1 ต.ค. เวลา 09:10

แนวการใช้ชีวิตแบบวิถีพุทธ

เมื่อพูดในบริบทที่กว้างขึ้นตามหลักธรรมและแนวทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนาอย่างครอบคลุม ทั้งในด้านเป้าหมายสูงสุดของชีวิต การปฏิบัติตนตามหลักจริยธรรม การพัฒนาจิตใจ และการดำเนินชีวิตในบริบททางสังคมและพระวินัย พอสรุปได้ดังนี้
๑. เป้าหมายสูงสุดของการใช้ชีวิตและการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
การใช้ชีวิตในทางพระพุทธศาสนาตามที่แหล่งข้อมูลระบุไว้มีเป้าหมายสูงสุด คือการหลุดพ้นจากความทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิด
* นิพพานเป็นประโยชน์สูงสุด: การบรรพชา (การบวช) มีประโยชน์เพื่อประพฤติธรรมและเพื่อความสงบ ซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย และประโยชน์สูงสุดคือ การพ้นจากความทุกข์ อันได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่มีการเวียนตายเวียนเกิดอีก คือ การเข้าสู่พระนิพพาน
* การเห็นความไม่ประมาท: บุคคลที่เพลิดเพลินในชีวิต เพลิดเพลินในภพ หรือเพลิดเพลินในการเกิด ถือเป็นผู้ประมาท ผู้ไม่ประมาทคือผู้ที่มีความเพียรในการทำวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้พ้นทุกข์จากการเกิดตลอดไป
* เหตุแห่งความทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาท): การเวียนตายเวียนเกิด (สงสาร) เกิดขึ้นจากการที่สัตว์โลกเกิดในโลกนี้แล้วตายไป แล้วไปเกิดในโลกอื่น การเวียนไปเช่นนี้เรียกว่าสงสาร ซึ่งมีอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นมูลเหตุ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร, วิญญาณ, นามรูป, สฬายตนะ, ผัสสะ, เวทนา, ตัณหา, อุปาทาน, ภพ, ชาติ, ชราและมรณะ, โสกะ, ปริเทวะ, ทุกข์, โทมนัส, อุปายาส ซึ่งเป็นความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น
* การสิ้นสุดวัฏฏะ: ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว (พระอริยบุคคลที่ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน) ย่อมไม่มีการกลับมาเกิดอีก นิพพานเป็นอสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง) และเป็นของที่ไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ และไม่เกิดด้วยฤดู แต่เป็นความสุขอย่างเดียว
* การสละความยึดมั่น: การหลุดพ้น คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง ซึ่งเป็นสภาวะที่เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง ธรรมะที่แสดงไว้นั้นมีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการยึดถือ
๒. หลักธรรมและแนวทางปฏิบัติเพื่อการใช้ชีวิตที่ดี (กุศลกรรม)
การใช้ชีวิตที่ดีเกี่ยวข้องกับการสร้างกุศลกรรมและละเว้นอกุศลกรรม ซึ่งมีผลต่อความเป็นไปในภพภูมิต่างๆ
* การเลือกทำกรรม: บุคคลควรประพฤติ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต และมีความเห็นชอบ การทำกรรมดีหรือชั่วด้วยนามรูป(จิตและกาย)นี้ จะทำให้นามรูปอื่นถือกำเนิดสืบต่อกันด้วยกรรมนั้น ซึ่งทำให้ไม่พ้นจากบาปกรรมที่ทำไว้ กุศล (บุญ)มีผลเป็นสุข นำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนอกุศล (บาป)มีผลเป็นทุกข์ นำไปเกิดในนรก
* การปฏิบัติตนเพื่อเกื้อกูลตนและผู้อื่น: บุคคลที่ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนเองและเกื้อกูลผู้อื่นคือผู้ที่ตนเองเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ และการเสพของมึนเมา (สุราและเมรัย) และยังชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากสิ่งเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ยังรวมถึงการปฏิบัติเพื่อกำจัด ราคะ โทสะ และโมหะ และชักชวนผู้อื่นให้กำจัดด้วย
* มรรคมีองค์ ๘ (แนวทางสู่ความดับสนิท): หลักปฏิบัติที่สำคัญเพื่อความดับสนิทของกิเลสและทุกข์ คือ การปฏิบัติตาม สัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ) ซึ่งเป็นทางเพื่อดับสนิทสำหรับผู้มีความเห็นผิด และ สัมมาสังกัปปะ(ความดำริชอบ), สัมมาวาจา(การเจรจาชอบ), สัมมากัมมันตะ(การกระทำชอบ), สัมมาอาชีวะ(การเลี้ยงชีพชอบ) ซึ่งเป็นทางเพื่อดับสนิทสำหรับผู้มีความประพฤติผิดในด้านเหล่านั้น
* ทาน (การให้): ทานมีประโยชน์สำเร็จได้จริง แม้เมื่อมีของน้อยก็สำเร็จประโยชน์ได้ ทานที่ให้ด้วยศรัทธาก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้ และการให้ทานแก่บุคคลผู้ได้ธรรมแล้ว (เช่น พระอริยบุคคล) ยิ่งเป็นการดี
* การคบสัตบุรุษ: ควรคบและทำความสนิทสนมกับพวกสัตบุรุษเท่านั้น เพราะบุคคลที่รู้แจ้งสัทธรรมของสัตบุรุษแล้ว ย่อมรุ่งเรืองในหมู่ญาติและย่อมไปสู่สุคติ
๓. การพัฒนาจิตใจและการจัดการกับความรู้สึก
การใช้ชีวิตตามแนวทางพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับการควบคุมและการพัฒนาจิตใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องความเพียรและปัญญา
* ลักษณะของวิริยะ (ความเพียร): ความเพียร มีการค้ำจุนไว้เป็นลักษณะ โดยค้ำจุนกุศลธรรมทั้งสิ้นไว้ไม่ให้เสื่อม
* ลักษณะของสติ: สติ มีการถือไว้เป็นลักษณะ โดยชักชวนให้ถือเอาธรรมที่มีประโยชน์และละธรรมที่ไม่มีประโยชน์
* ลักษณะของปัญญา: ปัญญา มีการตัดและการทำให้สว่างเป็นลักษณะ เมื่อปัญญาเกิดขึ้นจะกำจัดอวิชชา(ความมืด) และทำให้เห็นแจ้งใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
* สมถะและวิปัสสนา: ‘สมถกรรมฐาน’ คือการทำจิตให้ตั้งมั่น(สมาธิ) ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญารู้เห็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ซึ่งเป็นวิธีทำลายกิเลสอย่างถาวร
* การจัดการกับเวทนา: เวทนา (ความเสวยอารมณ์) ไม่ใช่ของเรา เราประพฤติพรหมจรรย์เพื่อกำหนดรู้ ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข ทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากผัสสะ ผู้ปฏิบัติควรละความเสวยอารมณ์เหล่านี้ ซึ่งจะนำไปสู่ประโยชน์เกื้อกูลและความสุข พระอรหันต์ได้รับทุกขเวทนาทางกาย แต่ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจ เพราะได้อบรมจิตใจไว้ดีแล้วและยึดมั่นว่าเป็นอนิจจัง
* การจัดการกับนิวรณ์และกิเลส: นิวรณ์ (เช่น ปฏิฆนิมิต, ถีนมิทธะ, วิจิกิจฉา) จะเกิดขึ้นและเจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้นด้วย ‘การทำมนสิการโดยไม่แยบคาย’ ในขณะที่สัมโพชฌงค์ (เช่น สติสัมโพชฌงค์, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) จะเกิดขึ้นและเจริญเต็มที่ด้วย ‘การทำมนสิการโดยแยบคาย’ ในธรรมเหล่านั้น
๔. การใช้ชีวิตของบรรพชิต (พระสงฆ์)
สำหรับบรรพชิต การใช้ชีวิตมีความละเอียดอ่อนและมีระเบียบวินัยที่เข้มงวด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของหลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
* วินัยและการควบคุมทางกายภาพ: มีการบัญญัติสิกขาบทหลายข้อเพื่อควบคุมกายและจิต รวมถึงข้อห้ามเกี่ยวกับการใช้รองเท้าที่มีสีต่างๆ และวัสดุที่ไม่เหมาะสม การใช้ชีวิตของภิกษุ (และภิกษุณี) ต้องมีการละ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เกิดขึ้นจากธรรมารมณ์
* การดูแลร่างกายเพื่อพรหมจรรย์: ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิต แต่บรรพชิตรักษาร่างกายนี้ไว้เพื่อ ‘อนุเคราะห์พรหมจรรย์’ เปรียบเหมือนการรักษาบาดแผล
* การบริหารจัดการสงฆ์: มีขั้นตอนและพิธีการในการดำเนินกิจของสงฆ์ เช่น วิธีขอสงฆ์แสดงพื้นที่สร้างวิหาร และการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จัดแจงเสนาสนะ ภิกษุที่ทำหน้าที่ในสงฆ์ต้องฉลาดในการแก้ปัญหา ทำงานทูต และเข้าใจวินัยเกี่ยวกับการอาบัติและการออกจากอาบัติ
* ความแตกต่างในการบวช: คนจำนวนหนึ่งบวชด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่พระนิพพาน เช่น หนีราชภัย หนีโจรภัย หนีหนี้สิน หรือเพื่อยศศักดิ์ แต่ผู้ที่บวชโดยชอบคือผู้ที่บวชเพื่อพระนิพพาน
๕. ปัจจัยภายนอกและข้อพิจารณาในการดำเนินชีวิต
* ความสำคัญของโยนิโสมนสิการ: การพ้นจากการเกิดอีกไม่ได้เกิดจากโยนิโสมนสิการ (การกำหนดจิตด้วยอุบายที่ชอบธรรม) เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย ปัญญา และกุศลธรรมอื่นๆ ด้วย โยนิโสมนสิการมีความอุตสาหะเป็นลักษณะ
* การไม่ปลงใจเชื่อโดยง่าย (กาลามสูตร): ในการดำเนินชีวิตและการศึกษาธรรม ไม่ควรปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา การถือสืบๆ กันมา การเล่าลือ การอ้างตำรา/คัมภีร์ หรือตรรกะ/อนุมาน/เหตุผล แต่ควรใช้สติปัญญาของตนเองตัดสิน
* ผลของกุศลและอกุศล: กรรมสมาทาน (ความตั้งใจทำกรรม) ที่เป็นบุญหรือบาปบางอย่าง อาจไม่ให้ผลได้ หากถูกห้ามไว้ด้วยวิบัติ (เช่น คติวิบัติ, อุปธิวิบัติ, กาลวิบัติ, ปโยควิบัติ) หรืออาจให้ผลหากอาศัยวิบัติเหล่านั้น
* การจัดการกับอดีต: ไม่ควรจมปลักอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ แต่ควรยอมรับผลของกรรมที่จะเกิดขึ้นและพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
* ทรัพย์สมบัติในแต่ละชนชั้น: แหล่งข้อมูลยังกล่าวถึงทรัพย์สมบัติที่เป็นหน้าที่ของชนชั้นต่างๆ เช่น ทรัพย์ของพราหมณ์คือการขอ ทรัพย์ของกษัตริย์คือแล่งธนู และทรัพย์ของแพศย์คือกสิกรรมและโครักขกรรม
โฆษณา