Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
4 ต.ค. เวลา 07:43 • ธุรกิจ
💡 “พูดแต่ปัญหาแต่ไม่เสนอวิธีแก้ คือ บ่น”
วัฒนธรรม “นักแก้ปัญหา” ที่แยกองค์กรชั้นยอดออกจากองค์กรทั่วไป
====
💥 ห้องประชุมที่เต็มไปด้วยเสียงบ่น
ใครหลายคนน่าจะเคยเจอสถานการณ์นี้?
"ประชุมยาว 2 ชั่วโมงเต็มไปด้วยการชี้ปัญหา แต่เมื่อออกจากห้องประชุมกลับไม่มีใครรู้ว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร เสียงบ่นสะท้อนอยู่เต็มห้อง แต่ไม่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมสักข้อเดียว…”
ความจริงคือ การพูดถึงแต่ปัญหาโดยไม่เสนอวิธีแก้ ไม่ได้ช่วยให้องค์กรก้าวไปไหน มันทำให้เกิดบรรยากาศ “ย่ำอยู่กับที่” และนี่คือเส้นแบ่งสำคัญระหว่าง "องค์กรที่ถอยหลัง" กับ "องค์กรที่ก้าวไปข้างหน้า"
====
🤒 อาการของ “วัฒนธรรมนักบ่น”?
1. ห้องประชุมกลายเป็นเวทีบ่น
* ภาพที่หลายองค์กรเจอคือการประชุมยาว 2 ชั่วโมง มีแต่เสียงตำหนิซ้ำๆ
* เช่น บางคนก็พูดวนเรื่องเดิม บางคนเงียบเพราะคิดว่าไม่เกี่ยว บางคนก้มเล่นมือถือไปเรื่อยๆ สุดท้ายปัญหาก็วนอยู่ที่เดิม เพราะไม่มีใครลุกขึ้นเสนอวิธีแก้ที่เป็นรูปธรรมออกมา
* การประชุมจึงจบลงด้วยความเหนื่อยล้า และทีมงานก็ยังไม่รู้ว่าต้องเดินหน้าต่ออย่างไรเป็นประจำ
2. การเมืองนำหน้าการแก้ปัญหา
* แทนที่เวลาประชุมจะใช้คิดหาทางออก กลับหมดไปกับการหาว่าใครเป็นคนพลาด
* เช่น ทีมการตลาดโทษทีมไอที ทีมไอทีโทษฝ่ายขาย ผลลัพธ์คือไม่มีใครได้แก้ปัญหา แต่ได้ความขุ่นเคืองใจกลับมาแทน เป็นต้น
3. อัมพาตเชิงการตัดสินใจ
* ผู้บริหารหลายคนเล่าว่าเคยจมอยู่กับการฟังปัญหาที่โยนขึ้นมาเรื่อยๆ เช่น ยอดขายตก ลูกค้าบ่น ระบบไม่เสถียร แต่ไม่มีข้อเสนอว่า "ทางเลือก A หรือ B" ให้ตัดสินใจ?
* สุดท้ายก็ไม่กล้าตัดสินใจเดินหน้าต่อ เพราะกลัวจะพลาดอีก ก็ทำเหมือนเดิมต่อไป
4. ภาวะสิ้นหวังที่เรียนรู้ (Learned Helplessness)
* เมื่อเวลาผ่านไป ทีมงานบางคนเริ่มคิดว่า หน้าที่ของตนคือเพียงแค่รายงานว่า "ระบบล่มอีกแล้ว" หรือ "ลูกค้าบ่นอีกแล้ว" โดยไม่ได้คิดหาวิธีแก้ พวกเขาฝากความรับผิดชอบไว้ที่หัวหน้าเสมอ
* ผลคือเกิดวัฒนธรรมที่ทุกคนเก่งในการบ่น แต่ไม่มีใครเก่งในการแก้ไขจริงๆ
====
⚙️ "Amazon“ จาก “ปัญหา” สู่ “ทางออก”
Amazon เป็นหนึ่งในองค์กรที่แก้ปัญหาวัฒนธรรมการประชุมที่เต็มไปด้วยเสียงบ่นได้อย่างเป็นระบบ
พวกเขามีกระบวนการที่เรียกว่า Correction of Errors (COE) ทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดใหญ่ ทีมงานที่เกี่ยวข้องต้องเขียนเอกสารอธิบายรายละเอียด โดยมีจุดเน้นดังนี้
* ห้ามโทษใครเป็นรายบุคคล แต่เน้นอธิบายว่ากระบวนการตรงไหนที่พลาด
* ใช้เนื้อหาส่วนใหญ่ไปกับการเจาะลึก “รากของปัญหา” และ “รายการการแก้ไข (Action Items)” ที่ต้องทำทันที เช่น การเพิ่มระบบสำรอง การออกแบบให้รองรับผู้ใช้มากขึ้น หรือปรับขั้นตอนการแจ้งเตือน
ผลลัพธ์คือการเปลี่ยน “ความล้มเหลว” จากเรื่องน่าอับอาย ให้กลายเป็น “โอกาสเรียนรู้” ที่ทำให้องค์กรแข็งแกร่งขึ้น
* ตัวอย่างเช่น เมื่อ Amazon เคยประสบปัญหาเว็บไซต์ล่มในช่วงเทศกาล พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาถกเถียงว่าใครทำผิด แต่รีบเขียน COE ระบุวิธีแก้ไขชัดเจน จนปัญหานั้นไม่เกิดซ้ำในปีถัดมา
* ที่สำคัญ วิธีนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าหน้าที่ของตนไม่ใช่แค่การแจ้งปัญหา แต่ต้องเป็นเจ้าของทางออกด้วย เป็นการปลูกฝังพฤติกรรมที่ทุกครั้งที่พูดถึงปัญหา ต้องมีข้อเสนอแนวทางแก้ติดมาด้วยเสมอ
====
🧭 วิธีสร้างวัฒนธรรม “นักแก้ปัญหา”
1. ตั้งกฎในห้องประชุมใหม่
* องค์กรสามารถประกาศกติกาง่ายๆ เช่น “ห้ามนำปัญหามา โดยไม่มีข้อเสนอแนวทางแก้อย่างน้อยหนึ่งข้อ”
* ตัวอย่างเช่น ถ้าทีมการตลาดพบว่ายอดขายตก ไม่ควรหยุดแค่บอกว่า “ยอดไม่ดี” แต่ต้องมีข้อเสนอ เช่น “ควรทดสอบโปรโมชั่นใหม่” หรือ “ลองปรับแคมเปญออนไลน์” เป็นตัน
* กติกานี้แม้ดูง่าย แต่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศการประชุมจากเวทีบ่น ให้กลายเป็นเวทีหาทางออกทันที
2. ถามคำถามให้ถูก
* แทนที่จะถามว่า “ใครทำผิด?” ซึ่งนำไปสู่การโทษกันไปมา ลองถามว่า “คุณลองทำอะไรไปแล้วบ้าง?” หรือ “คุณคิดว่ามีวิธีแก้ยังไง?”
* เช่น ถ้าระบบไอทีล่ม ผู้บริหารอาจถามทีมว่าได้ลองรีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์หรือหาสาเหตุเบื้องต้นหรือยัง?
* คำถามเชิงสร้างสรรค์นี้จะผลักดันให้พนักงานเปลี่ยนจากการรายงานเป็นการเสนอทางออกได้ทันที
3. ให้รางวัลกับการแก้ปัญหา
* แทนที่จะชื่นชมแค่คนที่ชี้ปัญหาได้ ต้องยกย่องคนที่ลงมือแก้จริง เช่น ทีมที่ปรับกระบวนการลดเวลาทำงานลงได้ครึ่งหนึ่ง หรือคิดวิธีบริการลูกค้าใหม่จนทำให้คะแนนความพอใจสูงขึ้น
* การยกตัวอย่างความสำเร็จเหล่านี้ให้เห็นในที่ประชุม จะทำให้คนอื่นอยากเดินรอยตาม และสร้างวงจรบวกของการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
4. ใช้เทคโนโลยีเป็นผู้ช่วย แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
* ปัจจุบัน AI และเครื่องมือดิจิทัลสามารถช่วยตรวจจับปัญหาได้ เช่น วิเคราะห์ข้อมูลผิดปกติหรือแจ้งเตือนเมื่อระบบมีความเสี่ยง
* แต่สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจแก้ไขต้องอาศัย “คน” ที่มีความคิดสร้างสรรค์และกล้ารับผิดชอบ
* ยกตัวอย่างเช่น แม้ระบบ AI แจ้งเตือนยอดขายผิดปกติ แต่ทีมการตลาดยังต้องเป็นผู้วิเคราะห์เชิงลึกและเลือกแนวทางแก้ที่เหมาะสมต่อสถานการณ์จริง
====
📌 ตัวอย่างใกล้ตัว?
* องค์กรไทยหลายแห่ง: หลายคนคงคุ้นกับการประชุมที่กินเวลานานกว่าสองชั่วโมง เต็มไปด้วยเสียงบ่นหรือการชี้ปัญหา เช่น ยอดขายตก บริการลูกค้าไม่ทัน แต่เมื่อจบการประชุมกลับไม่มีเจ้าภาพชัดเจนในการรับผิดชอบแก้ไข ผลที่ตามมาคือการตัดสินใจล่าช้า เสียเวลา และทำให้ทีมงานหมดกำลังใจ
* บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก: อย่าง Netflix ใช้วัฒนธรรม post-mortem คล้ายกับ Amazon ทุกครั้งที่ระบบล่ม พวกเขาจะรีบทำรายงานหาสาเหตุเชิงลึกและสรุปเป็นแผนป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เช่น กรณีระบบสตรีมมิ่งล่มในช่วงคนดูหนาแน่น Netflix จะเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และสรุปว่าต้องลงทุนเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานหรือปรับซอฟต์แวร์ตรงไหนบ้าง โดยไม่เสียเวลาโทษบุคคลใด
* Toyota และ Kaizen: โรงงานโตโยต้าเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนมีสิทธิ์กดปุ่มหยุดสายการผลิตทันทีที่พบปัญหา แต่การหยุดนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อ “บ่น” ว่ามีข้อผิดพลาด แต่เพื่อให้ทีมช่วยกันเสนอแนวทางแก้ไขทันที เช่น หากชิ้นส่วนประกอบไม่พอดี คนงานสามารถหยุดสายและชี้ปัญหา ก่อนที่สินค้าจำนวนมากจะผลิตออกมาเสียหาย การหยุดเพื่อแก้ตรงจุดเช่นนี้กลายเป็นหัวใจของระบบ Kaizen ที่เน้นการปรับปรุงเล็กๆ อย่างต่อเนื่อง
====
✨ สุดท้าย…คุณอยากสร้างทีมแบบไหน?
“องค์กรที่เต็มไปด้วยนักบ่น จะวนเวียนอยู่กับปัญหาไม่รู้จบ” “องค์กรที่เต็มไปด้วยนักแก้ปัญหา จะก้าวข้ามอุปสรรคและสร้างคุณค่าใหม่ๆ ได้เสมอ”
ในฐานะผู้นำ คุณต้องเลือก?
* จะสร้างทีมที่ถนัด “วิจารณ์” ทุกอย่างแต่ไม่ลงมือแก้?
* หรือสร้างทีมที่ถนัด “สร้างสรรค์” ทางออกและกล้าที่จะลงมือ?
“การบ่นอาจทำให้คุณถูกฟัง แต่การแก้ปัญหาจะทำให้คุณถูกนับถือ” “ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้บ่น”
#วันละเรื่องสองเรื่อง #ProblemSolving #Leadership #CorporateCulture #SolutionOriented #ภาวะผู้นำ #วัฒนธรรมองค์กร
ผู้นำ
วัฒนธรรมองค์กร
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย