่า “นี่ไม่ดีเท่าไร”
กล่าวจบก็พาคนเดินกลับออกมา พอจะเดินกันต่อ นึกขึ้นมาได้ ถามเจี่ยเจินว่า
“พวกโต๊ะเก้าอี้ตู้ต่างๆ ตามห้องหับนับว่ามีพร้อม ยังมีพวกผ้าม่าน ผ้าคลุม เครื่องตกแต่ง ได้จัดหาให้เข้าชุดกันหรือยัง”
เจี่ยเจินว่า “พวกเครื่องตกแต่งได้มาแล้วหลายสิ่ง เมื่อถึงเวลาย่อมจัดวางให้เหมาะสม สำหรับพวกผ้าคลุม ผ้าม่าน เมื่อวานฟังน้องเจี่ยเหลียนว่ายังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่ได้วาดแบบไว้ วัดขนาดไว้อย่างเที่ยงตรง ส่งไปให้ตัดเย็บ คิดว่าถึงเมื่อวานคงได้มาแล้วสักครึ่ง”
เจี่ยเจิ้งได้ฟังก็รู้ว่านี่ไม่ได้อยู่ในการดูแลของเจี่ยเจิน จึงส่งคนไปตามตัวเจี่ยเหลียน พอมาถึง เจี่ยเจิ้งถามว่า
“ทั้งหมดมีกี่รายการ ได้มาแล้วกี่รายการ เหลืออีกกี่รายการ”
เจี่ยเหลียนหยิบใบรายการออกมาจากกระบอกเก็บข้างรองเท้าทรงสูง มาอ่านรายการผ้าม่าน ผ้าคลุมต่างๆ ให้เจี่ยเจิ้งฟัง แล้วสรุปว่า
“ทุกอย่างได้มาแล้วอย่างละครึ่ง ไม่เกินฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้มาครบ พวกผ้าคลุมเก้าอี้ ผ้าคลุมโต๊ะ ผ้าคลุมเตียง เบาะนั่ง อย่างละหนึ่งพันสองร้อยชิ้น ก็ได้มาครบแล้ว”
เดินไป รายงานไป จนมาถึงเขาเขียวลูกหนึ่ง เลี้ยวเข้ามาในโอบเขา กำแพงสีเหลืองค่อยๆ ปรากฎแก่สายตา บนกำแพงมีต้นข้าวคลุมไว้ มีต้นดอกซิ่ง 杏花 นับร้อยต้น ดูราวฟ้าแดงด้วยแสงไต้ หลังกำแพงมีกระท่อมหญ้าอยู่หลายหลัง ด้านนอกมีต้นหม่อน ต้นหวี 榆 ต้นจิ่น 槿 ต้นเจ้อ 柘 ยืนต้นเป็นแนว กิ่งถูกดัดมาพันกันจนกลายเป็นรั้วต้นไม้สองแถว ใต้เนินนอกรั้ว มีบ่อน้ำก่อจากดิน ข้างบ่อมีถังน้ำและกว้าน ถัดไปจนสุดสายตาที่ดินกั้นคันนาเป็นแปลงๆ ปลูกพืชผัก
 
เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า “สถานที่นี้แม้จะสร้างขึ้น แต่เห็นแล้วนึกอยากกลับไปทำไร่”
กล่าวจบจะเดินเข้าไปด้านใน พลันเห็นหินก้อนหนึ่งริมทางนอกประตูรั้ว ตั้งไว้สำหรับจารึกอักษร เหล่าแขกไม้ประดับว่า
“วิเศษ ที่นี่หากแขวนป้ายขวางสำหรับจารึกชื่อกลับไม่เข้ากับบรรยากาศท้องไร่ท้องนา ตั้งเป็นหลักศิลาสวยงามเหมาะสม แม้บทกวีชนบทของฟ่านสือหู 范石湖 ยังไม่เพียงพอบรรยายความ”
เจี่ยเจิ้งว่า “ทุกท่านเชิญตั้งชื่อ”
เหล่าแขกว่า “เมื่อครู่บุตรชายท่านกล่าวอ้างถึง “แต่งใหม่มิสู้ตามเก่า” เราเรียกตามที่คนเก่าเคยเรียกว่า “บ้านดอกซิ่ง 杏花村” คงเข้าที”
เจี่ยเจิ้งฟังแล้ว หันมายิ้มกับเจี่ยเจินว่า “นี่ทำให้ข้านึกขึ้นมาได้ว่า ที่นี่น่าจะมีธงสุรา พรุ่งนี้เจ้าก็ทำมาสักผืน ไม่ต้องสวยงามมาก เอาตามแบบที่ใช้กันตามหมู่บ้าน ใช้ด้ามไม้ไผ่ปักไว้บนยอดไม้”
เจี่ยเจินรับปาก แล้วว่า “เลี้ยงเป็ดไก่ห่านที่นี่ด้วยคงเหมาะ ไม่ต้องเลี้ยงพวกนก”
พวกเจี่ยเจิ้งต่างเห็นด้วยว่าเหมาะ
เจี่ยเจิ้งว่า “บ้านดอกซิ่ง 杏花村 เป็นชื่อที่ดี แต่ก็ตรงเกินไป อีกทั้งควรรอขอให้ทรงตั้งด้วย”
เหล่าแขกว่า “จริงด้วย ตอนนี้ตั้งชื่อลำลองไปก่อนว่าอย่างไรดี”
เป่าวี่อดไม่ไหว ไม่รอให้เจี่ยเจิ้งถาม ชิงเสนอว่า
“มีบทกลอนเก่าว่า
“红杏梢头挂酒旗 เหนือยอดซิ่งแดงแฝงธงสุรา”
ตั้งว่า “杏帘在望 ธงสุราม่านดอกซิ่ง” (望 ม่านหรือธงร้านเหล้า)”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ว่า “ดี มองที่ธงก็สื่อถึงชื่อ บ้านดอกซิ่ง”
เป่าวี่ยิ้มหยันว่า “ชื่อหมู่บ้านใช้ว่า “ดอกซิ่ง” สามัญนัก ในบทกวีถังมีว่า
“柴门临水稻花香 ประตูไม้ชายน้ำหอมรวงข้าว”
ใช้ชื่อ “บ้านข้าวหอม 稻香村 (เต้าเซียงชุน)” มิดีหรือ”
เหล่าแขกได้ฟัง ต่างปรบมือชมว่าดี
เจี่ยเจิ้งตวาดว่า “เดรัจฉานไม่รู้ความ เจ้ารู้บทกวีเก่าสักกี่บท กล้ามาทำขายหน้าต่อหน้าเหล่าครูบาอาจารย์ เมื่อครู่อนุญาตให้เจ้ากล่าวเหลวไหล ก็เพียงอยากทดสอบความรู้เล่นๆ เจ้ากลับถือเป็นจริงจัง”
ตอนก่อนหน้า : ยมบาลสั่งให้เจ้าตายยามสาม
ตอนถัดไป : ชมอาคาร

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา