เมื่อวาน เวลา 04:24 • ข่าวรอบโลก

อเมริกาชัตดาวน์ 2025

มองย้อนกลับไปในอดีตกับภาวะชัตดาวน์ในอเมริกา
เริ่มแล้วภาวะชัตดาวน์ครั้งใหม่ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2025 ตามเวลาในท้องถิ่น สรุปสั้นๆ สาเหตุมาจากสมาชิกสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องงบประมาณใหม่สำหรับปีงบประมาณถัดไป คือปี 2026 ปัญหาเรื่องความไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับงบประมาณประเทศได้สร้างภาวะสุญญากาศในสหรัฐอีกครั้ง และนำไปสู่วิกฤตการณ์ของรัฐบาล
อเมริกาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากและใช้เวลานานมากในการก้าวออกมาจากภาวะอัมพาตนี้ มันมีความเป็นไปได้สูงว่าความแตกแยกทางความคิดภายในสหรัฐอเมริกาก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นด้วย
ขณะที่อเมริกาเกิดภาวะชัตดาวน์หรือพูดง่ายๆ รัฐบาลอยู่ในช่วงปิดทำการ รอบนี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางเกือบทั้งหมดจะมีสถานะเหมือนถูกพักงานชั่วคราว ไม่ได้เงินเดือน หากบนคนไม่มีเงินเก็บมากนัก มันจึงถือเป็นปัญหาทางการเงินสำหรับพวกเขาเลยทีเดียว
สัญญาณเตือนของการชัตดาวน์ครั้งใหม่นี้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันครั้งแรกเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา เมื่อกระบวนการอนุมัติงบประมาณที่ล่าช้าจนมาถึงทางตัน สมาชิกทั้งสภาบนและสภาล่างเลือกที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเรื่อยๆ โดยพวกเขากลับมาคุยกันอีกครั้งในช่วงปลายสิงหาคม ซึ่งเหลือเวลาน้อยมากสำหรับการอนุมัติงบประมาณ ไม่มีอะไรสำเร็จลุล่วงมากนักในเวลาเพียงเดือนเดียว
เครดิตภาพ: Jonathan Ernst, Reuters
  • ย้อนรอยดูประวัติภาวะชัตดาวน์ในสหรัฐ
  • ปี 1980 สมัย ปธน. จิมมี คาร์เตอร์ (เดโมแครต) ระยะเวลาชัตดาวน์ 1 วัน กระทบเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐอเมริกา (FTC) จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 1,600 คน
  • ปี 1981 สมัย ปธน. โรนัลด์ เรแกน (รีพับลิกัน) ระยะเวลาชัตดาวน์ 1 วัน กระทบหน่วยงานรัฐทั้งหมดยกเว้นฝ่ายนิติบัญญัติ จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 241,000 คน
  • ปี 1984 สมัย ปธน. โรนัลด์ เรแกน (รีพับลิกัน) ระยะเวลาชัตดาวน์ 4 ชั่วโมง กระทบหน่วยงานรัฐบางส่วน
  • ปี 1986 สมัย ปธน. โรนัลด์ เรแกน (รีพับลิกัน) ระยะเวลาชัตดาวน์ 4 ชั่วโมง กระทบหน่วยงานรัฐทั้งหมด
  • ปี 1990 สมัย ปธน. จอร์จ บุช คนพ่อ (รีพับลิกัน) ระยะเวลาชัตดาวน์ 3 วัน กระทบหน่วยงานรัฐทั้งหมด จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 2,800 คน
  • ปี 1995 สมัย ปธน. บิล คลินตัน (เดโมแครต) ระยะเวลาชัตดาวน์ 5 วัน กระทบหน่วยงานรัฐบางส่วน จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 800,000 คน
  • ปี 1995-1996 สมัย ปธน. บิล คลินตัน (เดโมแครต) ระยะเวลาชัตดาวน์ 21 วัน กระทบหน่วยงานรัฐบางส่วน จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 284,000 คน
  • ปี 2013 สมัย ปธน. บารัค โอบามา (เดโมแครต) ระยะเวลาชัตดาวน์ 16 วัน กระทบหน่วยงานรัฐทั้งหมด จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 800,000 คน
  • ปี 2018 สมัย ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ สมัยแรก (รีพับลิกัน) ระยะเวลาชัตดาวน์ 3 วัน กระทบหน่วยงานรัฐทั้งหมด จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 692,900 คน
  • ปี 2018-2019 สมัย ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ สมัยแรก (รีพับลิกัน) ระยะเวลาชัตดาวน์ 35 วัน กระทบหน่วยงานรัฐบางส่วน จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 380,000 คน
  • ปี 2025 (ล่าสุด) สมัย ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ สมัยสอง (รีพับลิกัน) ระยะเวลาชัตดาวน์ (ยังไม่รู้ ต้องรอดู) กระทบหน่วยงานรัฐทั้งหมด จำนวนเจ้าหน้าที่ถูกพักงานทั้งหมด 803,300 คน
จะเห็นว่าครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้ที่เกิดชัตดาวน์เป็นเวลานานที่สุด (35 วัน) คือช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรกในช่วงฤดูหนาวปี 2019 ซึ่งกินเวลานานกว่าหนึ่งเดือน อุปสรรคสำคัญในตอนนั้นคือต้นทุนการก่อสร้างกำแพงชายแดน ซึ่งพรรคเดโมแครตขัดขวางการจัดสรรงบประมาณ ในที่สุดรัฐบาลทรัมป์ก็จำต้องยอมถอยและลงนามงบประมาณโดยไม่ได้ผ่านงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพงแต่อย่างใด
แต่ในที่สุดพรรครีพับลิกันก็พบช่องโหว่และหาทางจัดสรรงบประมาณมาจนได้ โดยแบ่งมาจากงบประมาณของกระทรวงกลาโหม แต่กระบวนการก่อสร้างกำแพงกลับล่าช้า และไม่เสร็จสมบูรณ์เมื่อสิ้นสุดสมัยแรกของทรัมป์ นับแต่นั้นมาผู้สนับสนุนทรัมป์ก็มีอาการระส่ำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจนในกระบวนการอนุมัติงบประมาณรอบต่อๆ มา
ตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2021 ทรัมป์พยายามประนีประนอมกับฝ่ายพรรคเดโมแครตอยู่ตลอด และผลที่ตามมากลับกลายเป็นตรงกันข้าม ตอนนี้เขากำลังพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก
ภาพถ่ายเมื่อปี 2021 เครดิตภาพ: NBC News
ยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภาของสภาคองเกรส ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินการจากจุดยืนที่เข้มแข็ง ในขณะเดียวกันพรรคเดโมแครตกำลังใช้กลอุบายทางสภาในฝั่งวุฒิสภาที่เรียกว่า “ฟิลิบัสเตอร์” (Filibuster) ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาขัดขวางการผ่านร่างกฎหมายแทบทุกฉบับ เว้นแต่จะได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบ 60 เสียง
ปัจจุบันพรรครีพับลิกันครองที่นั่งในวุฒิสภา 53 ที่นั่ง มีสมาชิกพรรคเดโมแครตสองสามคนเข้าร่วมในการลงคะแนนครั้งล่าสุด แต่ก็ยังไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้รวมกันถึง 60 เสียง
ประเด็นหลักของข้อถกเถียงคือ “เงินอุดหนุนประกันสุขภาพ” ที่ประกาศใช้ในช่วงสมัยแรกของโอบามา ในช่วงต้นทศวรรษ 2010 เงินอุดหนุนเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของ “การปฏิรูปโอบามาแคร์” ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่เงินอุดหนุนเหล่านี้ยังคงอยู่ ทำให้งบประมาณของสหรัฐฯ สูญเสียไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ ในภาพรวมอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย และไม่มีใครออกมาเรียกร้องการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม การเรียกร้องเกิดขึ้นเพียงในระดับนโยบายของรัฐบาลบางส่วน (ไม่ใช่ระดับใหญ่) ในส่วนตลาดประกันภัยเท่านั้น
พรรคเดโมแครตยืนยันว่าการสูญเสียเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางจะนำไปสู่การปิดโรงพยาบาลในชนบทของสหรัฐจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นชาวอเมริกันจำนวนมากจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้น 75-100% ซึ่งหมายความว่าสำหรับบางคนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของพวกเขาอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ทีมบริหารของทรัมป์กำลังให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องเงินอุดหนุนประกันสุขภาพ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลรีพับลิกันยังไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จในการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ หากล้มเหลวมันจะเป็นหายนะอย่างแท้จริง
เครดิตภาพ: Anadolu Ajansi
ยิ่งไปกว่านั้นวิกฤตงบประมาณยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ โดยคาดการณ์ว่าการขาดดุลในปีหน้าจะสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
เหตุผลอย่างเป็นทางการในการตัดงบประมาณอุดหนุนเหล่านี้คือ เงินอุดหนุนจำนวนมากตกไปอยู่ในกระเป๋าของผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารหลักฐาน รัฐของฝ่ายเดโมแครตไม่เต็มใจที่จะเข้มงวดการควบคุมวิธีการใช้จ่ายเงินประกันสุขภาพ ดังนั้นตอนนี้ทำเนียบขาวจึงกำลังตัดงบประมาณเหล่านี้
นี่ไม่ใช่อุปสรรคเพียงอย่างเดียว ยังรวมถึงการต่อสู้เพื่อเงินอุดหนุนจากภายนอกที่เหลืออยู่จากหน่วยงาน USAID (สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ดูแลเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาแก่ต่างประเทศ) ที่ถูกยุบไปแล้วเมื่อกรกฎาคม 2025 และประเด็นอื่นๆ กำลังดำเนินอยู่
ดูเป็นการแข่งขันทางการเมืองเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ในปี 2013 สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับการชัตดาวน์นานถึงสามสัปดาห์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโอบามาแคร์ เช่นกัน สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันพยายามขัดขวางการจัดสรรงบประมาณสำหรับการปฏิรูปนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในตอนนั้นพวกเขาเป็นเสียงส่วนน้อย และตอนนี้พรรคเดโมแครตก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
พรรคเดโมแครตกำลังถูกกดดันจากฐานเสียงหลัก ซึ่งเรียกร้องให้ต่อต้านทรัมป์ทุกวิถีทาง นักยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเดโมแครตหวังว่าการชัตดาวน์จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อทีมทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทำเนียบขาวและพรรครีพับลิกัน ซึ่งควบคุมทุกฝ่ายในรัฐบาลตอนนี้ พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นพรรคแห่งความวุ่นวายและไร้ซึ่งประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศต้องหยุดชะงัก
แต่จนถึงขณะนี้ผลโพลแสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันต่างโทษทั้งสองฝ่ายเท่ากันสำหรับการชัตดาวน์ครั้งนี้ แต่ฝ่ายรีพับลิกันถูกโทษมากกว่าเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลางจะยังคงปฏิบัติหน้าที่สำคัญที่สุดต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางและบุคลากรทางทหารจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับเงินเดือนในช่วงชัตดาวน์ก็ตาม สวัสดิการสังคมจะยังคงได้รับต่อไป แม้ว่าจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง
สถานการณ์อาจยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อต้องเผชิญกับเหตุสุดวิสัย เช่น พายุเฮอริเคนและน้ำท่วม อุทยานแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์อาจต้องปิดทำการชั่วคราว การปิดทำการในแต่ละสัปดาห์จะทำให้ส่วนกลางสูญเสียรายได้เพิ่มขึ้นอีก 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นี่ยังไม่รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิรูปของทรัมป์ ซึ่งอาจทวีความรุนแรงขึ้นท่ามกลางภาวะชะงักงันของรัฐบาล
ทำเนียบขาวน่าจะได้จัดทำรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งไว้แล้ว โดยต้องการปลดพนักงานรัฐที่ถูกพักงาน ถึงแม้ว่าเมื่อภาวะชัตดาวน์จะยุติลงแล้วก็ตาม
เครดิตภาพ: Brendan Lynch/Axios
นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า การชัตดาวน์รอบนี้น่าจะกินเวลาเป็นหลักสัปดาห์ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงความแตกแยกที่เกิดขึ้นภายในสหรัฐฯ ในปัจจุบัน มันอาจยืดเยื้อออกไปอีก ซึ่งอาจทำลายสถิติเดิมที่ทำไว้ในปี 2019 ได้ด้วยซ้ำ (35 วัน)
ผู้สนับสนุน MAGA ของทรัมป์จำนวนมากอาจไม่ได้คัดค้านการชัตดาวน์ยาวๆ พวกเขามองว่าเจ้าหน้าที่รัฐเกือบทั้งหมดอยู่ในอิทธิพลของดีฟสเตทและเป็นศัตรูของพวกเขา แต่ตัวทรัมป์เองนี่ก็เสี่ยงมากเช่นกัน หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆ ขึ้น เขาจะต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวของรัฐบาลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออเมริกากำลังเผชิญกับคลื่นความรุนแรงทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ก็ได้ตอบโต้โดยการเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารและตำรวจในเขตเมืองใหญ่ของฐานพรรคเดโมแครตที่มีปัญหาหนักที่สุดในสหรัฐอเมริกา นั่นคือที่พอร์ตแลนด์ในรัฐออริกอน ศูนย์กลางของกลุ่ม Antifa เป็นขบวนการทางการเมืองฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ เป้าหมายหวังล้มรัฐบาลทรัมป์ ตามมาด้วยที่ชิคาโก เป้าหมายถัดไป
ฝ่ายเดโมแครตมองว่า การกระทำของทรัมป์เป็นความพยายามใช้เผด็จการทหาร ซึ่งยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเผชิญหน้ากับทำเนียบขาวในทุกด้าน รวมถึงด้านงบประมาณ ยิ่งไปกว่านั้นชัตดาวน์รอบนี้อาจเป็นเพียงสัญญาณเตือนภัยแรก
ในการเลือกตั้งสภาคองเกรสปีหน้า พรรคเดโมแครตมีโอกาสสูงที่จะชนะเสียงข้างมากในสภาล่าง ซึ่งจะทำให้พรรครีพับลิกันไม่มีจุดยืนที่แข็งแกร่งเหมือนเช่นปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ขอบเขตและความรุนแรงของความขัดแย้งด้านงบประมาณจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้การบริหารงานของทรัมป์ไร้ประสิทธิภาพ
สิ่งหนึ่งที่เราอาจเห็นปรากฏขึ้นชัดเจนก็คือ ความขัดแย้งทางการเมืองภายในสหรัฐจะดึงความสนใจของทรัมป์จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก ให้หันมาโฟกัสในประเทศตัวเองมากขึ้นหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป
เรียบเรียงโดย Right Style
2nd Oct 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Janet Loehrke, USA Today / Getty Images>
โฆษณา