6 ต.ค. เวลา 09:32 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 34 สุทัศนอุทยาน

ด้านหน้า พบขันทีคุกเข่าเชิญเสด็จลงเรือ ลำธารน้ำใสดังมังกรแหวกวารี สองฟากฝั่งเหนือแนวลูกกรงหิน เป็นโคมแก้วผลึกใสหลากสีสันทอแสงสีเงินยวงปานประกายหิมะ แนวต้นหลิ่วต้นซิ่งสารพันไม้ด้านบน แม้จะไม่ออกดอก ก็ใช้แพรพรรณ กระดาษ เยื่อไม้ทงเฉ่า 通草 ประดับต่างดอกติดตามกิ่งก้าน แต่ละต้นแขวนโคมหมื่นถ้วย ผนวกกับในสระ มีโคมบัวบาน 荷 บัวบาหรือนางไม้ 荇 เป็ดน้ำ กระยาง ทำจากเปลือกหอยและขนนก แสงโคมบนล่างแข่งประชัน ดังอยู่ในโลกแห่งแก้วผลึกและอัญมณี บนเรือยังมีถ้วยจาน ม่านประดับ สะท้อนแสงเติมความเพริศแพร้ว
มาถึงท่าศิลาแห่งหนึ่ง เหนือท่ามีป้ายโคมเขียนว่า “หาดไผ่น้ำฝั่งมาลี 蓼汀花溆”
อักษรบนโคม “หาดไผ่น้ำฝั่งมาลี 蓼汀花溆” จนถึง “หงสายุรยาตร 有凤来仪” ล้วนได้มาจากการทดสอบเป่าวี่โดยเจี่ยเจิ้ง
ตระกูลเจี่ยเป็นตระกูลปราชญ์ ไม่ใช่พวกได้ดีกระทันหัน หรือเด็กอมมือไม่รู้ความ ย่อมต้องมีกวีฝีปากกล้าอยู่สักคนสองคน ก่อนเข้าวัง เจ้าจอมเจี่ยเคยรับการเลี้ยงดูอบรมของแม่เฒ่าเจี่ยมาแต่เล็ก ต่อมามีเป่าวี่อีกคน เจ้าจอมเจี่ยเป็นพี่สาวคนโต เป่าวี่เป็นน้องชายคนเล็ก เจ้าจอมเจี่ยรู้แก่ใจว่า กว่ามารดาจะมีน้องชายผู้นี้ก็ล่วงวัยใกล้ชราแล้ว จึงรักและเอ็นดูน้องชายคนนี้ยิ่ง ทั้งคู่อยู่ติดตามแม่เฒ่าเจี่ย ไม่เคยห่างจากกัน
ขณะเป่าวี่อายุสามสี่ขวบก่อนเข้าเรียน ก็ได้เจ้าจอมเจี่ยถ่ายทอดวิชาความรู้ในตำราให้ด้วยปากเปล่า จนรู้หนังสือนับพันคำ ถึงจะเป็นเพียงพี่น้อง ความผูกพันอาจเปรียบได้ดังแม่ลูก หลังจากเข้าวัง ก็ยังห่วงใยมิเคยลืม มีหนังสือมาถึงพ่อและพี่อยู่เสมอว่า
“สำคัญยิ่งต้องอบรมเลี้ยงดูให้ดี มิเข้มงวดมิอาจเป็นคนเต็มคน เข้มงวดเกินไปอาจเกิดผลเลยเถิด จนทำให้ท่านย่าต้องผิดหวัง”
วันก่อนเจี่ยเจิ้งฟังไต้หยูครูที่โรงเรียนกล่าวชมเชย จึงตั้งใจพาชมอุทยานเพื่อทดสอบ ถึงแม้จะมิใช่วจีกวีเอก แต่ก็เป็นลีลาสำนวนทางตระกูล หากเจ้าจอมเจี่ยได้เห็นถ้อยอักษรบนโคม ย่อมรู้แน่ชัดว่าเป็นของน้องรัก มิเสียทีที่คอยเป็นห่วงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เจี่ยเจิ้งจึงเลือกนำมาใช้ อีกทั้งยังให้ตั้งเติมมาในวันหลังอีกหลายคำ
เมื่อเจ้าจอมเจี่ยได้เห็นอักษรทั้งสี่ก็ยิ้มว่า
“เพียง “ฝั่งมาลี 花溆 (ฮวาซวี่)” สองอักษรก็พอ ไยต้องมี “หาดไผ่น้ำ 蓼汀” ด้วย”
ขันทีผู้หนึ่งจำคำแล้วรีบขึ้นจากเรือนำความไปรายงานเจี่ยเจิ้ง เจี่ยเจิ้งสั่งให้แก้คำจารึกบนแผ่นป้าย
เรือเข้าเทียบตลิ่งด้านใน กุ้ยเฟยขึ้นจากเรือเปลี่ยนขึ้นเกี้ยวต่อมายังพระตำหนักงามสง่า มีซุ้มทวารศิลาเขียนชื่อว่า “คันฉ่องเซียนสวรรค์ 天仙宝镜” กุ้ยเฟยทรงแก้เป็น “เรือนแรมเยี่ยมญาติ 省亲别墅” แล้วเสด็จเข้าไปด้านใน คบไฟต้นไม้ 庭燎 ล้อมอาณาเขต กลิ่นหอมอบอวลแทรกซึมไปทั่ว ตามต้นไม้ประดับโคมดังดอกไม้ไฟ หน้าต่างสีทองลูกกรงหยก ผ้าม่านละเอียดดังหนวดกุ้ง พรมจากหนังนาก สุดจะบรรยายได้หมดสิ้น
金门玉户神仙府,桂殿兰宫妃子家。
ทวารทองบัญชรหยกเทวานิเวศน์
วังพฤกษาผกาเขตคามพระสนม
กุ้ยเฟยตรัสถาม “ตำหนักนี้ไยไม่มีป้ายชื่อ”
ขันทีคุกเข่าตอบว่า “พระตำหนักใหญ่ หามีผู้ใดบังอาจถวายพระนาม”
ขันทีราชพิธีเชิญประทับบนตำหนัก มโหรีบรรเลง ขันทีสองท่านนำพวกเจี่ยเส้อ เจี่ยเจิ้งมาเข้าแถวบนชานชาลาเพื่อกราบคารวะ กุ้ยเฟยตรัสว่า “เว้น 免” แถวถอยกลับไป
ขันทีนำหยงกว๋อไท่จวิน 荣国太君 (แม่เฒ่าเจี่ย)และพระญาติฝ่ายสตรีมาเข้าแถวกราบคารวะ ทรงตรัสว่า “เว้น 免” แถวถอยกลับไป
หลังถวายน้ำชาสามรอบ มโหรีหยุดบรรเลง กุ้ยเฟยเสด็จลงจากแท่นที่ประทับ มาผัดภูษายังห้องด้านข้าง ให้เตรียมรถเยี่ยมญาติแล้วเสด็จออกจากอุทยาน
มาถึงเรือนใหญ่ของแม่เฒ่าเจี่ย พวกแม่เฒ่าเจี่ยจะคุกเข่าคารวะ เจ้าจอมสั่งให้หยุดแล้วก้าวเข้ามายุดมือแม่เฒ่าเจี่ยไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างยุดมือหวางฮูหยิน ทั้งสามมีคำพูดมากมายแต่กล่าวไม่ออกได้แต่หลั่งน้ำตาสะอื้นไห้ สิงฮูหยิน หลี่หวาน หวางซีเฟิ่ง หยิงชุน ทั่นชุน ซีชุนและคนที่เหลือยืนหลั่งน้ำตาเงียบๆ ไม่พูดจา
ผ่านไปค่อนวัน เจ้าจอมฝืนยิ้มตรัสปลอบใจว่า
“นับแต่วันที่ส่งตัวข้าเข้าไปยังสถานที่ที่ไม่อาจพบหน้าผู้คน ก็ยากนักที่จักได้กลับบ้านในวันนี้ พวกท่านแม่ไม่คุยไม่ยิ้มเอาแต่ร้องไห้ อีกเพียงครู่ ข้าก็ต้องกลับแล้ว ไม่รู้ว่าจักพบหน้ากันได้อีกครั้งช้าเร็วเพียงใด”
ตรัสแล้วอดไม่ได้ ต้องสะอื้นอีก
สิงฮูหยินรีบเข้ามาปลอบพระทัย แม่เฒ่าเจี่ยขอให้ประทับนั่งแล้วให้แต่ละคนเรียงตัวมาเข้าพบ ต่างอดมิได้ต้องร่ำไห้กันอีกครา จากนั้นก็เป็นพวกบริวารทั้งสองจวนพากันมาทำพิธีคารวะที่นอกห้องโถง ถัดมาเป็นเหล่าสะใภ้และสาวใช้
กุ้ยเฟยถอนพระทัยว่า “ญาติมากแท้ เสียดายมิอาจพบได้หมดทุกคน”
หวางฮูหยินว่า “ตอนนี้ยังมีญาติต่างสกุล สกุลเซวีย สกุลหวาง เป่าไช ไต้วี่ รออยู่ด้านนอก พวกที่ไม่รู้จัก ไม่อาจเข้ามา”
กุ้ยเฟยให้เชิญเข้ามา
พวกแม่น้าเซวียจึงเข้ามาจะคุกเข่าคารวะ กุ้ยเฟยทรงอนุญาตให้งดเว้น และให้มาทักทายไต่ถามกันเป็นคนๆ ไป ถัดไปเป็นเป้าฉิน 抱琴 กับพวกสาวใช้ที่ติดตามเมื่อเข้าวังครั้งแรกเข้ามาคารวะ แม่เฒ่าเจี่ยพยุงให้ลุกขึ้น แล้วให้ตามมารอรับใช้ยังอีกห้อง จึงได้เวลาที่แม่ลูกพี่น้องที่จากกันไปนานจักได้ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและความเป็นมาเป็นไปที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้น
แล้วก็ถึงคราของเจี่ยเจิ้งมารอสอบถามทุกข์สุขอยู่นอกม่าน เจ้าจอมหยวนชุนตรัสกับบิดาว่า
“ครอบครัวชาวไร่สามัญ ผักดองเกลือเสื้อผ้าหยาบ มีความสุขประสาครอบครัว บัดนี้พวกเรามั่งมีศรีสุข เลือดเนื้อไกลห่างเกินพานพบ สุดท้ายมีความหมายใด”
เจี่ยเจิ้งตอบทั้งน้ำตาว่า “กระหม่อมเป็นปุถุชนคนรากหญ้า ในฝูงสกุลกาหาเคยคาดคิดว่าจะมีพญาหงส์แฝงมาร่วมวงศ์ บัดนี้พระนางทรงรับพระมหากรุณาธิคุณจากองค์เหนือหัวเบื้องบนแผ่พระบารมีปกคลุมมายังบรรพชนเบื้องล่าง ล้วนเป็นด้วยโลกธาตุบันดาลดล เป็นบุญกุศลที่บรรพบุรุษสั่งสมมาแต่กาลก่อน หล่อหลอมรวมในพระนาง เป็นวาสนาของเจิ้งสามีภรรยา
องค์เหนือหัวทรงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ดังฟ้าดินให้กำเนิดและเลี้ยงดูสรรพชีวิต สุดที่จะทดแทนพระมหากรุณาธิคุณ มีแต่เพียงก้มหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดกำลัง ขอถวายพระพรให้ทรงพระชนมายุยืนหมื่นปี เป็นศรีแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน พระนางอย่าได้ทรงกังวลถึงเวลาที่เหลือของเจิ้งสามีภรรยา หากควรถนอมพระวรกาย ถวายการรับใช้องค์เหนือหัวให้สมกับที่พระองค์ทรงมีพระเมตตา”
เจ้าจอมเจี่ยว่า “งานเมืองสำคัญจริงอยู่ อย่างไรเสียก็มิควรละเลยรักษาสุขภาพ ”
เจี่ยเจิ้งว่า “นามตามหอและศาลาในอุทยานนั้น ล้วนเป่าวี่เป็นผู้ประดิษฐ์ หากเห็นว่ามีข้อใดไม่เหมาะสม ขอทรงประทานนามใหม่ให้เป็นมงคล”
กุ้ยเฟยฟังว่าเป่าวี่สามารถประดิษฐ์คำต่างๆ จึงยิ้มว่า “ก้าวหน้าขึ้นมากจริง”
เจี่ยเจิ้งลากลับไป
กุ้ยเฟยตรัสถามว่า “ทำไมไม่เห็นเป่าวี่”
แม่เฒ่าเจี่ยว่า “บุรุษที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ มิอาจเข้ามาโดยพลการ”
เจ้าจอมหยวนรับสั่งให้นำตัวมาพบ ขันทีนำเป่าวี่มาถึง ให้กระทำคารวะตามราชประเพณีแล้วเสร็จ เจ้าจอมให้เข้ามาหา กุมมือเป่าวี่เอาไว้ ลูบหัวเป่าวี่แล้วยิ้มว่า
“ตัวสูงขึ้นเยอะทีเดียว…”
ตรัสมิทันจบ น้ำตาก็ร่วงมาเป็นสาย
นางอิ๋วสื้อ และพวกพี่เฟิ่งเข้ามารายงานว่า “พระกระยาหารพร้อมแล้ว ขอเชิญกุ้ยเฟยเสด็จ”
กุ้ยเฟยลุกขึ้น รับสั่งให้เป่าวี่นำทาง นำทั้งคณะเดินมายังอุทยาน ผ่านชมจุดต่างๆ ทั้ง หงสายุรยาตร หอมแดงหยกเขียว ธงสุราม่านดอกซิ่ง เหิงจื่อระรื่น ขึ้นหอศาลา แวะชมน้ำและเขา กุ้ยเฟยชื่นชมว่างดงามแต่ปรารภว่า
“ภายหน้ามิควรฟุ่มเฟือยนัก สิ่งที่เห็นนี้ใช้จ่ายเกินควร”
มาถึงพระตำหนักใหญ่ กุ้ยเฟยอนุญาตให้งดเว้นราชประเพณี แล้วให้เริ่มงานเลี้ยง พวกแม่เฒ่าเจี่ยนั่งลงด้านล่าง มีนางอิ๋วสื้อ 尤氏 หลี่หวาน 李纨 พี่เฟิ่ง 凤姐 คอยยกน้ำแกงและเปลี่ยนจาน
กุ้ยเฟยรับสั่งให้เตรียมเครื่องเขียน หยิบพู่กันแล้วเลือกประทานนามสถานที่ที่พึงพระทัยเป็นพิเศษ โดยเริ่มจากชื่ออุทยานเรียก
“สุทัศนอุทยาน 大观园 (ต้ากวนหยวน)”
ป้ายหน้าตำหนักใหญ่ว่า
“สำนึกมหากรุณา 顾恩思义 (กู้เอินซือยี่)”
คำกลอนคู่ว่า
天地启宏慈,赤子苍生同感戴;
  古今垂旷典,九州万国被恩荣。
พระมหากรุณาจากฟ้าดิน
ชาวประชายินดีที่อาทร
นอกเหนือแบบอย่างแต่ปางก่อน
ทั่วพิภพอุดมพรรุ่งเรือง
“หงสายุรยาตร” ประทานนามใหม่เป็น “เรือนเซียวเซียง 潇湘馆 (เซียวเซียงก่วน ; เซียวเซียงเป็นชื่อลุ่มน้ำ)”
“หอมแดงหยกเขียว” แก้เป็น “ชื่นแดงชมเขียว 怡红快绿 (หยีหงไคว่ลวี่)” ประทานนามใหม่ “ลานชื่นแดง 怡红院 (หยีหงย่วน)”
 
“เหิงจื่อระรื่น” ประทานนามใหม่ “ลานขิงหอม 蘅芜院 (เหิงหวูย่วน)”
“ธงสุราม่านดอกซิ่ง” ประทานนามใหม่ “หมู่บ้านกุลสตรี 浣葛山庄 (ฮ่วนเก่อซานจวง)”
หอประธานเรียก “หอสุทัศน์ 大观楼 (ต้ากวนโหลว)” หอปีกตะวันออกเรียก “หอแพรปัก 缀锦阁 (จุ้ยจิ่นเก๋อ)” หอปีกตะวันตกเรียก “หอสุคนธรส 含芳阁 (หันฟางเก๋อ)”
(ชื่ออาคารต่างๆ ในที่นี้ ต่อไปจะเป็นที่พำนักของเป่าวี่และสาวๆ )
ยังมี “ศาลาลมสารท 蓼风轩 (เหลี่ยวเฟิงเซวียน)” “ศาลาหอมรากบัว 藕香榭 (โอ่วเซียงเซี่ย)” “เกาะดอกกระจับ 紫菱洲 (จื่อหลิงโจว)” “ตลิ่งใบนางไม้ 荇叶渚 (ซิ่งเย่จู่)” เป็นต้น
ชื่อป้ายมีว่า “ดอกสาลี่ฝนวส้นต์ 梨花春雨” “เฉือนถงลมสารท 桐剪秋风” “ดอกอ้อหิมะราตรี 荻芦夜雪”
กุ้ยเฟยตรัสว่า บรรดาอาคารที่มีป้ายและคำกลอนคู่เดิมอยู่แล้วไม่ต้องรื้อเปลี่ยน แล้วทรงประพันธ์บทกลอนคู่ชมอุทยานเป็นตัวอย่างว่า
衔山抱水建来精,多少工夫筑始成!
天上人间诸景备,芳园应锡“大观”名。
ภูผาล้อม วารีอ้อม งามวิจิตร
บรรจงเนรมิตเพียงใดให้บรรเจิด
ทั้งพิภพจบสวรรค์งามเลอเลิศ
สวนประเสริฐสมนาม“สุทัศนา”
ร่ายจบ ก็ตรัสกับพวกน้องสาวว่า
“ข้าเองด้อยสามารถไม่สันทัดเรื่องโคลงกลอน พวกน้องต่างรู้ดี ที่ต้องแต่งในวันนี้ก็เพียงเพิ่มบรรยากาศไม่ลบหลู่สถานที่ วันหน้ามีเวลา ข้ายังต้องเขียน 《บันทึกสวนสุทัศน์ 大观园记》และ《นิราศเยี่ยมญาติ 省亲颂》เพื่อรำลึกถึงวันนี้
จึงอยากให้พวกน้องช่วยกันแต่งบทกลอนสำหรับแต่ละแผ่นป้าย คนละป้ายคนละบท สุดแต่สามารถ อย่ายึดติดฝีกลอนต่ำต้อยของข้าเป็นเกณฑ์
สำหรับเป่าวี่ พอรู้ว่าประดิษฐ์คำได้ ข้าดีใจยิ่งนัก ในบรรดาสถานที่ ข้าชอบที่สุดสองแห่งคือ เรือนเซียวเซียง 潇湘馆 ลานขิงหอม 蘅芜院 ที่ชอบถัดไปคือ ลานชื่นแดง 怡红院 หมู่บ้านกุลสตรี 浣葛山庄 ทั่งสี่แห่งนี้ แม้คำกลอนเดิมจะดีอยู่ แต่ก็จะให้เจ้าแต่งใหม่ต่อหน้าข้า อย่าให้เสียทีที่สู้อุตส่าห์สอนเจ้ามาแต่เล็ก”
เป่าวี่จำต้องรับคำ แล้วมานั่งคิดคำประพันธ์ใหม่สี่บท
ตอนก่อนหน้า : วันเสด็จเยี่ยมญาติ
ตอนถัดไป : ประชันบทกลอน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา