2 ต.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

"ตรีนุช" ชูนโยบายด่วน แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน จ่อเพิ่มสิทธิประกันสังคม

"ตรีนุช" ชูนโยบายด่วน แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน เล็งดึง ศรีลังกา-ผู้ลี้ภัยเมียนมา 4.2 ทดแทน จ่อเพิ่มสิทธิประกันสังคม
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบนโยบายขับเคลื่อนภารกิจงานของกระทรวงแรงงาน ให้แก่คณะผู้บริหารและบุคลากร เพื่อกำหนดเป้าหมายในการเร่งแก้ไขปัญหาแรงงานที่เร่งด่วนและสำคัญ เช่น ปัญหาขาดแคลนแรงงาน, การเร่งพัฒนาทักษะ Upskill และ Reskill ให้แรงงานไทย และการส่งเสริมสวัสดิการแรงงาน
นางสาวตรีนุช กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่กระทรวงแรงงานต้องเร่งแก้ไขคือ การขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจที่เป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้ผู้ประกอบการในไทยขาดแคลนแรงงานกว่า 100,000 คน
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
โดยกระทรวงแรงงานจะเร่งดำเนินการทำบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ในการจ้างแรงงานสัญชาติอื่น ๆ เพิ่มเติม อย่าง ศรีลังกา โดยเรื่องนี้ได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้แรงงานศรีลังกาเข้ามาทดแทนในระบบประมาณ 10,000 คน
รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมาสามารถเข้ามาเป็นแรงงานทดแทนที่ทำงานได้ชั่วคราว โดยจะดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568สำหรับในส่วนนี้ กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งตัวเลขมาแล้วอยู่ที่กว่า 42,000 คน ตลอดจนการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย
ส่วนอีกหนึ่งนโยบายสำคัญที่ต้องเร่งทำ คือ การพัฒนาทักษะ Upskill และ Reskill ให้แรงงานไทย ได้พัฒนาทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล โดยในส่วนนี้กระทรวงแรงงานจะบูรณาการร่วมกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างทักษะใหม่ เช่น AI
นอกจากนี้ยังต้องเดินหน้าโครงการ “1 ตำบล 1 ช่างอเนกประสงค์” ที่จะสร้างแรงงานแบบ Multi Skills และสนับสนุนเครื่องมือทำกินหลังการฝึกอบรม รวมถึงการจัดอบรมอาชีพให้นักศึกษาช่วงปิดภาคเรียนเพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมการจ้างงาน
ในส่วนของสวัสดิการแรงงาน นางสาวตรีนุช ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน โดยจะปรับแก้กฎกระทรวง เพื่อให้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย เช่น การสู้รบบริเวณชายแดน และยกระดับสิทธิประโยชน์ประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบตามมาตรา 40 เช่น เพิ่มเงินทดแทนกรณีทุพพลภาพจาก 1,000 บาทเป็น 3,000 บาทต่อเดือน, เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรจาก 200 บาทเป็น 300 บาทต่อคน และปรับค่าทดแทนการขาดรายได้รักษาพยาบาลจาก 50 บาทเป็น 200 บาทต่อครั้ง
นอกจากนี้ จะขยายโอกาสให้แรงงานไทยมีงานทำในต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องขับเคลื่อนนโยบายขยายตลาดแรงงานเชิงรุก โดยใช้กลไกทูตแรงงานใน 12 ประเทศที่มีศักยภาพในการจ้างงาน เพื่อเพิ่มการจ้างงานและดูแลสิทธิประโยชน์แรงงานไทยในต่างแดน
รวมทั้งการเดินหน้าพัฒนาระบบบริหารจัดการแรงงานด้วยเทคโนโลยี ผ่านการจัดทำฐานข้อมูลแรงงานแห่งชาติและ Thai National Resume เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลแรงงานทั้งระบบให้อยู่ในการดูแลของกระทรวงแรงงาน ตลอดจนการนำร่อง Sandbox One Stop Service ในพื้นที่ศักยภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่แรงงานและผู้ประกอบการให้ได้รับบริการแบบครบในที่เดียว
"นโยบายเหล่านี้มีเป้าหมาย เพื่อแก้ไขจัดการปัญหาเร่งด่วนที่กำลังเกิดขึ้นและการวางรากฐานในระยะยาว ทั้งด้านการจัดการแรงงานต่างด้าว การพัฒนาทักษะ การเสริมสวัสดิการ การเปิดตลาดแรงงานต่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อนระบบแรงงานไทยให้มีความมั่นคง แข่งขันได้ เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของกระทรวงแรงงาน จะเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานทุกกลุ่ม" นางสาวตรีนุช กล่าวทิ้งท้าย
นอกจาก การแถลงนโยบายต่างๆของกระทรวงแรงงานแล้ว นางสาวตรีนุช ได้กล่าวถึงความคืบหน้า กรณีการตรวจสอบการเข้าซื้อตึก Skyy9 ของสำนักงานประกันสังคมด้วยว่า ปัจจุบันได้หมอบหมายให้ ทางคณะกรรมการเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว และให้รายงานผลการตรวจสอบเบื้องต้นภายในหนึ่งสัปดาห์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการประกันสังคม (สปส.) ชุดใหม่จะหมดวาระนั้น นางสาวตรีนุช ยืนยันว่า ในการคัดเลือกบอร์ดประกันสังคมชุดใหม่ จะเป็นการเลือกตั้งตามกรอบของกฏหมายเช่นเดิม และจะเดินหน้าตามไทม์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง เว้นแต่จะมีปัจจัยภายนอกระดับประเทศที่ทำให้จำเป็นต้องเลื่อน
ขณะที่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้ไตรภาคีแรงงานร่วมพิจารณา เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนายจ้างและลูกจ้างให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจให้เหมาะสม ส่วนค่าแรงจะปรับขึ้นเป็น 400 บาทหรือไม่ ตนเองได้มอบหมายให้คณะกรรมการไตรภาคีเป็นหน่วยงานพิจารณา
"ในปีนี้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ได้ปรับไปแล้วสองครั้งในปีนี้และประเทศไทยเจอความท้าทายหลายเหตุการณ์มาก ซึ่งเรื่องนี้อาจจะต้องเป็นการพิจารณาร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการและแรงงาน และวันนี้ได้มอบหมายไตรภาคีซึ่งรับหน้าที่ดูแลดูแลอยู่แล้ว และจะเป็นคนพิจารณาว่าความเหมาะสมเป็นอย่างไร ที่จะให้ผู้ประกอบการผู้ประกันตนและแรงงานสามารถอยู่รอดได้ " นางสาวตรีนุช กล่าว
ขณะเดียวกัน ในเรื่องของการขยายสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน นางสาวตรีนุช กล่าวว่า แม้ว่าจะมีเงินจากกองทุนประกันสังคมอยู่จำนวนมาก แต่เงินดังกล่าวเป็นเงินสมทบจากผู้ประกันตน และมีคณะกรรมการประกันสังคมดูแลเรื่องนี้ ดังนั้นการขยายสิทธิประโยชน์ต่างๆจะต้องปล่อยให้เป็นอำนาจของบอร์ดในการพิจารณา
ส่วนการแต่งตั้งปลัดกระทรวงแรงงาน หลังจาก คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว จะถือเป็นการยุติสุญญากาศทางการบริหารที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 เดือนทันที แต่ยืนยันว่าการดำเนินการต่อไปจะต้องอยู่ภายใต้กรอบอำนาจที่กฎหมายกำหนด
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา