6 ต.ค. เวลา 05:45 • สุขภาพ

แพทย์เตือน! ใช้แป้งโรยจุดซ้อนเร้น อาจเป็นตัวการกระตุ้นมะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่พบมากในสตรีไทย เป็นอันดับ 6 ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แพทย์เตือนไม่ควรใช้แป้งฝุ่นทาบริเวณจุดซ้อนเร้นเป็นเวลาอาจ อาจเป็นตัวการกระตุ้นโรค แนะวิธีการตรวจวินิจฉัย ป้องกันมะเร็งลุกลาม!
สถิติขององค์การอนามัยโลกในปี พ.ศ. 2551 พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ โดยสูงถึง 13% ของการเสียชีวิตของคนทั่วโลกโดยมากเสียยิ่งกว่าอัตราการเสียชีวิตด้วยโรค เอดส์ วัณโรคและมาลาเรียมารวมกัน ฟังดูแล้วชวนให้ขนหัวลุกกันไปตามๆ กัน สำหรับในประเทศไทยโรคมะเร็งรังไข่จะพบได้เป็นอันดับ 6 ของโรคมะเร็งในสตรี มีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคประมาณ 6.8/100,000 คนต่อปี
มะเร็งรังไข่
สาเหตุของมะเร็งรังไข่
ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดเกี่ยวกับสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้หญิงเป็นมะเร็งรังไข่ แต่จากสมมุติฐานของการเกิดโรค คาดว่าน่าจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดบาดแผลที่รังไข่บ่อยๆ ประกอบกับการที่รังไข่ได้รับตัวกระตุ้นหรือสารก่อมะเร็งไปพร้อมๆ กัน โดยสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้รังไข่ได้รับบาดเจ็บคือ
การมีรอบเดือนในผู้หญิง เนื่องจากไข่ที่ตกในทุกๆ เดือนจะทำให้รังไข่มีแผลเล็กๆ ที่หายได้เอง หากได้รับการกระตุ้นให้มีไข่ตกบ่อยๆ ก็จะมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ได้เช่นกัน รวมถึงคนที่ยังไม่มีลูกก็จะถือว่ามีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว
โรยแป้งในบริเวณจุดซ้อนเร้น เป็นสาเหตุมะเร็งรังไข่จริงหรือไม่ ?
แป้งเด็กบางชนิดอาจมีสารทัลคัม (Talcum Powder) ซึ่งผลิตมาจากการนำหินทัลคัมมาโม่ละเอียด เสร็จแล้วกรองเอาสิ่งแปลกปลอมและฆ่าเชื้อ อบแห้ง จนมาเป็นแป้งฝุ่น ซึ่งเจ้าแร่หินทัลคัมชนิดนี้ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติ จึงอาจทำให้เกิดการสะสมจนก่อให้เกิดอันตราย สาว ๆ ที่ชอบใช้แป้งฝุ่นทาลดความอับชื้น หรือ คุณพ่อคุณแม่ที่ชอบทาแป้งให้ลูกหลังอาบน้ำ
โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะพบว่า ฝุ่นแป้งและสารทัลคัมอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอด มดลูก ท่อนำไข่ และช่องท้อง ซึ่งก็มีงานวิจัยเตือนว่าอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งรังไข่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงไม่โรยแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้นก็น่าจะปลอดภัยและสบายใจมากกว่า รวมถึงการบริโภคอาหารไขมันสูง ซึ่งถือเป็นอาหารก่อมะเร็ง
อาการแฝงที่ซ่อนเร้นของมะเร็งรังไข่
มะเร็งรังไข่ ยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองที่ชัดเจน ทำให้ส่วนใหญ่พบการอุบัติของโรคขณะที่มะเร็งรังไข่เข้าสู่ระยะรุนแรง โดยอาการข้างเคียงที่จะพบได้บ่อยๆ มักมีอาการท้องอืดเสียดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อยท้องโตขึ้น
แต่อาการเหล่านี้ก็ใกล้เคียงกับโรคกระเพาะ ทำให้ผู้ป่วยบางส่วนไปตรวจด้วยเรื่องสงสัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบอยู่เป็นจำนวนมาก กว่าจะเข้ารับการรักษาที่ตรงโรคก็เมื่อเป็นระยะลุกลามมีอาการมากๆ สิ่งที่ไม่ควรละเลยคือการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี เนื่องจากหากตรวจพบมีก้อนรังไข่โตในระยะแรกเริ่ม การรักษาจะทำได้ง่ายกว่าและโอกาสหายขาดก็สูงกว่าเช่นกัน
การวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่ที่สำคัญ
การวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่ คุณหมอจะต้องทำการตรวจภายในและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งถ้าหากคลำพบก้อนที่ปีกมดลูกส่วนใหญ่จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ รู้ถึงหน้าตาและลักษณะของก้อนนั้นๆ โดยการทำการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหรืออัลตราซาวนด์ (ultrasound) ที่รู้จักกันดี บางกรณีที่ต้องการประเมินอวัยวะส่วนอื่นในช่องท้องอาจมีการส่งตรวจที่ละเอียดยิ่งขึ้น เช่น การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan หรือ MRI
นอกจากนั้นจะต้องมีการเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor marker) เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและตรวจติดตาม โดยทั่วไปมะเร็งรังไข่จะมีด้วยกันอยู่ 4 ระยะ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยระยะที่ 4 จะเป็นระยะสุดท้าย ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 2 แบ่งระยะของมะเร็งรังไข่ ดังนี้
ระยะที่ 1 คือตัวมะเร็งอยู่เฉพาะแต่ในรังไข่
ระยะที่ 2 คือตัวมะเร็งมีการกระจายในอุ้งเชิงกราน
ระยะที่ 3 คือตัวมะเร็งมีการแพร่กระจายในช่องท้อง
ระยะที่ 4 คือตัวมะเร็งมีการกระจายไปที่เนื้อตับหรืออวัยวะอื่นๆ นอกช่องท้อง
แนวทางการรักษามะเร็งรังไข่
หลายครั้งที่การรักษามะเร็งรังไข่เกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากผู้ป่วยมีภาวะตื่นตระหนกและรับไม่ได้กับโรคมะเร็งที่เกิดขึ้น ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 2 ให้กำลังใจผู้ป่วยโรคมะเร็งเพื่อต่อสู้กับเซลล์ร้ายให้ได้ สำหรับการรักษามะเร็งรังไข่ ภายหลังจากการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อกำหนดระยะของโรค สูตินรีแพทย์จะทำสิ่งเหล่านี้.
“ทำการตัดมดลูก ปีกมดลูกรังไข่ทั้ง 2 ข้าง เก็บน้ำในช่องท้อง ตัดไขมันบริเวณลำไส้ เลาะต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานและด้านข้างเส้นเลือดแดงใหญ่ในท้องเพื่อดู ว่ามีมะเร็งกระจายไปที่ใดบ้างที่อาจไม่เห็นด้วยตาเปล่า”
หลังผ่าตัดส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะอยู่โรงพยาบาล 4-5 วัน หลังจากนั้นคุณหมอจะนัดคนไข้มาฟังผลชิ้นเนื้อซึ่งถ้าเป็นระยะที่ 1ไม่มีการแตกของก้อนส่วนใหญ่การรักษาจะจบแค่การผ่าตัด แต่ถ้าเป็นมากกว่านั้นก็จะต้องมีการให้ยาเคมีบำบัดต่อทันที เพราะถึงแม้ว่าคุณหมอจะผ่าตัดเอาก้อนออกได้หมดแต่เซลล์มะเร็งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่ายังมีการกระจายอยู่ในร่างกายของเรา
ดังนั้นการให้ยาเคมีบำบัดจะช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งในส่วนนี้ อยากบอกว่าในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ระยะลุกลามจากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า 75-80% ผู้ป่วยจะสามารถตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดได้จนหายป่วยเลยทีเดียว
ผลข้างเคียงจากการให้ยาเคมีบำบัด
อาจมีอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ตั้งแต่ ภาวะซีด การติดเชื้อ เพราะเม็ดเลือดขาวต่ำการมีเกร็ดเลือดต่ำ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่ไขกระดูกถูกกดการทำงานอันเป็นผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดแทบจะทุกตัว ซึ่งมีการพัฒนาตัวยาที่สามารถลดอาการข้างเคียงดังกล่าวได้ผลดี อาทิ อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เป็นผลจากยาเคมี ปัจจุบันเราก็มียาแก้อาการดังกล่าว
การให้ยาเคมีบำบัดประมาณ 6 รอบ หลังจากนั้นจะต้องมีการตรวจติดตามเป็นระยะๆ ไปเรื่อยๆ โดยการตรวจจะประกอบไปด้วยการตรวจภายใน การตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งเป็นระยะในบางครั้ง อาจมีการตรวจเอ็กซเรย์ คอมพิวเตอร์ในบางราย โดยภายใน 2 ปีแรกหลังสิ้นสุดการรักษาก็จะนัดตรวจกันทุก 3 เดือน พอเข้าปีที่ 3-5 ก็จะนัดกันทุก 4-6 เดือน พอหลังจากครบ 5 ปีแล้วเราถือว่าโอกาสที่โรคมะเร็งจะกลับมาจะน้อยมากๆ คุณหมอก็จะนัดห่างจากเดิมสักหน่อยแต่ว่าไม่ใช่ว่าโรคจะไม่มีโอกาสกลับมาเลย เพราะคนไข้ก็ยังต้องมาตรวจติดตามตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 2 และ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/health/news/7215
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา