2 ต.ค. เวลา 09:45 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 32 ชมอาคาร

เจี่ยเจิ้งนำคณะเดินเข้าไปในโถงมุงหญ้า ด้านในเป็นหน้าต่างกระดาษม้านั่งไม้ ไม่มีร่องรอยความหรูหราร่ำรวย เจี่ยเจิ้งรู้สึกสุขใจมาก จับตามองเป่าวี่แล้วว่า
“ที่นี่เป็นเช่นไร”
เหล่าแขกไม้ประดับช่วยกันดุนเป่าวี่ให้ตอบว่าดี เป่าวี่ไม่สนใจ กลับตอบว่า
“มิอาจสู้ “หงสายุรยาตร” ผิดกันลิบลับ”
เจี่ยเจิ้งว่า “เฮ้อ โง่เขลาเบาปัญญา เจ้ารู้จักแต่ตึกแดงคานเขียน เห็นความหรูหราเป็นความงาม ไม่รู้จักความสงบเรียบง่าย ก็เพราะไม่รักเรียนรู้ดูหนังสือ”
เป่าวี่รีบตอบว่า “ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้อง ทว่าคำเก่าว่า “ธรรมชาติ” มิทราบมีความหมายใด”
เหล่าแขกอุปถัมภ์เห็นเป่าวี่ยังคงรั้น เกรงว่าจะหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มขึ้น พอมาถามถึงคำว่า “ธรรมชาติ” จึงช่วยกันตอบว่า
“คุณชายเข้าใจทุกอย่าง เหตุใดกลับมาถามถึง “ธรรมชาติ” ธรรมชาตินั้นเป็นไปตามฟ้ากำหนด หาใช่จากการกระทำของมนุษย์”
เป่าวี่ว่า “ถ้าเช่นนั้น แปลงไร่นาบนที่ผืนนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากแรงงานมนุษย์ ไกลออกไปไร้หมู่บ้าน ใกล้ไม่มีกำแพงเมือง บนเขาไม่มีสัน น้ำไม่มีตาน้ำ ด้านบนไม่มีวัดและเจดีย์ ด้านล่างไม่มีสะพานร้านตลาด โผล่มาอยู่โดดๆ ดูพิลึก จะเรียกว่าเป็นธรรมชาติได้อย่างไร คำเก่าว่า “ธรรมชาติวาดมา” เกรงว่าหาใช่ปรับที่ให้เป็นที่ ก่อเขาให้เป็นเขา แม้จะแนบเนียนปานใด ก็ไม่กลมกลืน……”
กล่าวไม่ทันจบ เจี่ยเจิ้งตวาดว่า “ออกไป”
พอก้าวออกไป กลับมีเสียงตวาดมาอีกว่า “กลับมา”
แล้วสั่งว่า “แต่งกลอนคู่ ถ้าไม่เข้าท่า ต้องถูกตบปาก”
เป่าวี่กลัวลาน เงอะงะอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงท่องว่า
新绿涨添浣葛处,好云香护采芹人。
วสันตอุทกยกระดับคุณธรรมกุลธิดา
เมฆมังคลาปกป้องคุ้มครองผองบัณฑิต
(浣葛 ตามอักษรแปลว่า ล้างใยป่าน ปรากฏในคำภีร์ซือจิง 诗经 เล่าเรื่องสตรีกลับบ้านชนบทแสดงคุณธรรม 浣葛 จึงนำมาใช้สื่อความหมายถึง คุณธรรมสตรี)
(采芹 ตามอักษรแปลว่า เก็บคึ่นไช่ จากซือจิง เช่นกัน สื่อความหมายถึง ผู้ที่สอบไล่ได้เป็นสิ้วไฉ 秀才 หรือบัณทิต)
(浣葛 และ 采芹 ในที่นี้จึงแฝงความหมายสื่อถึงเหล่า กุลธิดา กุลบุตร แห่งบ้านสกุลเจี่ย)
เจี่ยเจิ้งฟังแล้วสั่นหัวว่า “ยิ่งไม่เอาไหน”
กล่าวแล้วก็เดินนำกลับออกมา เลี้ยวอ้อมเนินข้ามแปลงไม้ดอกไม้ผล ลัดเลาะเขาและธารผ่านศาลาโบตั๋น สวนเสาเหย้า ลานกุหลาบ พลันได้ยินเสียงน้ำไหลรินออกมาจากถ้ำหิน ฝอยทอง 女萝 ห้อยย้อยเหนือปากถ้ำ ร่วงหล่นลงลำธาร
คณะเดินทางต่างชม “งดงามจริง”
เจี่ยเจิ้งว่า “ทุกท่านเห็นว่าควรตั้งชื่อใด”
เหล่าแขกว่า “ไม่ต้องตั้งใหม่แล้ว ที่นี่คือ “ขุนน้ำอู่หลิง 武陵源” โดยแท้”
เจี่ยเจิ้งหัวเราะว่า “ใช่ก็จริง แต่โบราณไปสักหน่อย”
เหล่าแขกว่า “เช่นนั้นใช้ว่า “กระท่อมเก่าชาวฉิน 秦人旧舍” ดีไหม”
เป่าวี่ว่า “ยิ่งพิลึกใหญ่ “กระท่อมเก่าชาวฉิน” เป็นเหมือนที่ลี้ภัย น่าจะใช้ว่า “หาดไผ่น้ำฝั่งมาลี 蓼汀花溆” สี่อักษร”
เจี่ยเจิ้งว่า “ยังจะมาเหลวไหลอีก”
แล้วเดินนำเข้าไปในถ้ำ หันมาถามเจี่ยเจินว่า “มีเรือไหม”
เจี่ยเจินว่า “มีเรือเก็บดอกบัวอยู่สี่ลำ เรือนั่งหนึ่งลำ ยังต่อไม่เสร็จ”
เจี่ยเจิ้งหัวเราะว่า “เสียดายเข้าไปไม่ได้แล้ว”
เจี่ยเจินว่า “บนเขามีทางเข้าไปได้”
กล่าวจบก็ออกนำคณะไต่ต้นไม้โหนเถาวัลย์เข้าไป เห็นน้ำยิ่งใส ดอกไม้ร่วงยิ่งมาก น้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ลำธารคดเคี้ยว ต้นหลิ่วพลิ้วใบเป็นสายสองฝั่งธาร ต้นเถาต้นซิ่งยืนต้นขนัด ยอดไม้บดบังฟ้า ใต้ร่มหลิ่วมีสะพานไม้ลูกกรงแดง ข้ามสะพานไปก็เห็นว่าทางทุกสายพากันมารวมกันที่นี่ มีอาคารหลังคามุงกระเบื้องแห่งหนึ่งล้อมด้วยกำแพงอิฐสีเดียวกัน
หลังคากระเบื้องกำแพงเขียนลาย เขาใหญ่ลูกหนึ่งสันเขาแยกสาขาลอดกำแพงไปยังอีกด้าน
เจี่ยเจิ้งว่า “เรือนแห่งนี้ ดูรสนิยมจืดชืด”
พอเดินข้ามกำแพงเข้าไปด้านใน เห็นหินแปลกสูงเสียดฟ้า ล้อมรอบทิศด้วยหินแปลกต่างๆ บังเอาตัวเรือนที่ตั้งอยู่เสียมิด ไม้ต้นไม้พุ่มไม่มีสักต้น แต่มีไม้เลื้อยหญ้าหอมแปลกตาหลายชนิด มีทั้งที่พันกัน ทั้งเลื้อย ห้อยย้อยมาจากยอดหิน แทรกหิน ห้อยย้อยมาจากคานหรือพันรอบเสา เลื้อยพันไปตามบันได บ้างดูดังใบหยกกวัดไกว บ้างดูเหมือนเชือกทองเดินลาย กลิ่นหอมประหลาด หอมดอกไม้มิอาจเปรียบ
เจี่ยเจิ้งว่า “หอมสดชื่นนัก แต่แทบจะไม่รู้จัก”
แขกบางคนว่า “คงเป็นเถิงหลอฝอยทอง”
เจี่ยเจิ้งว่า “เถิงหลอฝอยทองไม่ได้หอมประหลาดดังนี้”
เป่าวี่ว่า “ที่จริงก็ไม่ใช่ แม้ในนี้จะมีเถิงหลอฝอยทอง แต่กลิ่นหอมนี้มาจาก ตู้ย่อ 杜若 และเหิงอู๋ 蘅芜(ขิงป่า) นี่คงเป็นกล้วยไม้ นี่คงเป็นจินเก๋อ 金葛 นั่นจินเฉ่า 金草 นี่วี่เถิง 玉藤 สีแดงนั่นจื่อหยุน 紫芸 สีเขียวนั่นชิงจื่อ 青芷 ทำให้คิดถึงหญ้าแปลกๆ อีกมากที่กล่าวถึงในบทกวี หลีเซา 离骚 เหวินเสวี่ยน 文选 บทกวีเมืองอู๋ 吴都赋 บทกวีเมืองสู่ 蜀都赋 วันเวลาผ่านไป เดิมเคยตั้งชื่อตามลักษณะ มาบัดนี้เปลี่ยนชื่อเรียกกันไป…”
กล่าวไม่ทันจบ เจี่ยเจิ้งตวาดว่า “ใครถามเจ้า”
เป่าวี่กลัวจนกระถดถอยหลัง ไม่กล้ากล่าวอะไรต่อ
เจี่ยเจิ้งสังเกตเห็นระเบียงทางเดินมีอยู่สองฟากเหมือนสองแขนที่ยื่นออกมา จึงเดินตามระเบียงไปถึงอาคารห้าห้อง บังตาม้วนขึ้น รอบด้านมีระเบียง หน้าต่างสีเขียว กำแพงลงน้ำมัน ดูแตกต่างกับอาคารงามสง่าที่เห็นมาก่อนหน้า
เจี่ยเจิ้งถอนหายใจว่า “มานั่งดีดพิณดื่มชาในศาลานี้ ไม่จำเป็นต้องจุดเครื่องหอม การออกแบบอาคารนี้ออกจะนอกเหนือความคาดหมาย ทุกท่านคงมีชื่อที่ดีมาตั้ง”
เหล่าแขกยิ้มว่า “อย่างเช่น “กล้วยไม้ต้องลมชมน้ำค้าง 兰风蕙露” ตรงประเด็นยิ่ง”
เจี่ยเจิ้งว่า “สี่อักษรนี้เหมาะสม แล้วคำกลอนคู่เล่า”
แขกผู้หนึ่งว่า
ชะมดกล้วยไม้หอมฟุ้งลานตะวัน
ตู้ย่อจรุงกลิ่นเกาะจันทร์แจ่ม
อีกผู้หนึ่งว่า
กล้วยไม้หยกหอมขจรตามทางเดิน
กล้วยไม้ทองเพลินตาสวนจันทร์แจ่ม
ต่างคนต่างเสนอแต่ยังไม่เป็นที่ถูกใจ สุดท้ายมองมายังเป่าวี่ที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้างไม่กล้าส่งเสียง
เจี่ยเจิ้งตวาดว่า “ถึงเวลาพูดกลับนิ่งอมพะนำ ต้องให้เชื้อเชิญหรืออย่างไร”
เป่าวี่จึงตอบว่า “ที่นี่ไม่มีทั้ง ชะมด จันทร์แจ่ม หรือ เกาะแก่ง ตามที่กล่าวถึง หากนำมาใช้ได้ก็แต่งได้ไม่รู้จบ”
เจี่ยเจิ้งว่า “แล้วใครไปข่มหัวเจ้า ให้ใชัคำพวกนี้เล่า”
เป่าวี่ว่า “ถ้าเช่นนั้น บนป้ายใช้ว่า “เหิงจื่อระรื่น 蘅芷清芬’” สี่อักษร ส่วนคำกลอนคู่ว่า
吟成豆蔻才犹艳,睡足荼蘼梦亦香。
เรียกขานดอกโต้วโค่วยามแรกรุ่น
กรุ่นกลิ่นกุหลาบถูหมีแม้หลับฝัน”
(ดอกโต้วโค่ว 豆蔻 (ดอกกระวาน) เรียกว่าดอกไม้ในครรภ์ 含胎花 แรกผลิดอกจะห่อตัวกลางใบอ่อน จึงเปรียบเป็นสาวรุ่นเพิ่งเบ่งบาน
ดอกถูหมี 荼蘼 (สกุลกุหลาบ)มีกลิ่นหอม เป็นดอกไม้บานปลายฤดูใบไม้ผลิ บานช้าในขณะที่ดอกไม้อื่นร่วงแล้ว จึงมีความหมายถึง ความงามที่สิ้นสุดลง)
เจี่ยเจิ้งหัวเราะว่า “เจ้าแค่แปลงมาจาก “บทกวีบนใบตอง 书成蕉叶” ไม่วิเศษกระไร”
เหล่าแขกแย้งว่า “บทกวี “หอเฟิ่งหวง 凤凰台” ของหลี่ไป๋ 李白 ก็แปลงมาจาก “หอกระเรียนเหลือง 黄鹤楼” ของชุยเฮ่า 崔颢 หากพิจารณาดูคำกลอนคู่ของคุณชายยังสละสลวยกว่าบทกวีบนใบตอง”
เจี่ยเจิ้งหัวเราะว่า “มีเช่นนี้ด้วยหรือ”
ทั้งคณะกลับออกมา เดินทางต่อมาได้ไม่ไกลนัก เห็นหอสูงใหญ่มีหลายชั้น เส้นทางคดเคี้ยวโอบโดยรอบ ยอดสนไล้ชายคา หัวสัตว์สีทองอร่าม หัวมังกรหลีหลากสี เจี่ยเจิ้งว่า
“นี่คือพระตำหนักประธาน ประดับตกแต่งฟุ้งเฟ้อไปสักหน่อย”
เหล่าแขกว่า “สมควรเป็นเช่นนั้น แม้กุ้ยเฟยจะทรงส่งเสริมความมัธยัสถ์ แต่ด้วยสถานะของพระนาง ก็ไม่นับว่ามากเกินไป”
กล่าวไปเดินไปจนมาถึงซุ้มประตูศิลาสีเขียวคล้ายหยกด้านบนสลักเป็นลายมังกร เจี่ยเจิ้งถามว่า
“ที่นี่จะจารึกอักษรใด”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ว่า “ต้องเป็น “แดนเซียนเผิงไหล 蓬莱仙境” จึงวิเศษ”
เจี่ยเจิ้งสั่นหัวแต่ไม่พูดอะไร
เป่าวี่พอเห็นสถานที่ พลันฉุกใจได้คิดว่า คล้ายเคยเห็นมาก่อนเพียงแต่นึกไม่ออกว่าเห็นเมื่อใด เป่าวี่มัวแต่ตรองเรื่องนี้ จนไม่ได้ยินที่เจี่ยเจิ้งสั่งให้ลองตั้งชื่อ เหล่าแขกไม่รู้ความนัย คิดว่าคงเหนื่อยมาทั้งวัน เกิดอ่อนล้า จึงเตือนเจี่ยเจิ้งว่า
“พอก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาตั้งชื่อกันใหม่”
เจี่ยเจิ้งเองก็เกรงอยู่ว่าแม่เฒ่าเจี่ยคงกำลังเป็นห่วง จึงยิ้มเยาะแล้วว่า
“เดรัจฉาน จนปัญญาเหมือนกัน พอก็พอ ติดค้างไว้วันหนึ่ง พรุ่งนี้คิดชื่อไม่ออก จะไม่ปล่อยเจ้าไว้ ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญ ต้องตั้งให้ดี”
กล่าวจบก็เดินนำชมอีกรอบ อันที่จริงนับแต่ย่างเข้าประตูมาจนถึงจุดนี้ เพิ่งชมได้เพียงห้าหกส่วนในสิบเท่านั้น มีบ่าวมาแจ้งว่า หวี่ชุน 雨村 ส่งคนมาขอพบ
เจี่ยเจิ้งว่า “คงเดินเที่ยวต่อไม่ได้แล้ว ถึงอย่างนั้น เราต้องเดินออกทางด้านนั้น ก็ยังคงเห็นส่วนใหญ่ที่เหลือ”
กล่าวแล้วก็เดินนำต่อมาจนถึงสะพานใหญ่แห่งหนึ่ง น้ำใสดังม่านแก้วผลึกพ่นลอดเข้ามา สะพานนี้โดยแท้แล้วคือประตูน้ำที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำด้านนอก ชักน้ำเข้ามาเป็นลำธาร
เจี่ยเจิ้งถามว่า “ประตูน้ำนี้จะตั้งชื่อใด”
เป่าวี่ว่า “นี่เป็นต้นธารที่ไหลไปยัง “หอมซาบซ่าน” ก็ตั้งว่า ประตูน้ำหอมซาบซ่าน 沁芳闸”
เจี่ยเจิ้งว่า “เหลวไหล ต้องไม่ใช้ “หอมซาบซ่าน” ซ้ำอีก”
เดินต่อมาผ่านห้องโถง ศาลา กองหิน ซุ้มดอกไม้ วัดหรืออารามชี ห้องปรุงยา ระเบียงและถ้ำ ไม่ได้แวะที่ไหน เดินมาได้ครึ่งค่อนวันรู้สึกเมื่อยขาอ่อนล้า มาถึงลานอาคารแห่งหนึ่ง
เจี่ยเจิ้งว่า “พักกันก่อนที่นี่เถิด”
กล่าวจบเดินนำเข้าลาน อ้อมต้นเถาเขียวมรกต ผ่านรั้วไม้ไผ่ที่ปกคลุมด้วยไม้ดอก เป็นประตูวงเดือน กำแพงสีฝุ่นล้อมลาน มีต้นหลิ่วใบเขียวย้อยอยู่เรียงราย
เจี่ยเจิ้งนำคนเดินผ่านประตูเข้าไป เห็นระบียงทางเดินอยู่ทางตะวันตก กลางลานเป็นก้อนหินแต้มแต่งอยู่หลายก้อน ด้านหนึ่งปลูกต้นกล้วย ด้านหนึ่งปลูกต้นไห่ถังตะวันตก 西府海棠 ขึ้นเป็นรูปร่างดังร่ม เกสรเป็นไจสีทอง กลีบเป็นสีแดง คนเห็นต่างชม
“ดอกไม้งาม ไห่ถังที่พบ ไม่เคยเห็นงามดังนี้”
เจี่ยเจิ้งว่า “นี่คือ ดอกถังลับแล 女儿棠 (หนวี่เอ๋อถัง)เป็นพันธุ์ไม้ต่างประเทศ ร่ำลือว่ามาจากเมืองลับแล 女儿国 (หนวี่เอ๋อกว๋อ)ออกดอกดก แต่คงเป็นเรื่องร่ำลือเหลวไหล”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ว่า “ถึงว่าดอกไม้นี้จึงแตกต่าง เมืองลับแลที่ว่า น่าจะมีอยู่จริง”
เป่าวี่ว่า “น่าจะเป็นเพราะพวกกวีเห็นดอกไม้นี้สีแดงดังประแป้ง บอบบางราวนางห้อง จึงเรียกชื่อว่า “สาวน้อย 女儿” ไปไปมามาคนจึงร่ำลือกันไปผิดผิดว่ามาจากเมืองลับแลที่มีแต่สตรี”
เหล่าแขกว่า “วิเคราะห์ได้ดี”
แล้วก็พากันนั่งลงบนม้ายาวตามระเบียง
เจี่ยเจิ้งว่า “ลองตั้งชื่อแปลกใหม่กันดู”
แขกผู้หนึ่งว่า “กระเรียนตอง 蕉鹤 คงเข้าที”
อีกผู้หนึ่งว่า “สูงส่งเฉิดฉาย 崇光泛彩 น่าจะเหมาะ”
เจี่ยเจิ้งกับคนที่เหลือต่างว่า “สูงส่งเฉิดฉาย ดี ดี”
เป่าวี่ว่า “แต่น่าเสียดาย”
เหล่าแขกอุปถัมภ์ถามว่า “น่าเสียดายอะไร”
เป่าวี่ว่า “ที่นี่มีต้นกล้วยและไห่ถัง ซึ่งสื่อถึงสีเขียวและสีแดง หากกล่าวถึงอย่างหนึ่ง ต้องทิ้งอีกอย่างหนึ่ง ไม่ครบความ”
เจี่ยเจิ้งว่า “แล้วเจ้าว่าอย่างไร”
เป่าวี่ว่า “ตามความเห็นของข้า “หอมแดงหยกเขียว 红香绿玉” จึงได้ความครบ”
เจี่ยเจิ้งสั่นหัว “ไม่ดี ไม่ดี”
กล่าวแล้วก็นำเดินเข้าไปในเรือน สังเกตเห็นการตกแต่งภายในแตกต่างจากเรือนปกติ ไม่ได้แยกห้องหับเป็นสัดส่วน ทั้งสี่ด้านล้วนเป็นฉากไม้สลักเป็นภาพมงคลต่างๆ เช่น ร้อยค้างคาวนำโชค สามสหายเหมันต์ (เหมย สน ไผ่) หมื่นโชคหมื่นอายุขัย ทิวท้ศน์ สารพันไม้ดอก เป็นต้น สลักอย่างปราณีต ฝังทองและหยก ตามชั้นมีหนังสือ โบราณวัตถุ แจกัน กระถาง หรือเครื่องเขียนประดับ ในรูปกลมบ้าง เหลี่ยมบ้าง ย่อมุมทานตะวันบ้าง ตามผนังแขวนประดับด้วยโบราณวัตถุ พิณ กระบี่ เครื่องกระเบื้อง เป็นต้น
ทุกคนพากันชมว่า “ปราณีตแท้ ทำได้อย่างไรนี่”
เจี่ยเจิ้งเดินนำเข้ามาไม่ทันพ้นฉากชั้นสองก็หลงทางเสียแล้ว ซ้ายมีประตู ขวามีหน้าต่าง ด้านหน้ากลับตันด้วยชั้นหนังสือ กลับหลังหันกลับกลายเป็นผ้าม่านโปร่งมองทะลุ พอเดินไปทางที่เป็นประตูกลับเห็นกลุ่มคนเดินสวนทางมา หน้าตาเหมือนพวกตน ที่แท้เป็นกระจกเงา พอเดินอ้อมกระจกไป เห็นแต่ประตูเต็มไปหมด
เจี่ยเจินหัวเราะแล้วว่า “นายท่านตามข้ามาทางนี้ออกไปยังลานด้านหลังได้”
แล้วเดินนำอ้อมห้องกั้นผ้าโปร่งสองแห่งหลุดออกมาจากวงกตมาถึงประตูทางออกมายังลานที่กำแพงเต็มไปด้วยกุหลาบ เดินอ้อมมา มีลำธารน้ำใสขวางหน้า
ทั้งคณะต่างงุนงงถามว่า “ธารน้ำมาจากไหนนี่”
เจี่ยเจินกระดิกนิ้วว่า “จากประตูน้ำที่ผ่านมาไหลมาถึงปากถ้ำ จากทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวิ้งเขาไหลมายังหมู่บ้านนั้น แล้วแยกสาขามาทางตะวันตกเฉียงใต้ไหลมาที่นี่ก่อนกลับมาสมทบสายเดิมแล้วลอดกำแพงนั่นออกไป”
(อาคารเขาวงกตนี้ ในภายหน้าจะเป็นที่อยู่ของเป่าวี่)
ทุกคนต่างว่า “วิเศษแท้”
แล้วพากันเดินต่อมาพบเขาใหญ่ลูกหนึ่งขวางหน้า หลงทางกันอีกแล้ว
เจี่ยเจินหัวเราะว่า “ตามข้ามา”
แล้วออกเดินนำอ้อมตีนเขามาถึงทางใหญ่บนที่ราบทอดไปสู่ประตูใหญ่เบื้องหน้า
ทั้งคณะต่างว่า “เยี่ยม เยี่ยม อัจฉริยะแท้ ที่มาได้ถึงจุดนี้”
ว่าแล้วต่างก็เดินกลับออกมาจากอุทยาน
ตอนก่อนหน้า : ชมอุทยานแห่งใหม่
ตอนถัดไป : วันเสด็จเยี่ยมญาติ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา