10 ต.ค. เวลา 16:24 • ความคิดเห็น

🗣️ “นักวิจารณ์” หรือ “ผู้ลงมือทำ”

เมื่อ “การบ่น” กลายเป็นความหรูหราที่โลกยุคใหม่ไม่มีที่ให้
เพราะการ “ชี้ปัญหา” ไม่เคยเปลี่ยนโลก  แต่ “การรับผิดชอบ” ต่างหากที่ขับเคลื่อนมันได้จริง
====
💥 เมื่อทุกห้องประชุมเต็มไปด้วย “นักวิจารณ์”
เราต่างคุ้นกับภาพนี้ดี ห้องประชุมที่ทุกคนพร้อมชี้ข้อบกพร่องได้เป็นฉากๆ มีเสียงเสนอความคิดเห็นดังไปทั่ว แต่เมื่อคำถามง่ายๆ ถูกโยนออกมาว่า

“แล้วใครจะเป็นคนเริ่มทำ หรือแก้?”
…ห้องที่เคยครึกครื้นกลับเงียบลงทันที เหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศกับความอึดอัดในอากาศที่หนาแน่นขึ้นทุกวินาที
นี่ไม่ใช่ภาพเฉพาะในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่คืออาการเรื้อรังของวัฒนธรรมองค์กรทั่วโลก ที่คนจำนวนมากเลือกอยู่ในโซนปลอดภัยของ “การวิจารณ์” มากกว่า “การลงมือทำ” เพราะการวิจารณ์ไม่ต้องใช้ความกล้า ไม่ต้องรับความเสี่ยง และไม่ต้องถูกวัดผลจากผลลัพธ์ใดๆ มันคือ “ความฉลาดที่ราคาถูกที่สุด” ที่เราเผลอติดใจ
แต่โลกยุคใหม่ไม่ได้ใจดีกับคนที่ “รู้มากแต่ไม่ทำ” อีกต่อไป เพราะในยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (VUCA World) สิ่งที่องค์กรต้องการไม่ใช่ “ผู้รู้” แต่คือ “ผู้รับผิดชอบ” คนที่พร้อมแบกผลลัพธ์ไว้บนบ่า แม้ปัญหานั้นจะไม่ใช่ของตัวเองโดยตรงก็ตาม
โลกไม่เคยเปลี่ยนแปลงด้วยเสียงของนักวิจารณ์ แต่มันเปลี่ยนด้วยมือของผู้ที่ลุกขึ้นทำ
====
⚓️ “Extreme Ownership”: จากสนามรบสู่โต๊ะทำงาน
แนวคิดนี้ถือกำเนิดจากสนามรบจริงของหน่วยรบพิเศษ U.S. Navy SEALs โดย Jocko Willink และ Leif Babin สองผู้นำที่อยู่ท่ามกลางภารกิจเสี่ยงชีวิตในเมืองรามาดี ประเทศอิรัก และต่อมาได้ถ่ายทอดบทเรียนผ่านหนังสือ Extreme Ownership: How U.S. Navy SEALs Lead and Win ซึ่งกลายเป็นคู่มือการพัฒนาภาวะผู้นำที่องค์กรระดับโลกอย่าง Microsoft, Google และ Deloitte นำไปประยุกต์ใช้จริง
* หัวใจของ Extreme Ownership คือการ “รับผิดชอบอย่างสุดขั้ว” (Own Everything in Your World) — การไม่โทษระบบ หัวหน้า หรือลูกทีม แต่เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ว่า “เราทำอะไรได้บ้างตอนนี้ เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น?”
* มันคือการยอมรับว่า เราอาจไม่ควบคุมทุกอย่างได้ แต่เราสามารถ “รับผิดชอบต่อการตอบสนองของเรา” ได้เสมอ และนั่นคือความต่างระหว่าง “ผู้บ่น” กับ “ผู้นำ”
“ความเป็นผู้นำไม่ได้หมายถึงการสั่งการ แต่มันเริ่มจากการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ใช่ความผิดของคุณก็ตาม.”
ในโลกองค์กร แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยให้ทีมรับมือกับวิกฤตได้ดีขึ้น แต่ยังสร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้ใจ เพราะเมื่อทุกคนยอมรับความจริงโดยไม่โทษใคร พลังของทีมจะกลับมาเต็มร้อยทันที
====
💡 “เริ่มเล็ก แต่เริ่มเลย” เพราะแผนใหญ่ไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าไม่มีคนลงมือ
สิ่งที่ทำลายทีมมากที่สุดไม่ใช่ “การทำพลาด” แต่คือ “การไม่เริ่ม” หลายคนติดกับดักของความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism Trap) ที่ทำให้พลังของทีมหมดไปกับการเตรียมแทนที่จะเริ่ม
ในขณะที่ “ผู้ลงมือทำ” รู้ว่าแผนที่ดีที่สุด คือแผนที่เริ่มได้ทันที  แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม พวกเขามองหา “จุดเริ่มต้นเล็กๆ” ที่อยู่ในมือ แล้วทำให้มันดีขึ้นทันที เช่น
* แก้ไขคำผิดในเอกสารสำคัญที่ไม่มีใครกล้าแตะ
* ทดลองประชุมรูปแบบใหม่ที่ใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวแต่ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม
* อาสาเขียนร่างแรกของข้อเสนอ แทนที่จะรอคนอื่นเริ่ม
สิ่งเล็กๆ เหล่านี้คือแรงกระเพื่อมที่สร้าง “วัฒนธรรมแห่งการลงมือ (Culture of Action)” และเมื่อทีมเริ่มเห็นผลเล็กๆ ซ้ำๆ มันจะกลายเป็นแรงขับภายในที่ทรงพลังกว่าคำสั่งใดๆ จากเบื้องบน
“Start small, start right, and the rest will follow.”
====
🧭 จาก “นักวิจารณ์” สู่ “ผู้ลงมือทำ”?
1. เปลี่ยนคำว่า “แต่…” เป็น “แล้วถ้า…”
* คำว่า แต่ คือสัญลักษณ์ของคนที่ชี้ปัญหา ส่วนคำว่า แล้วถ้า คือสัญลักษณ์ของคนที่หาทางออก
* “แผนนี้ดีนะ แต่ งบไม่พอ” → “แล้วถ้า เราเริ่มจาก pilot project เล็กๆ ล่ะ?”
2. ใครเห็นก่อน คนนั้นเริ่มก่อน
* จงสร้างวัฒนธรรมที่ว่า “ใครเห็นปัญหา คนนั้นเป็นเจ้าของปัญหา” อย่าปล่อยให้คำว่า “ไม่ใช่หน้าที่ฉัน” กลายเป็นคำติดปาก
* เพราะองค์กรที่รอดในโลกยุคนี้คือองค์กรที่ทุกคนกล้า “เป็นเจ้าของผลลัพธ์ร่วมกัน”
3. ใช้หลัก Circle of Control
* ไม่ต้องพยายามแก้ทุกอย่าง จงเริ่มจากสิ่งที่เราควบคุมได้จริงวันนี้ ถามตัวเองว่า “อะไรคือสิ่งเล็กที่สุดที่เราทำได้ตอนนี้เพื่อให้ดีขึ้น?” แล้วทำมันเลย
* "ไม่ต้องรอความสมบูรณ์แบบ!!"
4. เสนอปัญหาพร้อมแนวทางแก้
* หากต้องการพูดถึงปัญหาในที่ประชุม ให้พก “ไอเดีย” มาด้วยเสมอ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องเริ่มต้น
* เพราะนั่นคือสัญญาณของทีมที่คิดเชิงสร้าง (Constructive Thinking) แทนที่จะคิดเชิงโทษ (Blame Thinking)
5. สื่อสารด้วยเจตนา “ร่วมแก้ ไม่ใช่โชว์เก่ง”
* หลายครั้งวัฒนธรรมการวิจารณ์เกิดขึ้นเพราะทุกคนอยากพิสูจน์ว่า “ฉันรู้มากกว่า” แต่ทีมที่แข็งแกร่งจะรู้ว่า การชี้ปัญหาโดยไม่ยื่นมือช่วย คือการทำลายความไว้ใจ
* จงพูดด้วยเจตนา “เพื่อให้ดีขึ้น” ไม่ใช่ “เพื่อให้ดูดีขึ้น”
====
🔄 จากห้องประชุมสู่ชีวิตจริง?
แนวคิด Extreme Ownership ไม่ได้ใช้ได้แค่ในที่ทำงาน แต่มันคือ mindset สำหรับชีวิตทั้งหมด
* ในความสัมพันธ์ การทำงานอาสา หรือแม้แต่ในครอบครัว การที่เรายอมรับผิดก่อน โทษตัวเองก่อน และถามว่า “ฉันทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ดีขึ้น?” มักจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นเสมอ
* เพราะการรับผิดชอบไม่ใช่การยอมแพ้ แต่มันคือการยืนขึ้นและประกาศว่า “เราจะเป็นส่วนหนึ่งของทางออก” และคนที่คิดแบบนี้มักจะกลายเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ  แม้ไม่มีตำแหน่งผู้นำติดหน้าชื่อก็ตาม
====
✨ โลกไม่ได้ต้องการเสียงวิจารณ์อีกต่อไป
โลกวันนี้เต็มไปด้วยเสียงที่ดัง แต่ขาดมือที่ลงมือทำ มีคนมากมายที่อธิบายได้ละเอียดว่าทำไมสิ่งต่างๆ ถึงล้มเหลว แต่มีน้อยคนนักที่จะยอมลงแรงเพื่อทำให้มันสำเร็จจริง
“อย่ารอหัวหน้า อย่ารอคำสั่ง และอย่ารอความพร้อม”

ครั้งต่อไปที่คุณเห็นสิ่งที่ไม่เข้าท่า อย่าถามว่า “ใครจะทำ?” แต่ถามว่า “ถ้าเริ่มจากฉันล่ะ?”
เพราะสุดท้าย โลกไม่ได้เปลี่ยนด้วยคนที่พูดเก่งที่สุด แต่ด้วยคนที่รับผิดชอบมากที่สุด
และความเป็นผู้นำไม่ได้เริ่มที่ตำแหน่ง แต่มันเริ่มที่การเลือกจะ “ลงมือทำ” แม้ในเรื่องเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า
“Stop criticizing. Start owning.”
“หยุดบ่น แล้วเริ่มรับผิดชอบ”
====
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#ExtremeOwnership
#LeadershipInAction
#AccountabilityMindset
#StopComplainingStartDoing
#RealLeadersDo
โฆษณา