19 ต.ค. เวลา 01:00 • ข่าวรอบโลก

‘โศกาสาไถย’ เรื่องเศร้า เล่าแล้วได้ตังค์ กำลังทำร้ายสังคมหรือไม่ ?

ศัพท์บัญญัติใหม่ จากพจนานุกรมศัพท์นิเทศศาสตร์ร่วมสมัย ราชบัณฑิตยสภา Sadfishing “โศกาสาไถย”
รศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กเผยแพร่ข้อความระบุศัพท์บัญญัติใหม่ จากพจนานุกรมศัพท์นิเทศศาสตร์ร่วมสมัย ราชบัณฑิตยสภา คำว่า “โศกาสาไถย”
ด้วยนิสัยคนไทยใจอ่อน มีเมตตาต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก และชอบใส่ใจเรื่องชาวบ้าน จึงง่ายต่อการตกเป็นเป้าหมายของเทรนด์ Sadfishing ที่ใช้ความทุกข์ ความเศร้า เป็นเหยื่อตกปลาในโซเชียล
🦋
Sadfishing เป็นคำที่ถูกบัญญัติขึ้นในปี 2019 จากการที่ รีเบคก้า รีด (Rebecca Reid) ซึ่งเป็นนักข่าว ได้โพสต์บนอินสตาแกรม คร่ำครวญถึง “การต่อสู้กับสิวที่แสนสาหัส” และเธอได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้ติดตามจำนวนมาก แต่เบื้องหลัง เธอมีความร่วมมือกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (ซึ่งปรากฏว่าทั้งหมดเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาดขนาดใหญ่สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิว) พฤติกรรมของเธอจึงถูกตราหน้าว่า เป็นการตกปลาเศร้า หรือเอาความเศร้าเป็นเหยื่อตกปลานั่นเอง
ดร. มาร์ค ทราเวอร์ส นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เขียนในบทความบน “ฟอร์บส์” อธิบายถึง เทรนด์ Sadfishing หมายถึงการโพสต์ข้อความเกินจริงหรือบิดเบือนปัญหาทางอารมณ์ของตนเองเพื่อให้ได้รับความสนใจและความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งการโพสต์ข้อความอาจกระตุ้นให้ผู้ติดตามแสดงความเห็นอกเห็นใจและสนับสนุน แม้ว่าผู้โพสต์จะตั้งใจดึงดูดความสนใจมากกว่าการสนับสนุนอย่างแท้จริงก็ตาม
🦋
การตกปลาเศร้า (Sadfishing) จึงเป็นการกระทำที่ควบคุมอารมณ์ของผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว โดยธรรมชาติแล้วคนเรามักมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมักจะเสนอความช่วยเหลือเมื่อพบเห็นโพสต์ดังกล่าว แต่การค้นพบว่าบุคคลนั้นกำลังแสร้งทำเป็นเศร้าอาจทำให้พวกเขารู้สึกถูกหลอก และนำไปสู่การสูญเสียความไว้วางใจและความรู้สึกเฉยเมยต่อการขอความช่วยเหลือในอนาคต อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกไม่แยแสต่อโพสต์ที่คล้ายกันทางออนไลน์
🦋
การใช้ความทุกข์ มาเป็นคอนเทนต์ สามารถสร้างตัวตนของคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากตัวจริงอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม การแยกแยะความจริง หรือระดับของความทุกข์ในโพสต์ให้ชัดเจนอาจเป็นเรื่องยาก แม้ว่าบางคนอาจแสดงอารมณ์เกินจริงเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าพวกเขากำลังพยายามหาการสนับสนุน การเชื่อมโยง หรือบรรเทาความทุกข์อย่างแท้จริง พฤติกรรมแบบนี้ ก็จะทำให้เราไม่สามารถแยกแยะผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากับกลุ่ม Sadfishing ได้
🦋
ปรากฏการณ์ Sadfishing หรือการแกล้งเศร้าเกินเหตุ หากใช้ในเชิงพาณิชย์ ผลก็อาจแค่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่การกระทำเช่นนี้ อาจส่งผลต่อเด็ก ๆ ที่แชร์ความรู้สึกแย่ ๆ ของตัวเองลงไปบนโซเชียลมีเดีย แทนที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ หรือช่วยเหลือจากเพื่อน กลับถูกมองว่าเป็นพฤติกรรม Sadfishing เพื่อเรียกยอด Likes แทน ซึ่งอาจจะทำให้เด็กกลุ่มนี้รู้สึกแย่มากกว่าเดิม
มีผลวิจัยหลายชิ้นระบุว่า การเล่นโซเชียลมีเดียอาจมีผลต่อสภาพจิตใจ และเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคซึมเศร้าในหมู่เด็กวัยรุ่น การปฏิเสธที่จะพูดถึงปัญหาทางอารมณ์ที่แท้จริงของตนเอง และหันไปใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงออกทางอารมณ์ที่เกินจริง เพื่อแสวงหาการยอมรับและความเห็นอกเห็นใจ เป็นการหลีกหนีชั่วคราว ไม่ได้ช่วยจัดการอารมณ์หรือแก้ไขปัญหาพื้นฐาน
🦋
ความคิดเห็นเชิงลบบนโซเชียลมีเดียอาจส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองของเด็ก นอกจากนี้ การเลือกระบายความทุกข์ลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาจเสี่ยงต่อการถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ ซึ่งจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย
🦋
สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่าการใช้โซเชียลมีเดียควรปรับให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก สำหรับเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ควรติดตามการใช้งานอย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังดูอยู่ เด็กวัยก่อนวัยรุ่นและวัยรุ่นควรจำกัดการใช้โซเชียลมีเดีย รวมถึงเฝ้าระวังสัญญาณของการใช้โซเชียลมีเดียที่ไม่เหมาะสม
บัญชีโซเชียลของวัยรุ่นควรมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวสูงสุดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ไม่เหมาะสม แม้แต่แอคหลุมก็ตาม
🦋
ปัจจุบันการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากภัยในโลกออนไลน์ เป็นเรื่องยากมาก ประเทศที่ใช้กฎหมายเข้มข้นเช่นในฟากคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยม จะควบคุมโลกเสมือนจริงนี้ได้มากกว่าฟากเสรี
🦋
สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาคุ้มครองเด็กด้วย พระราชบัญญัติความปลอดภัยออนไลน์สำหรับเด็ก (Kids Online Safety Act : KOSA) และสหราชอาณาจักรมีพระราชบัญญัติความปลอดภัยออนไลน์ พ.ศ. 2566 (The Online Safety Act 2023 : OSA)
🦋
พระราชบัญญัติความปลอดภัยออนไลน์ของสหราชอาณาจักรและพระราชบัญญัติความปลอดภัยออนไลน์สำหรับเด็กของสหรัฐอเมริกา ทั้งสองมีรากฐานมาจากระบบที่แตกต่างกันมาก OSA ให้อำนาจ Ofcom (สำนักงานการสื่อสารในสหราชอาณาจักร) ผ่านรัฐสภา ในทางตรงกันข้าม KOSA ถูกบังคับใช้โดยพื้นฐานผ่านกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
🦋
หากแต่ประเทศไทยยังไม่มี "พระราชบัญญัติความปลอดภัยออนไลน์สำหรับเด็ก" แต่มีการดำเนินการเพื่อปกป้องเด็กภายใต้กฎหมายคุ้มครองเด็กซึ่งไม่ใช่กฎหมายคุ้มครองด้านออนไลน์โดยตรง นอกจากนี้ยังเป็นกฎหมายที่ใช้มามากกว่า 20 ปีแล้ว
เด็กและวัยรุ่นในปัจจุบันไม่รู้จักโลกที่ปราศจากเทคโนโลยีดิจิทัล แต่โลกดิจิทัลไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงพัฒนาการทางจิตใจที่ดีของเด็ก ในขณะที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook, YouTube, TikTok, Instagram ก็ใช้ "ระบบแนะนำ" แบบอัลกอริทึม (Algorithm) ที่ขยายเนื้อหาได้รวดเร็วแบบไร้ขีดจำกัด และไร้ความรับผิดชอบ
อันตรายจากอาการ “โศกาสาไถย” อาจเป็นอาการป่วยที่ต้องการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยบำบัดได้ การโพสต์มากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตที่ร้ายแรง หรือเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ และเป็นที่น่าวิตก เมื่อปัญหาโซเชียลมีเดียกลายเป็นสาเหตุของวิกฤตสุขภาพจิตของเยาวชน และการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ที่เกิดบ่อยขึ้นในปัจจุบัน
🦋
กระแสสังคมไทยในขณะนี้ แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ ซึ่งมาจากพฤติกรรม “โศกาสาไถย” ที่อาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ดังนั้น เราควรจะหันมาสนใจและถามหาความรับผิดชอบจาก “อินฟูลเอนเซอร์” ที่สร้างเทรนด์ Sadfishing หรือไม่?
โฆษณา