Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
18 ต.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ
ไถฟีดบ่อยทำสมองฝ่อ ผลวิจัยล่าสุดชี้ ยิ่งเล่นโซเชียลมาก เด็กยิ่งฉลาดน้อยลง
ในโลกยุคใหม่ที่แสงสีฟ้าจากหน้าจอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างแยกไม่ออก เราต่างได้เห็นภาพที่คุ้นตาของเด็กๆ ที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ไม่ว่าจะบนโต๊ะอาหาร, ในรถ, หรือแม้แต่ในห้องนอน
คำถามสำคัญที่วนเวียนอยู่ในใจของผู้ปกครองและนักการศึกษาทั่วโลกจึงไม่ใช่แค่ว่า เด็กๆ ใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปหรือไม่? แต่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งและน่ากังวลกว่านั้นว่า แล้วเวลาเหล่านั้นกำลังส่งผลกระทบอะไรต่อพัฒนาการทางสมองของพวกเขาบ้าง?
ที่ผ่านมาเรามักจะพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับปัญหาสุขภาพจิตเป็นหลัก แต่อยากจะมาชวนคุยในประเด็นที่อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่า นั่นคือผลกระทบโดยตรงต่อสติปัญญาและประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
วันนี้ ผมมีเรื่องราวจากการศึกษาที่ติดตามพัฒนาการของเด็กหลายพันคนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี เพื่อวาดภาพให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเส้นกราฟของการใช้โซเชียลมีเดียที่พุ่งสูงขึ้น กับเส้นกราฟของความสามารถทางปัญญาที่อาจจะกำลังดิ่งลง
และภาพที่ปรากฏออกมานั้นก็ชัดเจนจนน่าใจหาย มันคือหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ยิ่งเด็กๆ ดื่มด่ำอยู่ในโลกเสมือนจริงของโซเชียลมีเดียมากเท่าไหร่ ศักยภาพทางสมองของพวกเขาในโลกแห่งความเป็นจริงก็อาจจะยิ่งถดถอยลงมากเท่านั้น
ก่อนที่เราจะไปถึงผลลัพธ์ที่น่าตกใจนั้น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า "เวลาหน้าจอ" ไม่ได้มีค่าเท่ากันทั้งหมด การนั่งดูการ์ตูนหรือสารคดีบนทีวี ซึ่งเป็นกิจกรรมแบบ "รับสื่อฝ่ายเดียว" (Passive screen time) นั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการเล่นโซเชียลมีเดียครับ
โซเชียลมีเดียถูกออกแบบมาเพื่อเรียกร้อง "การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง" (Active participation) จากผู้ใช้ตลอดเวลา สมองของเราต้องทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งการเลื่อนดูฟีดที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลหลากหลายรูปแบบ, การประมวลผลและตัดสินใจว่าจะกดไลค์หรือคอมเมนต์อะไร, การคอยเช็คการแจ้งเตือนที่ดังขึ้นมาเป็นระยะ, ไปจนถึงการคิดและสร้างสรรค์คอนเทนต์ของตัวเองเพื่อนำเสนอต่อโลกออนไลน์
สภาวะที่สมองต้องเปิดสวิตช์ตลอดเวลาเช่นนี้สร้างภาระและความเหนื่อยล้าให้กับระบบประสาทมากกว่าการนั่งดูหน้าจอเฉยๆ อย่างเทียบไม่ติด
เพื่อที่จะพิสูจน์สมมติฐานนี้ นักวิจัยได้ดึงข้อมูลจากโครงการศึกษาระยะยาวที่น่าทึ่งที่สุดโครงการหนึ่งของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า ABCD Study ซึ่งเป็นโครงการที่ติดตามชีวิตของเด็กๆ นับหมื่นคนตั้งแต่ยังเล็กจนเติบโตเป็นวัยรุ่น เพื่อทำความเข้าใจว่าปัจจัยต่างๆ ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและพฤติกรรมของพวกเขาอย่างไร
ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ พวกเขาได้คัดเลือกเด็กจำนวน 6,554 คน ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อคืออายุ 9 ถึง 13 ปี และได้ติดตามพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของพวกเขาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 3 ปี ควบคู่ไปกับการทำแบบทดสอบมาตรฐานเพื่อวัดประสิทธิภาพของสมองในด้านต่างๆ เช่น ความสามารถในการอ่าน, ความจำ, และคลังคำศัพท์
จากข้อมูลมหาศาลที่รวบรวมมา นักวิจัยสามารถจำแนกเส้นทางชีวิตบนโซเชียลมีเดีย ของเด็กๆ ออกได้เป็น 3 กลุ่มที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
กลุ่มแรกและเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด คือกลุ่มเด็กที่ "ไม่เล่นหรือเล่นน้อยมาก" ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของเด็กทั้งหมด กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่ "เล่นน้อยแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ" ซึ่งมีอยู่ประมาณหนึ่งในสาม
และกลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุดแต่ก็น่าเป็นห่วงที่สุด คือกลุ่มที่ "เล่นหนักและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว" ซึ่งมีอยู่ราว 5.8% และเมื่อนำผลการทดสอบประสิทธิภาพของสมองของเด็กทั้งสามกลุ่มมาวางเทียบกัน ความจริงอันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น
ผลการวิเคราะห์ชี้ชัดว่า เด็กในกลุ่มที่ "เล่นหนัก" มีคะแนนการทดสอบความสามารถทางปัญญา "ต่ำที่สุด" อย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางภาษาและความจำ ในทางกลับกัน เด็กในกลุ่มที่ "ไม่เล่นหรือเล่นน้อย" กลับทำคะแนนได้ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน
มันคือภาพของความสัมพันธ์ที่สวนทางกันอย่างชัดเจน ยิ่งเส้นกราฟของการใช้โซเชียลมีเดียพุ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ เส้นกราฟของคะแนนความสามารถทางสมองก็ยิ่งดิ่งต่ำลงมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผมต้องขอเน้นย้ำว่านี่คืองานวิจัยเชิงสังเกตการณ์ที่แสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ที่น่ากังวล แต่ยังไม่สามารถฟันธงถึงสาเหตุที่แท้จริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ก้าวต่อไปที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับวงการวิทยาศาสตร์คือการหาคำตอบให้ได้ว่า กลไกที่แท้จริงเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้คืออะไร โซเชียลมีเดียเข้าไปรบกวนการพัฒนาของวงจรประสาทในสมองโดยตรงหรือไม่? หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ "โจรขโมยเวลา" ที่เข้ามาเบียดบังเวลาของกิจกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง เช่น การอ่านหนังสือ, การเล่นกีฬา, หรือการได้พูดคุยปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจริงๆ ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องเร่งหาคำตอบเพื่อที่จะสามารถออกแบบแนวทางการป้องกันและช่วยเหลือเด็กๆ ของเราได้อย่างตรงจุดที่สุดครับ
2
แหล่งอ้างอิง:
Mondal, S. (2025, October 18). Social media usage linked to lower cognitive performance in preteens.
Phys.org
. Retrieved from
https://medicalxpress.com/news/2025-10-social-media-usage-linked-cognitive.html
Nagata, J. M., et al. (2025). Social Media Use Trajectories and Cognitive Performance in Adolescents. JAMA. DOI: 10.1001/jama.2025.16613
ข่าวรอบโลก
สุขภาพ
การแพทย์
4 บันทึก
11
3
5
4
11
3
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย