เมื่อวาน เวลา 11:01 • ดนตรี เพลง

ภวังค์แห่งดวงจันทร์: ความงามนิรันดร์ใน “Moonmadness” ของ Camel

ในช่วงกลางทศวรรษ 1970s วงดนตรีแนว Progressive Rock จากอังกฤษนามว่า Camel ได้กลายเป็นหนึ่งในชื่อที่ถูกกล่าวถึงในวงกว้าง ด้วยผลงานที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ ความละเอียดลออ และความงามทางดนตรีที่ไม่ยึดติดอยู่ในขอบเขตของแนวเพลงใดแนวเพลงหนึ่งโดยเฉพาะ
หลังจากที่พวกเขาได้รับคำชื่นชมอย่างท่วมท้นจากอัลบั้ม The Snow Goose (1975) ซึ่งเป็นผลงานแนว Instrumental Concept Album ที่เล่าเรื่องราวจากวรรณกรรมคลาสสิกอย่างละเอียดละเมียดละไม Camel กลับมาสู่เวทีอีกครั้งในปี 1976 พร้อมกับอัลบั้ม Moonmadness — ผลงานที่ไม่เพียงแต่สานต่อจิตวิญญาณของ The Snow Goose เท่านั้น หากยังเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ทดลองสร้าง “เสียง” ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความพิถีพิถันและความไพเราะระดับชั้นครู
แม้จะมีแรงกดดันจากค่ายเพลงที่ต้องการให้งานชุดใหม่ของพวกเขามีความ “เชิงพาณิชย์” มากกว่าเดิม แต่ Camel กลับเลือกทางสายกลางระหว่างความสุนทรีย์แบบโปรเกรสซีฟกับโครงสร้างเพลงที่จับต้องได้มากขึ้น Moonmadness จึงเป็นงานที่มีความเป็น “มนุษย์” มากกว่า The Snow Goose — ซึ่งอัลบั้มนั้นแทบจะเป็นเหมือนโลกแห่งความฝันที่ไร้คำพูด — ขณะที่ใน Moonmadness สมาชิกวงเริ่มหันกลับมามีเสียงร้องอีกครั้ง แม้จะยังคงเน้นอารมณ์ทางเครื่องดนตรีเป็นหลักอยู่ก็ตาม
Moonmadness ถือเป็นอัลบั้มลำดับที่สี่ของ Camel และเป็นผลงานชุดสุดท้ายของไลน์อัพคลาสสิกที่ประกอบด้วย Andrew Latimer (กีตาร์, ฟลูต, ร้องนำ), Peter Bardens (คีย์บอร์ด), Doug Ferguson (เบส) และ Andy Ward (กลอง) ก่อนที่วงจะเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในยุคต่อมา
น่าสนใจที่แนวคิดของอัลบั้มนี้มีรากฐานอยู่บน “บุคลิกของสมาชิกแต่ละคน” — เพลง “Chord Change” แทนตัวของ Bardens, “Air Born” สื่อถึง Latimer, “Another Night” เป็นตัวแทนของ Ferguson และ “Lunar Sea” คือภาพสะท้อนของ Ward — ซึ่งทำให้ Moonmadness กลายเป็นเหมือนภาพพิมพ์ทางดนตรีของจิตใจและความเป็นตัวตนของวงในยุคนั้น
เสียงของอัลบั้มนี้เปิดฉากด้วย “Aristillus” — บทเพลงที่ไร้เนื้อร้องแต่เปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่แบบ Symphonic — เสียงซินธิไซเซอร์ชั้นเยี่ยมของ Bardens เคลื่อนตัวเหมือนคลื่นแสงเหนือที่สะท้อนกับเสียงกีตาร์ของ Latimer ที่ซ้อนชั้นเป็นม่านเสียงหลอนละเมียด ทั้งหมดทำให้บทเปิดนี้กลายเป็นการวางโทนของ “การเดินทางทางดนตรี” ที่กำลังจะเกิดขึ้น มันคือการประกาศว่าผู้ฟังกำลังจะเข้าสู่โลกแห่งความฝันที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอวกาศและมิติแห่งเสียงที่ล่องลอยเหนือพื้นดิน
จากนั้น “Song Within A Song” ก็เข้าสู่ความโรแมนติกที่นุ่มนวลและซับซ้อน เพลงนี้แสดงถึงความสามารถของ Camel ในการสอดประสานท่วงทำนองอันลื่นไหลเข้ากับโครงสร้างที่ละเอียดอย่างมีชั้นเชิง เสียงร้องอันนุ่มละมุนของ Latimer เคลื่อนผ่านริธึมที่เรียบแต่แฝงความไหววูบคล้ายคลื่นทะเล
เสียงซินธิไซเซอร์และกีตาร์หลอมรวมกันเป็นภาพความฝันแบบ English Pastoral (เรียบง่าย งดงามแต่เศร้าลึก) ก่อนที่ส่วนอินสทรูเมนทัลในช่วงกลางจะเปิดช่องให้แต่ละเครื่องดนตรีได้สำแดงฝีมืออย่างละเมียดละไม นี่คือช่วงเวลาที่ Camel แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจใน “สมดุล” ระหว่างความสวยงามทางเสียงและโครงสร้างทางเทคนิคอย่างแท้จริง
ก่อนที่ “Chord Change” ที่เปรียบเหมือนภาพสะท้อนของ Peter Bardens ทั้งในแง่ความคิดสร้างสรรค์และอารมณ์ของคีย์บอร์ดอันหลากหลายจะเปร่งประกายออกมา มันมีทั้งกลิ่นอายของ Canterbury Scene — โปรเกรสซีฟร็อกจากเมืองแคนเทอร์เบอรี อังกฤษ ช่วงปลายยุค 1960s ที่ผสมผสาน แจ๊ส, ร็อก, ไซคีเดลิก และอารมณ์ขันแบบอังกฤษ เข้าด้วยกันอย่างมีเอกลักษณ์ — ความลื่นไหลและการด้นสดของแจ๊ส และการเรียบเรียงแบบโปรเกรสซีฟที่ซับซ้อน
เสียงกีตาร์ของ Latimer พุ่งทะยานอย่างอิสระเหนือพื้นเสียงซินธ์ ในขณะที่เบสของ Ferguson เคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาและกลองของ Ward สร้างจังหวะที่เปลี่ยนทิศทางได้อย่างต่อเนื่อง ทุกองค์ประกอบดูเหมือนจะโคจรอยู่รอบศูนย์กลางเดียวกัน แต่ไม่เคยหยุดนิ่ง นี่คือบทเพลงที่ทำให้เห็นถึง “เคมี” ของทั้งสี่คนในช่วงที่วงอยู่ในจุดสูงสุดของความเป็นเอกภาพทางดนตรี
ถัดมากับ “Spirit Of The Water” ที่สั้นแต่เต็มไปด้วยความงามที่ไร้น้ำหนัก เพลงนี้ราวกับเสียงสะท้อนของดวงจันทร์ในทะเลนิ่ง ละเมียดในทุกคีย์โน้ต Bardens ใช้เสียงคีย์บอร์ดที่เบาบางจนแทบละลายกลายเป็นหมอก ขณะที่เสียงร้องเบา ๆ ของ Latimer เปล่งออกมาเหมือนเสียงในฝัน มันเป็นช่วงพักใจระหว่างความซับซ้อนของสองเพลงก่อนและพายุทางอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นในเพลงต่อไป
“Another Night” กลับมาสู่พลังร็อกที่ตรงไปตรงมา แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความประณีต เสียงกีตาร์ที่ขับเคลื่อนด้วยริฟฟ์เรียบง่ายแต่หนักแน่นทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์ของความคลาสสิกในแบบปลายยุค 70s แต่สิ่งที่ทำให้มันไม่กลายเป็นเพลงป๊อปธรรมดาคือการเรียบเรียงเสียงคีย์บอร์ดและเบสที่ซับซ้อนแบบโปรเกรสซีฟ ทุกโน้ตถูกจัดวางอย่างมีเหตุผล จังหวะกลองของ Ward เต้นเป็นหัวใจของเพลงอย่างมั่นคงและสง่างาม
สมาชิกวงรุ่นบุกเบิก (ซ้ายไปขวา): Doug Ferguson, Peter Bardens, Andrew Latimer และ Andy Ward
เมื่อถึง “Air Born” ความงามอันละเมียดละไมของ Camel ก็ปรากฏขึ้นในรูปแบบที่งดงามที่สุด เพลงนี้คือการหลอมรวมของเสียงซินธิไซเซอร์อันโอบอุ้มกับเสียงฟลูตของ Latimer ที่ล่องลอยอย่างละเอียดอ่อน เพลงเคลื่อนผ่านบรรยากาศที่คล้ายการเดินทางเหนือท้องฟ้าในยามพลบ
เสียงร้องที่อ่อนโยนของ Latimer เติมความรู้สึกเปราะบางที่จับต้องได้ มันคือบทเพลงที่สะท้อนความเป็น “มนุษย์” ของเขาท่ามกลางโลกแห่งเครื่องเสียงที่เยือกเย็น และเมื่อเสียงกีตาร์เข้ามาทาบกับเสียงคีย์บอร์ด มันชวนให้นึกถึงความโดดเดี่ยวอันงดงามที่มีเพียงศิลปินผู้เข้าใจความงามของความเงียบงันเท่านั้นที่จะรังสรรค์ขึ้นมาได้
และสุดท้าย “Lunar Sea” — เพลงที่ถือเป็นจุดสูงสุดของทั้งอัลบั้มและหนึ่งในผลงานระดับตำนานของ Camel — มันคือการระเบิดพลังของความสามารถเชิงเทคนิคและการประพันธ์ที่ซับซ้อน เพลงนี้ไม่มีเนื้อร้อง แต่กลับเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องที่ชัดเจนผ่านเสียงเครื่องดนตรี
เสียงซินธิไซเซอร์สร้างภาพของทะเลดวงจันทร์อันไร้คลื่น ก่อนจะค่อย ๆ แตกตัวออกเป็นการปะทะของกีตาร์ เบส และกลองที่สอดประสานกันอย่างน่าทึ่ง ช่วงกลางของเพลงพัฒนาไปสู่ความตึงเครียดที่ค่อย ๆ สูงขึ้นจนถึงจุดระเบิดของเสียงกีตาร์ที่กลายเป็นหนึ่งในโซโล่ที่ทรงพลังที่สุดในอาชีพของ Latimer มันคือบทสรุปที่ทั้งงดงาม เศร้า และเปี่ยมด้วยอารมณ์ในเวลาเดียวกัน
ในเชิงเทคนิค Moonmadness เป็นอัลบั้มที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการบันทึกเสียงในระดับสูงสุดของยุคอนาล็อก เสียงแต่ละชั้นมีมิติและลึกซึ้งจนผู้ฟังควรใช้เครื่องเสียงที่มีคุณภาพเพื่อรับรู้รายละเอียดอย่างครบถ้วน การมิกซ์เสียงของอัลบั้มนี้ยังคงเป็นตัวอย่างของการจัดสมดุลระหว่างเครื่องดนตรีได้อย่างไร้ที่ติ ไม่มีชิ้นใดกลบอีกชิ้นหนึ่ง แต่กลับเสริมกันในเชิงอารมณ์ได้อย่างลงตัว
ในด้านแนวทางทางดนตรี Moonmadness อาจจะมีความ “เข้าถึงได้ง่าย” กว่า The Snow Goose แต่ไม่ได้หมายความว่ามันขาดความลึกซึ้ง ตรงกันข้าม อัลบั้มนี้คือการแสดงให้เห็นว่าศิลปินสามารถทำให้ความซับซ้อนกลายเป็นสิ่งที่สุนทรีย์และจับต้องได้ Camel สามารถสร้างดนตรีที่มีความลึกแบบโปรเกรสซีฟได้โดยไม่จำเป็นต้องซับซ้อนจนผู้ฟังหลงทาง
หากจะเปรียบเทียบกับวงอื่นในยุคนั้น เช่น Pink Floyd กับ Wish You Were Here หรือ Genesis กับ A Trick Of The Tail จะเห็นได้ว่า Moonmadness อยู่ในเส้นทางเดียวกันของการเปลี่ยนผ่านจากความทะเยอทะยานทางศิลปะในยุคต้น 70s สู่ความละเอียดอ่อนและเป็นส่วนตัวมากขึ้น Camel ทำได้อย่างงดงามโดยไม่ต้องสูญเสียอัตลักษณ์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย
Camel live at The Royal Albert Hall ปี 2018
ในมุมของการตีความเชิงแนวคิด “ความบ้าคลั่งของดวงจันทร์” หรือ Moonmadness อาจเป็นการเปรียบเปรยถึงความเป็นศิลปิน — การแสวงหาความงามในความเดียวดาย ความลึกลับของแรงบันดาลใจที่มักเกิดขึ้นในความมืดและความเงียบ และการแสดงออกของ “สติ” และ “ความบ้า” — Lunacy ที่แปลว่าความบ้าคลั่ง มีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า Luna (ดวงจันทร์) — ที่เดินเคียงกันในทุกกระบวนทำนอง ดวงจันทร์ในที่นี้อาจไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความฝัน แต่คือภาพแทนของจิตใจที่กำลังโคจรรอบจักรวาลแห่งความคิดสร้างสรรค์ไม่รู้จบ
เมื่อฟังจบทั้งอัลบั้ม เราจะสัมผัสได้ว่ามันคือบทกวีทางเสียงที่ถูกเรียบเรียงด้วยความรักและความเข้าใจในรายละเอียดทางอารมณ์ ทุกเพลงมีความต่อเนื่องที่กลมกลืนกันจนเหมือนอยู่ในจักรวาลเดียวกัน ความสงบ ความฝัน ความเหงา และความงามหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไร้รอยต่อ
Moonmadness จึงไม่ใช่เพียงอัลบั้มที่ “สวยงาม” เท่านั้น แต่มันคือหลักฐานของช่วงเวลาที่ Camel อยู่ในจุดสูงสุดของการเป็นวงที่เข้าใจทั้งศิลปะและหัวใจของดนตรี Progressive Rock อย่างแท้จริง มันคือผลงานที่ทำให้ผู้ฟังทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ยังคงหวนกลับมาค้นพบรายละเอียดใหม่ๆ ทุกครั้งที่เปิดฟัง — และอาจกล่าวได้ว่า นี่คือ “บทสุดท้ายของยุคทอง” ของ Camel ก่อนที่แสงจันทร์จะค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับเสียงสะท้อนของกีตาร์ที่ยังคงล่องลอยอยู่ในอวกาศแห่งเสียงเพลงไม่รู้จบ
Cr. Allmusic
---
โฆษณา