23 ต.ค. เวลา 02:50 • ไลฟ์สไตล์

เมื่อ “ของที่ไม่มีใครยึดได้” ถูกยึด ทำให้โลกเริ่มเข้าใจ Bitcoin มากกว่าที่เคย

[Digital Power]
ตลอดเวลากว่า 10 ปี โลกคริปโตมีคำกล่าวที่ว่า “Bitcoin ไม่มีใครยึดได้ ไม่มีใครตามรอยได้ เพราะมันกระจายศูนย์ (decentralized)” คำกล่าวนี้สะท้อนความฝันถึงโลกการเงินที่อิสระจากอำนาจรัฐ
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์จริงได้พิสูจน์ว่า Bitcoin ไม่ได้อยู่เหนือการตรวจสอบ เพียงแต่อยู่ในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่าเดิม และสองคดีใหญ่ที่สหรัฐอเมริกามีบทบาทหลัก คือกรณี Silk Road ในปี 2022 และ กรณีล่าสุด Cambodia Scam คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้โลกเริ่มเข้าใจ Bitcoin ในฐานะระบบที่โปร่งใสเกินกว่าที่หลายคนคิด
Silk Road ตลาดมืดในยุคบุกเบิกกับบทเรียนแห่งความโปร่งใส
ในปี 2022 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยึด Bitcoin กว่า 50,000 เหรียญ มูลค่าราว 3 พันล้านดอลลาร์(ในเวลานั้น) จากชายชื่อ James Zhong
เรื่องนี้เริ่มจากเว็บไซต์ชื่อ Silk Road ตลาดมืดออนไลน์ที่ใช้ Bitcoin เป็นสื่อกลางซื้อขายยา อาวุธ และสินค้าผิดกฎหมาย หลังเว็บไซต์ถูกปิดโดย FBI เหรียญจำนวนมากในระบบหายไป และถูกตามรอยจนพบว่าอยู่ในกระเป๋าของ James Zhong
ทีมสอบสวนไม่ได้แฮ็กระบบ Bitcoin แต่ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ธุรกรรมบนบล็อกเชน (blockchain analytics) ไล่เส้นทางเงินทีละธุรกรรมจนถึง wallet ของผู้ต้องหา
และเมื่อค้นพบฮาร์ดไดรฟ์พร้อม private key ภายในบ้าน รัฐบาลจึงสามารถโอนเหรียญทั้งหมดเข้าสู่กระเป๋าที่รัฐควบคุมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เหตุการณ์นี้พิสูจน์ว่า แม้ Bitcoin จะไม่มีศูนย์กลางควบคุม แต่ทุกธุรกรรมในระบบถูกบันทึกไว้อย่างโปร่งใสและตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกบล็อก
Cambodia Scam เครือข่ายหลอกลงทุนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์
1
ในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรร่วมกันเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 15 พันล้านดอลลาร์จากเครือข่ายที่ชื่อ Prince Group ที่ดำเนินการในลักษณะหลอกลงทุน (Pig Butchering Scam) โดยใช้โปรไฟล์ปลอมหลอกให้ผู้คนทั่วโลกลงทุนในแพลตฟอร์มคริปโตที่สร้างขึ้น เงินที่หลอกได้ถูกฟอกผ่านกระเป๋าหลายชั้นก่อนกลับมารวมอยู่ใน wallet หลักขององค์กร
หน่วยงานสืบสวนใช้ข้อมูลทั้งจากธุรกรรมบนบล็อกเชน ฐานข้อมูล exchange และธุรกรรมทางธนาคารเพื่อตามเส้นทางเงินจนถึงกระเป๋าหลักของผู้ต้องหา และสุดท้ายศาลได้ออกหมายอายัดกระเป๋าเงินส่วนตัวที่ถือ private key ของเครือข่าย ทำให้รัฐสามารถโอน Bitcoin กว่า 127,000 เหรียญเข้าสู่ระบบราชการได้สำเร็จ กรณีนี้ไม่เพียงตอกย้ำว่ารัฐสามารถตามรอยเงินดิจิทัลได้ แต่ยังสะท้อนว่าความโปร่งใสของบล็อกเชนคือจุดแข็งและจุดอ่อนของโลกคริปโตในเวลาเดียวกัน
1
สองคดีนี้ต่างกันในรายละเอียด แต่สะท้อนหลักการเดียวกัน และทั้งสองเหตุการณ์ส่งผลให้เกิด “จุดเปลี่ยนของภาพลักษณ์ Bitcoin” จากเงินนอกระบบ สู่สินทรัพย์ที่ “โลกของกฎหมาย” เริ่มเข้ามาจับต้องได้จริง
ในเชิงเทคโนโลยี Bitcoin ยังคงเป็นหนึ่งในระบบที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ไม่มีใครเคยแฮ็กเครือข่ายได้ในระดับโครงสร้าง (protocol) สิ่งที่ถูก “ยึด” หรือ “สูญ” จึงไม่ใช่ระบบ แต่คือความประมาทของผู้ถือครอง จากการเก็บรหัสไม่ปลอดภัย, การฝากไว้ใน exchange ที่ถูกอายัด, หรือการใช้ในทางผิดกฎหมาย
แล้วเหตุการณ์เหล่านี้ บอกอะไรกับอนาคตของ Bitcoin?
1. ระยะสั้น “ผันผวน” แต่ระยะยาว “เข้มแข็งกว่าเดิม”
ทุกครั้งที่มีข่าวรัฐบาลยึด Bitcoin ตลาดมักตอบสนองเชิงลบในระยะสั้น เพราะกังวลว่าเหรียญเหล่านั้นจะถูกขายออก แต่ในระยะยาว มันกลับสร้างความเชื่อมั่นเชิงระบบ เพราะพิสูจน์ว่า Bitcoin ตรวจสอบได้ ใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ และอยู่ภายใต้กติกาที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ นักวิเคราะห์บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า “กระบวนการเปลี่ยนจากสินทรัพย์ไร้ระบบ (anti-establishment asset) สู่สินทรัพย์ที่ระบบยอมรับ (institutional-grade asset)”
2. จากอิสระไร้ขอบเขต...สู่อิสระภายใต้กติกา
โลกของ Bitcoin กำลังเคลื่อนจากแนวคิดไม่มีใครควบคุมไปสู่ยุคที่เรียกว่า Regulated Freedom อิสรภาพทางการเงินที่อยู่ร่วมกับกรอบกฎหมาย แนวโน้มที่จะเห็นชัดขึ้นคือ การซื้อขายผ่าน exchange ที่มีใบอนุญาตจะกลายเป็นมาตรฐาน wallet ที่ผูกตัวตน (KYC) จะถูกใช้งานแพร่หลายมากขึ้น รัฐอาจพัฒนาระบบเฝ้าสังเกตธุรกรรมที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวแต่ลดช่องทางฟอกเงิน Bitcoin จะยัง decentralized ในเชิงเทคโนโลยี แต่โลกที่ใช้งานมันกำลัง centralized มากขึ้นในเชิงกฎหมาย
3. มิจฉาชีพเปลี่ยนวิธี แต่ไม่หายไป
การที่รัฐติดตาม Bitcoin ได้ง่ายขึ้น อาจทำให้มิจฉาชีพบางส่วนเลิกใช้ Bitcoin แล้วหันไปเริ่มใช้วิธีใหม่ ๆ เพื่อกลบเส้นทางเงิน ดังนั้นแม้เทคโนโลยีจะพัฒนา ความเสี่ยงก็ไม่ได้หายไป มันเพียงเปลี่ยนรูปเท่านั้น
จากโลกใต้ดิน... สู่สินทรัพย์ในระบบเศรษฐกิจโลก
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่การทำลายแนวคิดของอิสรภาพทางการเงิน แต่คือช่วงเวลาที่โลกเริ่มเข้าใจอิสรภาพในระดับที่ลึกขึ้น
อิสรภาพที่อยู่ร่วมกับกติกา ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ เพราะสุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งที่จะปกป้องเราได้ตลอดไป ความเข้าใจต่างหากที่จะปกป้องเราได้ในทุกระบบ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา