เมื่อวาน เวลา 09:09 • การเมือง

บทวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน: ความท้าทายและผลกระทบในระยะ 4 เดือน

นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน
Prashya Global
1. บทนำ: บริบทและข้อจำกัดของรัฐบาลเสียงข้างน้อย
การเข้ารับตำแหน่งของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 และการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในวันที่ 19 กันยายน 2568 เกิดขึ้นท่ามกลางบริบททางการเมืองที่มีความพิเศษ การวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาระหว่างวันที่ 29-30 กันยายน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากนโยบายเหล่านี้จะสะท้อนทิศทางการบริหารประเทศในระยะเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ก่อนการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่
การจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่กำหนดทิศทางนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้:
* สถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย: รัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลรวม 147 เสียง จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 491 เสียง คิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 30% ของสภาฯ
* กรอบเวลาการบริหารที่จำกัด: รัฐบาลมีพันธะทางการเมืองในการบริหารประเทศเพียง 4 เดือน ก่อนจะต้องดำเนินการยุบสภาผู้แทนราษฎร
* ข้อจำกัดด้านงบประมาณ: รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ซึ่งจัดทำโดยรัฐบาลชุดก่อน และมีหน้าที่ในการวางกรอบงบประมาณปี 2570 ให้กับรัฐบาลชุดถัดไป
* การสนับสนุนแบบมีเงื่อนไข: พรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่มีเสียงมากที่สุดในสภาฯ ได้ลงมติสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล แต่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะทำหน้าที่เป็น ฝ่ายค้าน ในการตรวจสอบการทำงานอย่างเข้มข้น
บริบทดังกล่าวบีบให้รัฐบาลต้องมุ่งเน้นนโยบายที่สามารถสร้างผลกระทบที่มองเห็นได้ในระยะสั้น (short-term visible impact) และได้รับความนิยมในวงกว้าง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ รัฐบาลได้นำเสนอนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจหลายประการ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและสร้างความเชื่อมั่นในระยะเวลาอันสั้น
2. นโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วน: สัญญาณจากคำแถลงของรัฐบาล
ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้นำเสนอนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นมาตรการบรรเทาผลกระทบระยะสั้นเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับกรอบเวลาการทำงานที่จำกัดของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม นโยบายเรือธงบางส่วนได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายค้าน
นโยบายหลักด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระเร่งด่วน สามารถสรุปได้ดังนี้:
* การกระตุ้นการใช้จ่ายและลดภาระค่าครองชีพ:
* โครงการคนละครึ่ง: รัฐบาลชูโครงการนี้เป็นนโยบายเรือธงเพื่อลดภาระค่าครองชีพ อย่างไรก็ตาม ความเร่งรีบในการผลักดันโครงการโดยใช้งบกลางก้อนสุดท้ายของปี ได้กลายเป็นชนวนสำคัญที่ฝ่ายค้านตั้งคำถามถึงแรงจูงใจทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง
* การลดรายจ่ายในชีวิตประจำวัน: มุ่งเน้นการลดภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าพลังงาน ค่าโดยสาร และค่าผ่านทาง
* การบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตร: ดูแลราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
* การแก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง:
* ช่วยเหลือหนี้ภาคประชาชน: แก้ไขปัญหาหนี้สินรายบุคคลในระบบ สำหรับผู้มีหนี้รายละไม่เกิน 100,000 บาท
* เพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs: ช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยให้สภาพคล่องรายละไม่เกิน 1,000,000 บาท
* นโยบายส่งเสริมอื่น ๆ:
* การเพิ่มโอกาสการออม: ส่งเสริมการออมผ่าน สลากเพื่อการออม และการเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาลของรายย่อย
* การฟื้นความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยว: เน้นสร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
* การรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า: จัดตั้ง "ทีมไทยแลนด์" เพื่อเจรจาการค้าและดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ
นายอนุทินระบุว่าแหล่งเงินทุนจะมาจากทั้งเงินในและนอกงบประมาณ, เงินกู้, การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน และการระดมทุนผ่านกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แม้รัฐบาลจะนำเสนอนโยบายที่หลากหลาย แต่กลับต้องเผชิญกับข้อกังวลอย่างหนักจากฝ่ายค้าน โดยเฉพาะประเด็นด้านวินัยการคลังและความชัดเจนในการดำเนินนโยบาย
3. การประเมินจากฝ่ายค้าน: ความท้าทายด้านความน่าเชื่อถือและการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ในฐานะกลไกตรวจสอบของระบบรัฐสภา ฝ่ายค้าน นำโดย นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล จากพรรคประชาชน ได้อภิปรายนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเข้มข้น โดยชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศในระยะยาว โดยฝ่ายค้านได้ตั้งข้อกังวลที่สำคัญใน 4 ประเด็นหลัก:
ความคลุมเครือและขาดรูปธรรม
นางสาวศิริกัญญาวิจารณ์ว่าคำแถลงนโยบายมีแต่ "What" (จะทำอะไร) แต่ขาด "How" (จะทำอย่างไรให้สำเร็จ) ซึ่งสำหรับรัฐบาลที่มีเวลาเพียง 4 เดือน ความชัดเจนในวิธีการถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นโยบายส่วนใหญ่ขาดตัวชี้วัดและการจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน ซึ่งเสี่ยงที่จะจบลงเพียงแผนงานที่รอให้รัฐบาลใหม่มาสานต่อ และอาจกลายเป็นความสูญเปล่าในที่สุด
ความเสี่ยงด้านวินัยการคลัง
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือการเร่งรัดอนุมัติงบกลางปี 2568 ที่เหลืออยู่ประมาณ 6.3 - 6.6 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาใช้ใน โครงการคนละครึ่งเป็นเงินจำนวน 66,400 ล้านบาท และเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฝ่ายค้านมองว่าการใช้เงินสำรองจ่ายฉุกเฉินเกือบทั้งหมดนี้ อาจทำให้รัฐบาลชุดถัดไปไม่เหลือเงินสำรองสำหรับรับมือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ข้อกังวลนี้รุนแรงขึ้นเมื่อพิจารณาว่าการอนุมัติงบประมาณก้อนนี้เกิดขึ้นในวันที่ 30 กันยายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568
แรงจูงใจทางการเมือง
ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่าโครงการคนละครึ่งและการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีลักษณะคล้ายคลึงกับการ "แจกเงินหาเสียงล่วงหน้า" มากกว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากช่วงเวลาที่ใกล้จะมีการเลือกตั้งใหม่
ภาระผูกพันต่อรัฐบาลหน้า
นางสาวศิริกัญญาแสดงความกังวลว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังสร้างภาระผูกพันทางการคลังให้กับรัฐบาลชุดต่อไป เนื่องจากจะต้องเป็นผู้กำหนดกรอบงบประมาณปี 2570 และอาจต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 69% ของ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2569 ทำให้เหลือวงเงินกู้ในปี 2570 เพียงประมาณ 2.1 แสนล้านบาท การตัดสินใจทางการคลังในวันนี้จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของประเทศในอนาคต
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าโครงการ "คนละครึ่ง" ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงที่ร้อนแรงที่สุด และสมควรได้รับการวิเคราะห์ในรายละเอียดเพื่อทำความเข้าใจถึงเดิมพันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง
4. กรณีศึกษาเชิงลึก: โครงการ "คนละครึ่ง" กับเดิมพันทางเศรษฐกิจและการเมือง
โครงการ "คนละครึ่ง" ถูกชูขึ้นเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลอนุทินอย่างไม่ต้องสงสัย และกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งเชิงนโยบายระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้าน การเปรียบเทียบมุมมองของทั้งสองฝ่ายช่วยให้เห็นภาพความท้าทายและเดิมพันที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน
เป้าหมายเชิงนโยบายที่ประกาศไว้ (รัฐบาล) ข้อโต้แย้งและประเด็นความเสี่ยง (ฝ่ายค้าน)
วัตถุประสงค์: เน้นการลดภาระรายจ่ายให้ประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วม (ประชาชนจ่ายครึ่งหนึ่ง รัฐจ่ายครึ่งหนึ่ง) เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างรวดเร็ว ประสิทธิผลทางเศรษฐกิจ: เป็นเพียงมาตรการเยียวยา ไม่ได้ตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเงื่อนไขเพื่อเพิ่มประสิทธิผล (เช่น กำหนดการใช้จ่ายขั้นต่ำ) ถูกละเลย ไม่ถูกนำมาพิจารณา
แหล่งเงินทุน: ใช้จ่ายจากงบกลางปี 2568 ที่ยังคงค้างอยู่ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ของประชาชนที่ถูกต้อง โปร่งใส และผ่านการกลั่นกรองแล้ว ผลกระทบทางการคลัง: การเร่งรีบอนุมัติงบกลางจำนวน 66,400 ล้านบาท ในวันสุดท้ายของปีงบประมาณ เป็นการใช้เงินสำรองจ่ายฉุกเฉินจนเกือบหมดสิ้น อาจสร้างปัญหาสภาพคล่องและทิ้งภาระไว้ให้รัฐบาลหน้า
ความเร่งด่วน: เป็นนโยบายที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และสอดรับกับกรอบเวลาบริหาร 4 เดือนของรัฐบาล แรงจูงใจเบื้องหลัง: การเร่งรัดโครงการอย่างผิดสังเกตในช่วงเวลาที่ใกล้จะมีการเลือกตั้ง ถูกมองว่าเป็นการใช้ภาษีของประชาชนเพื่อซื้อเสียงล่วงหน้า มากกว่าเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
จากตารางเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่าโครงการคนละครึ่งไม่ได้เป็นเพียงนโยบายเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่มีนัยสำคัญ ความสำเร็จของโครงการนี้จึงไม่ได้วัดที่ตัวเลขการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงต้นทุนทางการคลังและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของประเทศในระยะยาว ซึ่งเป็นเดิมพันที่รัฐบาลชุดนี้ต้องรับผิดชอบ
5. การประเมินผลกระทบและความเสี่ยงองค์รวม
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทินภายใต้ข้อจำกัดรอบด้าน ก่อให้เกิดความเสี่ยงในหลายมิติที่ต้องได้รับการประเมินอย่างรอบคอบ นอกเหนือจากการผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงแล้ว การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการคลังและความคาดหวังของประชาชนถือเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุด
1. ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการคลัง (Fiscal Stability Risk): การใช้งบกลางจนเกือบหมดสิ้น และการสร้างภาระผูกพันให้รัฐบาลชุดหน้าต้องเป็นผู้จัดทำงบประมาณปี 2570 และอาจต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ ถือเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่สุด ความเสี่ยงนี้อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของทั้งภาครัฐและเอกชนสูงขึ้น และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในระยะยาว
2. ความเสี่ยงด้านการดำเนินนโยบาย (Implementation Risk): ปัญหา "What without How" ที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ นโยบายที่ขาดรายละเอียดเชิงปฏิบัติการและตัวชี้วัดที่ชัดเจน มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถบรรลุผลได้จริงภายใน 4 เดือน และอาจกลายเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่สูญเปล่า ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่ยั่งยืน
3. ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น (Confidence Risk): เมื่อนโยบายถูกมองว่ามีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝง ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งภาคธุรกิจและประชาชนต่อวินัยการคลังของภาครัฐ ดังที่นางสาวศิริกัญญากล่าวไว้ว่า "การกระทำสำคัญกว่าคำพูด" การบริหารที่ขาดความรอบคอบอาจทำลายความไว้วางใจที่ต้องใช้เวลาสร้างขึ้นมาใหม่เป็นเวลานาน
ความเสี่ยงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารเศรษฐกิจในระยะสั้นจำเป็นต้องมีความสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการของประชาชนกับการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด
6. บทสรุป: ทิศทางเศรษฐกิจไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน
นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในช่วงเวลา 4 เดือนนี้ มีลักษณะเป็นการบริหารจัดการแบบ "ประคับประคอง" ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลัก โดยใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ได้รับความนิยมอย่างโครงการ "คนละครึ่ง" เป็นนโยบายเรือธง ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามที่จะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ในเวลาอันจำกัด
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวเป็นการเดินบนเส้นด้ายที่ต้องถ่วงดุลระหว่างประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้น คือการช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน กับความเสี่ยงมหาศาลที่ตามมา ทั้งภาระทางการคลังที่จะถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลหน้า ความไม่แน่นอนของนโยบายในระยะยาว และความเชื่อมั่นต่อวินัยการคลังของประเทศ
ท้ายที่สุดแล้ว ประสิทธิผลที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้อาจไม่ได้วัดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นใน 4 เดือนข้างหน้า แต่คือการส่งมอบภาระทางการคลังและรากฐานเชิงนโยบายให้กับรัฐบาลชุดต่อไปในสภาพใด ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่สำคัญที่สุด ดังที่นางสาวศิริกัญญาได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "อย่าสร้างความเสียหายที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้" ซึ่งเป็นคำเตือนที่ทุกฝ่ายควรตระหนักถึงเป็นอย่างยิ่ง
โฆษณา