Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Pasin Suttikittipong, Ph.D.
•
ติดตาม
10 ต.ค. เวลา 04:36 • สุขภาพ
ไขข้อสงสัย! โรงพยาบาลเก็บ "เวชระเบียน" ของผู้ป่วยไว้กี่ปี? พร้อมข้อกฎหมายที่ควรรู้ 🩺
เคยสงสัยไหมครับว่าประวัติการรักษาที่เราเคยไปหาหมอเมื่อหลายปีก่อนจะยังอยู่ดีไหม? หรือถ้าวันหนึ่งเราต้องการข้อมูลการผ่าตัดเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จะยังสามารถขอได้อยู่หรือเปล่า? คำถามเหล่านี้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอยากรู้ วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันถึง "อายุ" ของเวชระเบียน พร้อมดูกันให้ชัดว่ามีกฎหมายอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง
หลักการทั่วไป: มาตรฐาน 5 ปี และ 10 ปี ที่ไม่ใช่กฎตายตัว
โดยส่วนใหญ่แล้ว โรงพยาบาลในประเทศไทยจะยึดถือแนวปฏิบัติในการจัดเก็บเวชระเบียนที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ดังนี้ครับ:
• เวชระเบียนผู้ป่วยทั่วไป: จัดเก็บ 5 ปี นับจากการขาดการติดต่อหรือเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้าย
• เวชระเบียนผู้ป่วยที่เสียชีวิต หรือเกี่ยวข้องกับคดีความ: จัดเก็บ 10 ปี
หากคุณไปขอประวัติการรักษาไข้หวัดเมื่อ 6 ปีก่อน ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่แฟ้มของคุณจะถูกทำลายไปตามระเบียบแล้ว แต่ช้าก่อน! ตัวเลข 5 และ 10 ปีนี้ ไม่ได้มาจากกฎหมายทางการแพทย์โดยตรงเพียงฉบับเดียว แต่เป็นมาตรฐานที่เกิดจากการอ้างอิงกฎหมายและระเบียบอื่นๆ ประกอบกัน
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ความจริงที่ซับซ้อนกว่าที่คิด ⚖️
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ "ไม่มี พ.ร.บ. การจัดเก็บเวชระเบียน" ที่ระบุตัวเลข 5 ปี หรือ 10 ปีไว้โดยตรง แต่แนวปฏิบัตินี้มีรากฐานมาจาก:
1. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526
กฎหมายนี้เป็นเหมือนคัมภีร์การจัดการเอกสารของหน่วยงานราชการ ซึ่งโรงพยาบาลรัฐต้องปฏิบัติตาม โดยมีหลักการคือ
• เอกสารที่ปฏิบัติงานเสร็จแล้วให้เก็บไว้อย่างน้อย 5 ปี
• เอกสารที่เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์หรือต้องใช้ตรวจสอบ ให้เก็บไว้อย่างน้อย 10 ปี
โรงพยาบาลจึงนำหลักการนี้มาปรับใช้กับเวชระเบียน ซึ่งเป็นที่มาของตัวเลข 5 และ 10 ปีนั่นเอง
2. พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)
กฎหมาย PDPA เข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัล โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลา แต่กำหนด "หลักการ" ที่สำคัญว่า:
"สถานพยาบาล (ผู้ควบคุมข้อมูล) ต้องจัดเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น และเมื่อหมดความจำเป็นหรือพ้นระยะเวลาที่กำหนดแล้ว จะต้องดำเนินการลบหรือทำลายทันที"
กฎหมายนี้จึงเป็นการยืนยันว่าโรงพยาบาลไม่สามารถเก็บข้อมูลของเราไว้ตลอดไปได้ และต้องมีนโยบายการทำลายข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งระยะเวลา 5-10 ปีก็ถือเป็นกรอบเวลาที่เหมาะสมตามหลักการนี้
• ผู้ป่วยทั่วไป: เก็บรักษาเวชระเบียนไว้เป็นเวลา 5 ปี หลังจากที่ผู้ป่วยขาดการติดต่อหรือไม่ได้เข้ารับการรักษาต่อเนื่อง
• ผู้ป่วยที่เสียชีวิต: เก็บรักษาเวชระเบียนไว้เป็นเวลา 10 ปี
• ผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับคดีความ: เก็บรักษาเวชระเบียนไว้เป็นเวลา 10 ปี หรือจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
เมื่อครบกำหนด โรงพยาบาลจะต้องดำเนินการทำลายเอกสาร
📵ข้อยกเว้นสำคัญ: เมื่อเวชระเบียนต้องเก็บนานกว่าที่คิด!
นอกเหนือจากหลักการทั่วไปแล้ว ยังมีเวชระเบียนบางประเภทที่ถูกจัดเก็บยาวนานเป็นพิเศษ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น
• จัดเก็บ 20 ปี: 👶
• เวชระเบียนผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการ ผ่าตัด, การคลอด, การเกิด, และการเสียชีวิต เนื่องจากเป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีผลทางกฎหมายและสุขภาพในระยะยาว จึงต้องมีระยะเวลาจัดเก็บที่นานเป็นพิเศษ หรือบาง รพ. อาจจะเก็บเวชระเบียนผู้นอก (OPD) ที่ 20 ปี เช่นกัน
โดยเฉพาะสถาบันการแพทย์ขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ เลือกที่จะเก็บเวชระเบียนผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ไว้นานถึง 20 ปี
เพราะจะแสดงให้เห็นถึง:
• การดำเนินของโรค (Disease Progression)
• การตอบสนองต่อยาแต่ละชนิดในระยะยาว
• ผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นช้าๆ
• แนวโน้มของผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การมีข้อมูล OPD ครบ 20 ปี ช่วยให้แพทย์รุ่นหลังสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย โดยไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
• จัดเก็บตลอดไป: ✈️
• เวชระเบียนด้านเวชศาสตร์การบิน: มีความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยสาธารณะ ต้องเก็บถาวรตามมาตรฐานการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
• แฟ้มเวชระเบียนที่ถูก "อายัด": คือแฟ้มที่เกี่ยวข้องกับคดีความในชั้นศาลหรือการสืบสวนของตำรวจ ทั้งตัวแฟ้มและ "บัญชีคุมการส่งมอบ" จะต้องถูกเก็บไว้ตลอดไปเพื่อเป็นพยานหลักฐาน
กระบวนการและขั้นตอนในการขออนุมัติทำลาย📝🔥
โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนที่เป็นระบบคล้ายคลึงกัน ดังนี้ครับ:
ขั้นตอนที่ 1: การคัดแยกและจัดทำบัญชี (Identification)
เมื่อถึงรอบประจำปี (เช่น ทุกสิ้นปีปฏิทิน) แผนกเวชระเบียนจะคัดกรองแฟ้มประวัติที่ ครบกำหนดระยะเวลาจัดเก็บ ตามนโยบายของโรงพยาบาล
• ตัวอย่าง: ในปี 2568 จะคัดแยกแฟ้มผู้ป่วยทั่วไปที่ขาดการติดต่อตั้งแต่ปี 2563 หรือก่อนหน้านั้น (ครบ 5 ปี) ออกมา
• จากนั้นจะจัดทำเป็น "บัญชีเวชระเบียนขออนุมัติทำลาย"
ขั้นตอนที่ 2: การตรวจสอบและยืนยัน (Verification)
ก่อนส่งขออนุมัติ บัญชีรายชื่อจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าแฟ้มเหล่านั้นไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องเก็บต่อ เช่น:
• ผู้ป่วยกลับมารักษาอีกครั้งหรือไม่?
• แฟ้มอยู่ระหว่างการถูกอายัด หรือเกี่ยวข้องกับคดีความหรือไม่?
• เป็นแฟ้มที่ต้องใช้เพื่อการตรวจสอบ (Audit) ของหน่วยงานจ่ายเงิน (เช่น สปสช.) หรือไม่?
• เป็นแฟ้มที่อยู่ในโครงการวิจัยที่ยังไม่สิ้นสุดหรือไม่?
• เป็นแฟ้มที่เข้าข่ายข้อยกเว้น (ผ่าตัด, คลอด, เสียชีวิต ฯลฯ) ที่ต้องเก็บนานกว่าปกติหรือไม่?
ขั้นตอนที่ 3: การเสนอขออนุมัติ (Approval)
บัญชีรายชื่อที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว จะถูกเสนอต่อ คณะกรรมการเวชระเบียน (Medical Record Committee) หรือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพื่อพิจารณาและลงนาม "อนุมัติให้ทำลาย" อย่างเป็นทางการ
ขั้นตอนที่ 4: การทำลายอย่างปลอดภัย (Secure Destruction)
เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการทำลายซึ่งต้อง รักษาความลับสูงสุด ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
• เอกสารกระดาษ: จะถูกนำไปทำลายด้วยวิธีการที่ปลอดภัย เช่น ใช้เครื่องทำลายเอกสารขนาดใหญ่ (Shredding), การเผา, หรือส่งให้บริษัทที่รับจ้างทำลายเอกสารอย่างปลอดภัย
• ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EMR): จะต้องถูกลบออกจากระบบอย่างถาวรด้วยวิธีการทางเทคนิคที่ไม่สามารถกู้คืนได้ (Secure Deletion/Data Wiping)
ขั้นตอนที่ 5: การจัดทำหลักฐานการทำลาย (Documentation)
หลังจากการทำลายเสร็จสิ้น จะมีการจัดทำบันทึกหรือรายงานสรุปผลการทำลาย ระบุว่าได้ทำลายเวชระเบียนตามบัญชีใด เมื่อไหร่ ด้วยวิธีใด และเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สรุปและคำแนะนำ 📝
จะเห็นได้ว่าการจัดเก็บเวชระเบียนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เป็นกระบวนการที่มีระเบียบและข้อกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายข้อเดียวที่ระบุทุกอย่าง แต่ทุกโรงพยาบาลต่างมีนโยบายภายในที่สอดคล้องกับหลักการเหล่านี้
คำแนะนำ: หากคุณมีประวัติการรักษาที่สำคัญ เช่น การผ่าตัดใหญ่ หรือการรักษาโรคซับซ้อน ควรติดต่อแผนกเวชระเบียนเพื่อ ขอสำเนาประวัติ เก็บไว้กับตัวเองหลังสิ้นสุดการรักษา จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการมีข้อมูลสุขภาพไว้ดูแลตัวเองในระยะยาวครับ
เทคโนโลยี
สุขภาพ
การแพทย์
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย