Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชตระกูล ศรีสวัสดิ์
•
ติดตาม
6 พ.ย. เวลา 13:09 • ข่าวรอบโลก
สหรัฐอเมริกา
เมื่อปากีสถานแทงข้างหลังจีน ?
การพบปะกันของปากีสถานกับสหรัฐเมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 ณ ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว
เดิมทีมุกในการเยือนครั้งนี้เป็นเพียงการเยือนธรรมดา แต่กลับกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ในสายตาสาธารณชนนานาชาติ และบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างจีนและปากีสถานในทันที
ครั้งนั้น พลเอกมูนีร์ (Syed Asim Munir Ahmed Shah)เสนาธิการทหารบกปากีสถาน ได้มอบกล่องไม้บรรจุตัวอย่างแร่ธาตุให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์
ครั้งนี้ เหมือนกับว่า..."ปากีสถานจะใช้เทคโนโลยีของจีนเพื่อมอบแร่ธาตุหายากให้แก่สหรัฐฯ"
สอดคล้องกับข่าวตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ทั้งบทความและวิดีโอที่มีข้อคิดเห็นพาดหัวข่าวทำนองเดียวกันนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนอินเทอร์เน็ต
หลังจากที่จีนประกาศนโยบายควบคุมแร่ธาตุหายาก สื่อบางสำนักก็นำเสนอภาพ "การทรยศ"นี้ออกมา
2
ทำให้รู้ว่า....ปากีสถานไม่ได้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับเขาอีกต่อไป โดยจงใจส่งออกแร่ธาตุหายากไปยังสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่มีความอ่อนไหว
และใช้เทคโนโลยีแร่ธาตุหายากของจีนเพื่อเอาใจสหรัฐฯ แน่นอน...จีนโกรธแค้นและรีบดำเนินมาตรการควบคุมแร่ธาตุหายากเพื่อเป็นการตอบโต้ในทันที
นอกจากการส่งออกแร่ธาตุหายากไปยังสหรัฐฯ แล้ว ยังมีเหตุการณ์อีกสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์แรก คือ แผนการของปากีสถานที่จะเปิดท่าเรือเปอร์สนี ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของท่าเรือกวาดาร์ที่จีนควบคุม 112 กิโลเมตร ให้กับสหรัฐฯ
และอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ สงครามฉับพลันระหว่างปากีสถานกับอัฟกานิสถาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของเอเชียใต้
ข่าวลือทั้งสามเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อน? แล้ววววววว ปากีสถานแทงข้างหลังจีนจริงหรือ?
ก่อนอื่นเรามาพูดถึงประเด็นนี้กันก่อนนะครับ เด๋วผมจะลืม ฮาาาาาา... เริ่มที่เรื่องปากีสถานส่งออกแร่ธาตุหายากไปยังสหรัฐอเมริกาก่อนล่ะกัน
1
หลายสายข่าว มีภาพที่ถูกแชร์กันว่า "เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีปากีสถานเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาและพบกับทรัมป์เป็นเวลา 80 นาที
2
เขามอบกล่องสมบัติแร่ธาตุหายาก (บรรจุตัวอย่างแร่ธาตุหายาก 18 ชนิด) เป็นของขวัญให้กับทรัมป์
ขณะเดียวกัน ก็มีการประกาศความร่วมมือระหว่างปากีสถานและสหรัฐฯ ในการพัฒนาแร่ธาตุหายาก โดยมีการลงทุนเริ่มต้นจากสหรัฐฯ มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
1
ต่อมาในวันที่ 2 ตุลาคม การขนส่งแร่ธาตุหายากครั้งแรกจากปากีสถานไปยังสหรัฐอเมริกา (ในการพัฒนาแร่ธาตุหายากของปากีสถาน จีนได้จัดหาอุปกรณ์ทำเหมืองและฝึกอบรมด้านเทคนิคการแปรรูปและการสกัด)ก็เกิดขึ้น
เกิดอะไรขึ้น ...ปากีสถานจะเปลี่ยนใจเกี่ยวกับการส่งออกแร่ธาตุหายากไปยังสหรัฐอเมริกาหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ภาพดังกล่าวยังมีความไม่สอดคล้องกันหลายๆอย่าง
อย่างแรก แร่ธาตุหายากในตระกูลนี้มีธาตุถึง 17 ชนิด แต่ในภาพกลับอ้างว่ามีถึง 18 ชนิด ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
ข้อต่อมา ข้อตกลงความร่วมมือเพิ่งบรรลุเมื่อวันที่ 25 กันยายน และสินค้าชุดแรกถูกส่งออกไปเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ซึ่งห่างกันไม่ถึง 10 วัน ประสิทธิภาพการผลิตนี้รวดเร็วราวสายฟ้าแลบเลยทีเดียว
2
ใครก็ตามที่มีประสบการณ์ในการผลิตเชิงอุตสาหกรรมย่อมรู้ดีว่า
-ต้องมีการดีบักอุปกรณ์
-ต้องซื้อวัตถุดิบ
-ต้องทดสอบเทคโนโลยี และต้องแก้ไขรายละเอียดต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ โดยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง
1
แล้ววววว....ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึง10 วันได้อย่างไร?
สุดท้าย ในความเห็นส่วนตัวของผม คิดว่าแร่ในกล่องสมบัติที่ปากีสถานมอบให้ทรัมป์นั้นน่าจะไม่ใช่แร่ธาตุหายากใดๆเลย
1
แต่อย่าพึ่งเชื่อผมนะครับ ..โฆษกกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ออกมาชี้แจงประเด็นนี้ว่า "แร่ที่ผู้นำปากีสถานนำเสนอและนำเสนอต่อผู้นำสหรัฐฯ นั้นเป็นตัวอย่างดิบของอัญมณีปากีสถานที่เจ้าหน้าที่จัดซื้อ"
มันเป็นเพียงอัญมณีเท่านั้น สรุปแล้ว ภาพออนไลน์ก็มีข้อบกพร่องมากมาย ด้วยประการฉะนี้
ในการแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม เมื่อสื่อมวลชนสอบถามความเห็นของพี่จีนเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ว่า
ปากีสถานกำลังแทงข้างหลังจีน โฆษกได้ตอบอย่างชัดเจนว่า "รายงานที่คุณกล่าวถึงนั้นล้วนมาจากการขาดความเข้าใจ การคาดเดาที่ไร้เหตุผล หรือแม้แต่ความพยายามสร้างความขัดแย้ง ซึ่งล้วนไม่มีมูลความจริงทั้งสิ้น"
เอาล่ะงั้นเรามาที่เหตุการณ์ที่สอง
ปากีสถานได้เสนอท่าเรือปาสนีให้กับสหรัฐอเมริกา หลายคนมองว่านี่จะกลายเป็นคู่แข่งกับท่าเรือกวาดาร์
อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของคำกล่าวอ้างนี้ยังคงเป็นที่น่าสงสัย แม้ว่าจะมีความร่วมมืออย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคามใดๆต่อจีนนะครับ
เพราะ ปัจจุบันปาสนียังคงเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา เมื่อพิจารณาจากศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกาแล้ว
ยังไม่ชัดเจนว่าการก่อสร้างท่าเรือแห่งนี้จะแล้วเสร็จเมื่อใด
แม้ว่าท่าเรือจะแล้วเสร็จ แต่การดำเนินการต่อไปจะเป็นความท้าทายที่สำคัญมากกว่า
แม้แต่ ประธานบริษัท ไชน่า โอเวอร์ซีส์ พอร์ตส โฮลดิ้ง (ปากีสถาน) จำกัด ก็เคยกล่าวไว้ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2566 ท่าเรือกวาดาร์มีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเพียง 1,162 TEU เท่านั้น
ดังนั้นแล้ว หากคิดเป็นปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเพียง 2,000 ถึง 3,000 TEU ต่อปี เมื่อเทียบกับปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าทั่วไป
ท่าเรือกวาดาร์โดยทั่วไปมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าไม่มีทางถึงจำนวนหลายแสนหรือหลายล้าน TEU
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเทียบกับท่าเรือบัลติมอร์ในสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่า 1.1 ล้านTEU ในปี พ.ศ. 2566 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 100 ของโลก
จะเห็นได้ว่า ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าของท่าเรือกวาดาร์น้อยกว่าบัลติมอร์ถึงร้อยละ 1 และสถานะการดำเนินงานของท่าเรือกวาดาร์นั้นเรียกได้ว่า
"แทบจะล้มละลาย" เนื่องจาก แม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยอดเยี่ยม แต่ท่าเรือกวาดาร์กลับยังขาดพื้นที่เศรษฐกิจภายในที่เพียงพอ
1
บาลูจิสถานซึ่งตั้งอยู่นั้น มีประชากรเพียง 10 ล้านคนเศษๆ และเศรษฐกิจยังด้อยพัฒนาอย่างมาก ส่งผลให้ความต้องการสินค้านำเข้าและส่งออกอยู่ในระดับต่ำ
ส่งผลให้ท่าเรือกวาดาร์มีขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าจำกัด
หากสหรัฐฯ วางแผนสร้างท่าเรือปาร์สนี ทดแทน ก็จะต้องเผชิญกับความท้าทายเช่นเดียวกับท่าเรือกวาดาร์
ออ ลืมเกริ่นไปครับ....มีข่าวลือว่าท่าเรือปาร์สนี มีจุดประสงค์เพื่อขนส่งทองแดง พลวง และทรัพยากรแร่อื่นๆ จากบาลูจิสถาน มาพักนึงแล้วล่ะ
1
แต่อย่างไรก็ตาม ใครก็ตามที่มีวิจารณญาณจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่เพียงแต่แร่ในภูมิภาคจะสามารถขุดได้สำเร็จเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะขุดได้สำเร็จ ขนาดที่เพียงพอต่อการดำเนินงานของท่าเรือก็ยังคงเป็นข้อกังวล
นอกจากนี้ การทำเหมืองยังใช้เวลานาน อาจใช้เวลาสามถึงห้าปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์ ในช่วงเวลาดังกล่าว ต้องมีความไม่แน่นอนหลายอย่างตามมา
เช่น พรรคเดโมแครตจะยังคงเดินหน้าต่อไปหรือไม่หลังจากที่พรรครีพับลิกันหมดอำนาจในอีกสามปีข้างหน้า
https://www.lowyinstitute.org/the-interpreter/pakistan-s-pasni-port-pitch-washington-can-reshape-regional-rivalries-china-india
ดังนั้น ท่าเรือปาร์สนีจึงไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับจีนในระยะสั้น และเป็นเหมือนงานนำเสนอ PowerPoint ซะมากกว่า
1
สุดท้าย คือความขัดแย้งชายแดนขนาดใหญ่เกิดขึ้นระหว่างปากีสถานและอัฟกานิสถาน
ผมขอกลับไปในช่วงดึกของวันที่ 11 ตุลาคม กองทัพปากีสถานเป็นฝ่ายเริ่มและยึดฐานที่มั่นในอัฟกานิสถาน 19 แห่งในเวลาสั้นๆ
มีสื่อหลายสำนักตีความว่าปากีสถานร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพในเอเชียใต้
แต่ความขัดแย้งนี้ได้รับการแก้ไขในภายหลังผ่านการไกล่เกลี่ยโดยซาอุดีอาระเบียและกาตาร์
อย่างไรก็ตาม การวิจัยเล็กๆ น้อยๆ เผยให้เห็นว่าความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอัฟกานิสถานเป็นเรื่องปกติ
1
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2567 ทั้งสองประเทศได้ปะทะกันครั้งใหญ่ 3 ครั้งในเดือนมีนาคม สิงหาคม และธันวาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
นับตั้งแต่กลุ่มตาลีบันกลับมามีอำนาจในเดือนสิงหาคม 2564 ทั้งสองประเทศได้ปะทะกันครั้งใหญ่ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง
สำหรับการปะทะกันในระดับเล็กกว่านั้น ตัวเลขก็ดูยิ่งสูงขึ้นไปอีก และสาเหตุหลักของความขัดแย้งก็ยังตรึงอยู่ที่เส้นดูรันด์
ซึ่งเป็นไฮไลต์เป็นสีแดงในภาพด้านล่าง
ขออธิบายก่อนนะครับ ว่า เส้นดูรันด์ นั้นเกิดจากความพยายาม(ที่ไม่ประสบความสำเร็จ)ของชาวอาณานิคมอังกฤษในการยึดครองอัฟกานิสถาน
1
โดยยึดครองได้เพียงบางส่วนเท่านั้น พื้นที่ที่อังกฤษควบคุมนี้ต่อมาจึงกลายเป็นดินแดนของปากีสถาน
ดินแดนนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวปาทานจำนวนมาก ซึ่งบังเอิญเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักในอัฟกานิสถานด้วยนี่สิ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เส้นดูรันด์แบ่งพื้นที่ที่มีชาวปาทานอาศัยอยู่ออกเป็นสองประเทศ ซึ่งกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวปาทานต้องเจ็บปวดมาจนถึงปัจจุบัน
2
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอัฟกานิสถานหลายสมัยจึงปฏิเสธที่จะรับรองเส้นดูรันด์ จนเมื่อกลุ่มตาลีบันเป็นฝ่ายค้าน และพวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปากีสถาน
อย่างไรก็ตามหลังจากขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาไม่กล้ายอมรับในประเด็นเส้นดูรันด์ มันจึงบังคับให้พวกเขาต้องใช้แนวทางที่แข็งกร้าว ซึ่งเปรียบเสมือนการฆ่าตัวตายทางการเมือง
1
ในทางกลับกัน ปากีสถานก็ไม่น่าจะคืนดินแดนให้กับอัฟกานิสถานเช่นกัน ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างสองประเทศ
การปะทะกันในคืนวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา แทบจะไม่ใช่เหตุให้ตื่นตระหนกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำกล่าวอ้างที่ว่า "ปากีสถานกำลังร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา"
เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวอ้างที่ว่า "ปากีสถานกำลังแทงข้างหลังจีน(เพราะสหรัฐอเมริกา)" นั้นเป็นเพียงข่าวลือล้วนๆ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงต้องระมัดระวังความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานและสหรัฐอเมริกา
ท้ายที่สุดแล้ว พัฒนาการล่าสุดบ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานและสหรัฐอเมริกากำลังอบอุ่นขึ้น
ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นระหว่าง ปากีสถานและสหรัฐอเมริกานี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน เมื่อ พลเอกมูนีร์ บิน อับดุลอาซิซ เสนาธิการทหารบกปากีสถาน ได้เดินทางเยือนทำเนียบขาวและรับประทานอาหารกลางวันกับทรัมป์
จนกระทั่งในช่วงกลางเดือนสิงหาคม มูนีร์ได้เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อหารือกับนักการเมืองอเมริกันและนายทหารระดับสูงของสหรัฐฯ หลายคน
นับตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานและสหรัฐฯ เสื่อมถอยลงในปี 2561 ทั้งสองประเทศไม่มีการเยือนระดับสูงร่วมกันเป็นเวลาถึง 7 ปีเชียวนะครับ
1
และการเยือนสหรัฐฯ ทั้งสองครั้งของมูนีร์ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานและสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ
ส่วนทาง ทรัมป์ ก็ตกลงที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ที่กระชับขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากชัยชนะของปากีสถานในการรบทางอากาศเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงคุณค่าเชิงยุทธศาสตร์ของปากีสถาน
ยิ่งไปกว่านั้น จุดยืนที่ดื้อรั้นของอินเดียและการปฏิเสธที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในประเด็นต่างๆ เช่น การซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องดำเนินการตามนี้อย่างเร่งด่วน
1
และที่สำคัญ การเยือนสหรัฐฯ สองครั้งของมูนีร์ได้นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่สำคัญ
นั่นคือ การที่ สหรัฐฯ ตกลงที่จะเพิ่มกองทัพปลดปล่อยบาลูจิสถาน (BLA) เข้าไปในรายชื่อองค์กรก่อการร้าย ซึ่งถือเป็นชัยชนะทางการทูตครั้งสำคัญของปากีสถาน
ต่อมา สหรัฐอเมริกาและปากีสถานก็ได้ลงนามข้อตกลงน้ำมันในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม
สำหรับ ข้อตกลงน้ำมันปากีสถาน-สหรัฐฯนี้ โดยพื้นฐานแล้วข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงเพื่อประโยชน์ของตระกูลทรัมป์เพรียวๆเลยนะครับ
1
กล่าวคือ รัฐบาลปากีสถานจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับตระกูลทรัมป์ในบาลูจิสถานเพื่อนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน เพราะการลักลอบขนน้ำมันเป็นปัญหาสำคัญข้ามพรมแดนอิหร่าน และราคานำเข้าค่อนข้างต่ำ
บริษัทร่วมทุนนี้จะได้กำไรมหาศาลจากการทำธุรกรรมครั้งนี้เพียงครั้งเดียว
2
นอกเหนือจากภาคส่วนน้ำมันแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังจะร่วมมือกันพัฒนาทรัพยากรแร่ซึ่งกันและกันอีกด้วย
ในทางกลับกัน สหรัฐอเมริกาจะลดภาษีสินค้าของปากีสถานจาก 29% เหลือ 19% ซึ่งต่ำกว่าอัตราภาษีของอินเดียที่ 50% อย่างมาก
แต่ขอบอก ปากีสถานและสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรกันมาตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันในปี 2497 โน้นนนนน แม้เท่าที่ผ่านมาจะมีอุปสรรคมากมาย แต่บทบาทหลักของพันธมิตรยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
1
เด๋วจะหาว่าผมโม้ เอาล่ะๆๆๆขอยกตัวอย่างอย่างอุปกรณ์ทางทหารเป็นตัวอย่าง ครั้งโน้นนนนน ก่อนที่จะมีการนำอุปกรณ์ที่ผลิตในจีนมาใช้ในวงกว้าง
2
กองทัพปากีสถานยังคงพึ่งพาอุปกรณ์ที่ผลิตในอเมริกาเป็นหลักอยู่นะครับ
แม้ในปัจจุบัน อุปกรณ์ที่ผลิตในจีนจะมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่อุปกรณ์ที่ผลิตในอเมริกาก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในกองทัพปากีสถาน
ในส่วนของระบบข่าวกรอง หน่วยข่าวกรองระหว่างเหล่าทัพ (ISI) ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งได้บ่มเพาะบุคลากรมาเป็นเวลาหลายปี และสั่งสอนพวกเขาอย่างใกล้ชิด
สำหรับเพื่อนๆที่ติดตามข่าวนี้มักจะได้ข่าวบ่อยๆว่าในช่วงต้นปี 2552 เคยมีรายงานว่า CIA ได้แอบให้เงินทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์แก่หน่วยข่าวกรองของปากีสถาน
1
นอกจากการสนับสนุนทางการเงินแล้ว CIA พวกเขายังจัดการฝึกอบรมเฉพาะทางให้กับเจ้าหน้าที่ ISI ที่ฐานทัพลับในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นประจำ
1
และบังเอิญว่า จอมพลมูนีร์ ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ก็เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ISI ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนี้
ทำให้ปากีสถานยังคงพึ่งพาสหรัฐฯ อย่างมากในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ
หากความเสี่ยงเหล่านี้มีอยู่จริง ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ อาจนำเข้าแร่ธาตุหายากปริมาณมากจากจีนผ่านปากีสถาน หรือใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวกรองเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ของจีน
ตั้งแต่ปี 2566 ถึง 2568 ปากีสถานได้ขอสินเชื่อจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ถึงสามครั้ง มูลค่ารวมกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์
อย่างที่เราๆทราบกันอยู่ ...เงื่อนไขการกู้ยืมของ IMF นั้นเข้มงวด
ไม่จำกัดเพียงการตัดงบประมาณ การยกเลิกเงินอุดหนุนด้านพลังงาน และการขึ้นราคาไฟฟ้า เชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติ จึงเกิดขึ้นตามมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นราคาไฟฟ้าได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างมากในปากีสถาน
ปากีสถานประสบปัญหาไฟฟ้าดับเรื้อรัง
1
โดยเฉลี่ยแล้วมีไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ทั่วประเทศ 31 ครั้งต่อเดือน หรือหลายร้อยครั้งต่อปี เทียบเท่ากับไฟฟ้าดับหนึ่งครั้งต่อวัน ส่งผลให้ระบบจ่ายไฟฟ้าไม่เสถียรอย่างรุนแรง
สิ่งนี้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งการดำรงชีวิตของประชาชนและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ในสถานการณ์เช่นนี้ การขึ้นราคาไฟฟ้าได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ประชาชนตาดำๆเป็นอย่างมาก
1
แต่ปากีสถานก็ไม่มีทางเลือก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของปากีสถานยังคงย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง
โดยอัตราการเติบโตของ GDP ผันผวนอยู่ที่ประมาณ 0% ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลงเหลือ 3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งแทบจะไม่พอสำหรับการชำระเงินนำเข้าและส่งออก
1
ด้วยเศรษฐกิจที่ใกล้จะล่มสลาย ปากีสถานจึงถูกบังคับให้ยอมรับเงื่อนไขของ IMF ภายใน 18 วัน ....ไม่ว่ากฏจะเข้มงวดเพียงใด
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นายกรัฐมนตรีชาห์บาซของปากีสถานกล่าวว่า "ขณะนี้คณะผู้แทน IMF กำลังอยู่ในปากีสถาน ทำให้ชีวิตของเรายากลำบากอย่างยิ่ง... เงื่อนไขที่เราต้องเผชิญนั้นเกินกว่าจะจินตนาการได้ แต่เราไม่มีทางเลือก"
ด้วยเงินกู้ของ IMF ต้องได้รับการอนุมัติจากสหรัฐฯ และเป็นไปได้ว่าทรัมป์อาจใช้กลยุทธ์นี้เพื่อกดดันปากีสถานให้ดำเนินการที่ผลประโยชน์ต่อตนเอง
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นระหว่างปากีสถานและสหรัฐฯ โดยทั่วไปแล้วเป็นผลประโยชน์ของจีน ฮาาาาา..
และการเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียเป็นสิ่งที่จีนอยากเห็นน้อยที่สุด และเมื่อ "ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก" เกิดขึ้นมันจะส่งผลเสียอย่างมาก
1
หากปากีสถานคือกุญแจสำคัญในการพลิกผัน “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ด้วยความขัดแย้งที่ฝังรากลึกระหว่างปากีสถานและอินเดีย ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถาน สหรัฐอเมริกา และอินเดียจึงถือเป็น
“สามเหลี่ยมที่เป็นไปไม่ได้” กล่าวโดยสรุปคือ สหรัฐอเมริกายากที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทั้งอินเดียและปากีสถานไปพร้อมๆ กัน
แน่นอน...ความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและปากีสถานจะก่อให้เกิดความไม่พอใจของอินเดีย นำไปสู่ความเสื่อมถอยของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดีย
1
ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดียจะนำไปสู่การละเลยปากีสถานได้ง่าย
2
ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและปากีสถานเย็นชาลง
ไม่ใช่ว่าผมจะกังวลไปเองนะครับ “สามเหลี่ยมที่เป็นไปไม่ได้” นี้เคยปรากฏให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาและปากีสถานเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด ขณะที่อินเดียเป็นพันธมิตรกึ่งหนึ่งของสหภาพโซเวียต และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดียก็ต้องอยู่ในระดับปานกลาง
หลังจากสิ้นสุดสงครามเย็น ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ปากีสถานยังคงใกล้กันเป็นเวลานาน
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-อินเดียกลับไม่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินอยู่จนถึงปี 2561
ต่อมาในเดือนมีนาคม 2561 “สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน” ได้ปะทุขึ้น และต่อมาทรัมป์ได้นำ “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” มาใช้
โดยร่วมมือกับอินเดียเพื่อควบคุมจีน กลยุทธ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-อินเดียดีขึ้น ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ปากีสถานก็ซบเซาลงอย่างรวดเร็ว
เป็นช่วงเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2567 จึงไม่ได้มีการปฏิสัมพันธ์ระดับสูงระหว่างสหรัฐฯ และปากีสถาน
ในทางตรงกันข้าม โมดีได้สนทนาอย่างครึกครื้นกับทั้งทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรกและไบเดน
1
หลังจากดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-อินเดียกลับซบเซาลงเนื่องจากหลายปัจจัย
เช่น ปัญหาน้ำมันรัสเซีย ภาษีศุลกากร และ “สงครามทางอากาศ (7 พฤษภาคม)”
ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ปากีสถานก็อบอุ่นขึ้น แต่ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความผันผวนชั่วคราวในรายละเอียด
ทั้งหมดจะกำหนดทิศทางแนวโน้มนี้ในเชิงรุก
ด้วยความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นระหว่างปากีสถานและสหรัฐฯ สามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ
และพวกเขาจะเปลี่ยนมันให้เป็นมีดอันคมกริบโดยผ่าน “(ยุทธศาสตร์)อินโด-แปซิฟิก”ได้หรือไม่? โปรดติดตามกันต่อไป!!!
2
สหรัฐอเมริกา
รัสเซียยูเครน
ธุรกิจ
1 บันทึก
8
12
1
1
8
12
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย