Countdown To Ecstasy: บทพิสูจน์แห่งความกล้าและความประณีตของ Steely Dan
หากจะพูดถึง Steely Dan ในช่วงต้นทศวรรษ 70s คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกถึงการก่อร่างสร้างตัวจากอัลบั้มแรก "Can't Buy A Thrill" ที่เปิดประตูพวกเขาเข้าสู่วงการดนตรีในฐานะวง Rock ที่ผสานความแปลกใหม่ของ Pop, Jazz และ Soul เข้าด้วยกันอย่างเหนือชั้น
ความสำเร็จที่ไม่คาดคิดของงานชุดนั้น ทำให้ Donald Fagen ก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องนำเต็มตัว ขณะที่เขาและ Walter Becker เริ่มวางบทบาทของ Steely Dan ในฐานะคู่หูนักแต่งเพลง และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนทิศทางที่ชัดเจนและเข้มข้นขึ้นในอัลบั้มที่สอง "Countdown To Ecstasy" ซึ่งออกมาในปี 1973 และถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์ของวงในฐานะศิลปินที่แสวงหาความลุ่มลึกทางดนตรีมากกว่าการทำตามสูตรสำเร็จเพื่อความนิยมในตลาด
สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับ "Can't Buy A Thrill" ที่มีซิงเกิลดังอย่าง "Do It Again" และ "Reelin' In The Years" ที่เข้าถึงผู้ฟังได้ง่าย "Countdown To Ecstasy" กลับเป็นงานที่ซับซ้อนกว่า ฟังยากกว่า และใช้โครงสร้างที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงทางดนตรี
ทั้งการหันมาใช้จังหวะและท่อนดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจาก Jazz, การเล่นกับโทนเสียงที่ซ่อนความขัดแย้ง และการนำเสนอเนื้อหาที่เสียดสีสังคมด้วยอารมณ์ประชดประชัน นี่จึงไม่ใช่อัลบั้มที่ทำขึ้นเพื่อให้ถูกใจวิทยุหรือชาร์ตเพลงเป็นหลัก แต่เป็นการทดลองที่จริงจังเพื่อยืนยันถึงความทะเยอทะยานทางศิลปะของ Steely Dan
เพลงเปิดอัลบั้ม "Bodhisattva" คือการระเบิดพลังด้วยกีตาร์ไฟฟ้าที่ดังชัดและริธึมแน่นหนา เพลงนี้เหมือนกับการปิดบังโครงสร้างที่ซับซ้อนด้วยพลังของ Rock N’ Roll แต่เมื่อฟังลึกลงไปจะสัมผัสได้ถึงท่อนแทรกที่มีโครงสร้างแบบ Jazz-Fusion ทั้งการเล่นกีตาร์คู่ที่ตัดกันอย่างชาญฉลาด และการใส่ท่อนดนตรีที่เหมือนการเล่นสดในคลับเล็ก ๆ เสน่ห์ของ "Bodhisattva" คือการเล่นกับความคาดหวังของผู้ฟัง ฟังผิวเผินเหมือนเพลง Rock ธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วเต็มไปด้วยชั้นเชิงทางดนตรี
"Your Gold Teeth" คือบทพิสูจน์ความกล้าของ Steely Dan ที่จะปล่อยเพลงยาวและใช้โครงสร้างแบบ Hard Bop Jazz ที่ไม่ค่อยพบเห็นในวงการ Rock สมัยนั้น การโซโล่และการเล่นที่ยืดหยุ่นทำให้นึกถึงการแสดงสดของวง Jazz มากกว่าการอัดเพลงเพื่อเปิดบนวิทยุ ความลื่นไหลและการพัฒนาไปเรื่อย ๆ ของเพลงนี้ ทำให้ผู้ฟังต้องตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ และนี่เป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้สร้างเพลงเพื่อ “ขาย” แต่เพื่อสำรวจดนตรีในแบบที่ตนเองเชื่อ
หากพูดถึงเสน่ห์ของ "Pearl Of The Quarter" เพลงนี้เหมือนเป็นการพักอารมณ์ด้วยบรรยากาศแบบ Country Rock ที่อบอุ่นและโรแมนติก เป็นเพลงที่แตกต่างจากบรรยากาศอันซับซ้อนของเพลงอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง แต่กลับเสริมให้ภาพรวมของอัลบั้มสมดุลขึ้น การผสมกลิ่นอาย Country เข้ากับการเขียนเนื้อเพลงที่ละเมียดละไมทำให้เพลงนี้โดดเด่นในฐานะ “อัญมณีที่ถูกมองข้าม” ของวงอีกเพลงนึง
และสุดท้ายเพลงปิดอัลบั้มอย่าง "King Of The World" ก็เป็นเหมือนการแสดงออกถึงความกังวลในโลกอนาคต บรรยากาศที่สั่นไหว คลุมเครือ และท่อนดนตรีที่วิ่งพล่าน สะท้อนความรู้สึกของยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความกลัวสงครามนิวเคลียร์ เพลงนี้ไม่ใช่การปิดอัลบั้มด้วยความสงบ แต่เป็นการทิ้งผู้ฟังไว้กับความรู้สึกไม่มั่นคง เสมือนเป็นการบอกว่าโลกนี้ยังเต็มไปด้วยคำถามที่ไร้คำตอบ
เมื่อฟัง "Countdown To Ecstasy" ในภาพรวม จะเห็นได้ว่านี่คืออัลบั้มที่ Steely Dan "เล่นอย่างตรงไปตรงมา" มากที่สุดในอาชีพของพวกเขา เพราะหลังจากนี้ พวกเขาจะหันไปใช้วิธีการทำงานแบบสตูดิโอมากขึ้น อัดทีละชิ้น เลือกนักดนตรีรับเชิญที่เหมาะสมเพื่อสร้างเสียงที่ต้องการ แต่ในงานชุดนี้ เราได้ยินพลังการเล่นที่ใกล้เคียงกับการเป็นวง Rock มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดทางดนตรีที่วง Rock ร่วมสมัยในยุคนั้นไม่สามารถเทียบได้
Walter Becker (ซ้าย) และ Donald Fagen (ขวา) สองดูโอ้หัวใจหลักของวง
เสียงกีตาร์ที่แข็งแรง จังหวะที่หนักแน่น และพลังของเครื่องเป่าอาจทำให้หลายเพลงฟังดูเหมือน Rock แท้ ๆ แต่เมื่อเจาะลึกลงไป การจัดวางท่อนดนตรี การเลือกคอร์ดที่คาดไม่ถึง และการใส่โครงสร้าง Jazz ลงไปอย่างแนบเนียน ทำให้อัลบั้มนี้ต่างออกไป มันคือการสร้างดนตรีที่ไม่เพียงแค่ให้ความบันเทิง แต่ยังท้าทายผู้ฟังให้ใส่ใจและวิเคราะห์บทเพลงเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง
หากมองจากปัจจุบัน "Countdown To Ecstasy" ยังคงเป็นงานที่ยืนยันความเป็น Steely Dan ได้ชัดเจนที่สุด งานที่ผสานทั้งความดิบของ Rock และความประณีตของ Jazz เข้าด้วยกันอย่างมีชั้นเชิง งานที่ไม่เลือกเส้นทางง่าย ๆ แต่กลับเลือกเส้นทางที่ทำให้พวกเขากลายเป็นตำนานในวงการดนตรี
ภาพปกหลังของสตูดิโออัลบั้ม ปี 1973
อาจกล่าวได้ว่า "Countdown To Ecstasy" ไม่ใช่แค่อัลบั้มที่สองในประวัติศาสตร์ของ Steely Dan แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการประกาศตัวว่า พวกเขาจะไม่เป็นเพียงแค่ Rock Band ธรรมดา แต่จะเป็นศิลปินที่แสวงหาความซับซ้อน ความเสี่ยง และความจริงใจในดนตรี นี่คือผลงานที่ยังคงสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการทดลอง และยังคงสดใหม่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ทศวรรษแล้วก็ตาม