25 ต.ค. เวลา 08:16 • ไลฟ์สไตล์

ทองคำ vs Bitcoin : เมื่อโลกกำลังเลือกข้างของความมั่นคง

[Balance of Power]
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดใหม่ รัฐบาลสหรัฐฯ กลับเลือก “ถือครองคริปโต” ที่ยึดได้จากคดีไว้ในคลังสำรองของชาติ แทนการขายออกไป ขณะที่จีนและอีกหลายประเทศเร่งสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง
โลกกำลังเริ่มต้น “ยุคใหม่ของทุนสำรอง” ยุคที่ไม่ได้ตัดสินด้วยตัวเลขบนงบดุล แต่ด้วยกลยุทธ์ว่า ใครจะควบคุมมูลค่าของโลกได้ยาวนานกว่ากัน เพราะเบื้องหลังการถือสินทรัพย์ของรัฐยังมี “ยุทธศาสตร์ทางการเงิน” ที่ใช้สร้างอำนาจทางการเมือง และ “เกมเชิงสงคราม” ที่ไม่ต้องยิงกระสุนแม้แต่นัดเดียว
ทองคำกับ Bitcoin จึงไม่ใช่เพียงของมีค่าแต่คือเครื่องมือในสงครามเงียบที่โลกกำลังเขียนกติกาขึ้นใหม่ เพื่อสร้างสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า “ระเบียบทุนสำรองใหม่ของโลก” (New Reserve Order)
1.สหรัฐฯ : จาก “ของกลาง” สู่ “สินทรัพย์แห่งอำนาจใหม่”
มีนาคม 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศตั้ง Strategic Bitcoin Reserve (SBR) หรือ “คลังสำรองบิตคอยน์แห่งชาติ” โดยนำเหรียญกว่า 127,000 BTC ที่ยึดจากคดีอาชญากรรมมูลค่ากว่า 15 พันล้านดอลลาร์ เข้าระบบสำรองอย่างเป็นทางการ
ในอดีต สินทรัพย์ที่ยึดได้มักถูกขายเพื่อนำเงินเข้าคลัง แต่ครั้งนี้ สหรัฐฯ เลือกถือไว้และประกาศชัดว่าจะไม่ขาย Bitcoin จากคลังนี้ออกสู่ตลาด
นี่ไม่ใช่แค่การจัดการทรัพย์สินของกลาง แต่มันคือการเปลี่ยนของที่ยึดได้โดยบังเอิญ ให้กลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจโดยตั้งใจ
2. ทำไมสหรัฐฯ ถึงเลือกถือ Bitcoin มากขึ้น
เบื้องหลังการตัดสินใจนี้ มีมากกว่าความต้องการควบคุมตลาดคริปโต แต่มันคือการขยับตัวของประเทศที่กำลังเผชิญความเปราะบางทางการเงินในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในศตวรรษนี้
2.1 หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ปี 2025 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ทะลุ 35 ล้านล้านดอลลาร์ (เกิน 120% ของ GDP) ทุก 1 ดอลลาร์ที่รัฐใช้ ต้องกู้เพิ่ม 0.2 ดอลลาร์ และดอกเบี้ยประจำปีทะลุ 1 ล้านล้าน สหรัฐฯ ไม่อาจสร้างความมั่นคงด้วยวิธีเดิมได้อีกต่อไป แค่รักษาระบบเงินกระดาษ ก็แทบหมดแรงแล้ว
2.2 ถือ Bitcoin = เพิ่มสินทรัพย์โดยไม่เพิ่มหนี้
การขายของกลางได้เงินชั่วครั้ง แต่การถือไว้เพิ่มสินทรัพย์ในงบดุลรัฐโดยไม่ต้องกู้ ไม่ต้องพิมพ์เงินเพิ่ม ไม่ต้องเพิ่มภาษี แต่ได้ของที่มูลค่าอาจโตเองในอนาคต การเพิ่มทุนสำรองแบบไม่ต้องจ่ายเงิน คือคำนิยามสั้น ๆ ของกลยุทธ์นี้
2.3 ถือของที่ได้มาฟรี แทนงบประมาณที่ไม่มี
หน่วยงาน DoJ และ หน่วยงานรัฐ ยึดคริปโตได้กว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ใน 3 ปี แทนที่จะขาย รัฐเลือกถือ เพราะมันเพิ่มค่าได้ ขณะที่เงินสด กลับลดค่าทุกวัน
2.4 บทเรียนจาก “การขายของผิดเวลา”
สหรัฐฯ เคยขาย Bitcoin ที่ยึดไว้ตอนราคา $1,000 หากถือมาถึงวันนี้ จะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ นั่นทำให้รัฐ “ไม่กล้าทำผิดซ้ำ” อีก
2.5 ยึดพื้นที่นำในระบบใหม่
โลกกำลังเคลื่อนสู่สินทรัพย์ดิจิทัล ประเทศที่ถือมาก จะเขียนกติกาได้มาก สหรัฐฯ จึงเข้ามาอยู่ในเกม แทนที่จะถูกเกมเล่น
2.6 เพราะสหรัฐฯ เองเริ่มไม่มีเงินเหลือพอจะถือระบบเดิม
เงินเฟ้อสูง รายได้รัฐไม่พอรองรับดอกเบี้ยและงบกลาโหม ทองคำเพิ่มไม่ได้ จะพิมพ์ทองก็ไม่ได้ Bitcoin จึงกลายเป็นเครื่องมือรักษาภาพความมั่นคงในยุคที่รัฐต้องประหยัดแต่ยังอยากดูแข็งแรง
เมื่อประเทศที่เคยเป็นเจ้าของเงินทั้งโลก เริ่มไม่มีเงินพอจะถือมันไว้เอง สิ่งที่เหลือให้ทำ คือเปลี่ยน “สิ่งที่ยึดได้” ให้กลายเป็น “สิ่งที่พอจะใช้ได้”
2.7 จากของกลาง สู่ของที่ตั้งใจยึด
ที่ผ่านมาการได้ Bitcoin ของสหรัฐฯ มักเป็นผลพลอยได้จากคดี แต่ในระยะหลัง มันเริ่มกลายเป็นเป้าหมายโดยตั้งใจ เพราะมีแรงจูงใจ 3 ระดับที่เชื่อมกันระหว่าง "เศรษฐกิจ – อำนาจ – เทคนิค"
  • ​แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ : เพิ่มงบดุลโดยไม่ต้องออกพันธบัตร ในยุคที่สหรัฐฯ แบกรับหนี้กว่า 35 ล้านล้านดอลลาร์ การยึดสินทรัพย์ดิจิทัลคือทางลัดในการเพิ่มสินทรัพย์ให้คลัง ไม่ต้องกู้ ไม่ต้องพิมพ์เงิน แถมได้ของที่มูลค่าเพิ่มเองพูดอีกแบบ นี่คือ “การขุดบิตคอยน์ด้วยกฎหมาย” ไม่ใช่ด้วยคอมพิวเตอร์ได้
  • ​แรงจูงใจทางอำนาจ : ใช้การยึดเป็นเครื่องมือควบคุมเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ มีเครื่องมือทางกฎหมายจำนวนมาก เช่น Patriot Act, OFAC sanction, และ Executive Order 14067 ซึ่งอนุญาตให้รัฐ “แช่แข็งหรือยึดสินทรัพย์ดิจิทัล” ได้จากอีกซีกโลก การยึดคริปโตจึงกลายเป็นยุทธวิธีใหม่ของสงครามเศรษฐกิจโดยไม่ต้องยิงกระสุนแม้แต่นัดเดียว
  • ​กลไกเชิงเทคนิค : ระบบยึดที่มีอยู่แล้วและกำลังขยาย หน่วยงานอย่าง FBI, DOJ, IRS Criminal Investigation และ US Marshals Service
  • ​มีหน่วย Digital Asset Forensics Unit ที่สามารถตรวจย้อนธุรกรรมและยึดสินทรัพย์ดิจิทัลได้แม้ผ่าน Mixer หรือ Privacy Coin ปัจจุบันมี Bitcoin ของกลางกว่า 198,000 BTC ภายใต้การดูแลของรัฐบาลสหรัฐฯ และจำนวนนี้เพิ่มขึ้นทุกปี เพราะกลไกการยึดถูกทำให้เป็นระบบถาวร
  • ​สัดส่วนทุนสำรอง : สหรัฐฯ ถือทองคำ 8,133 ตัน (≈ 261 ล้าน ออนซ์) มูลค่าประมาณ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ ถือ Bitcoin ประมาณ 198,000 BTC มูลค่าประมาณ 36 พันล้านดอลลาร์ (เพิ่มกว่าเท่าตัวจากปี 2024) เมื่อเทียบกัน Bitcoin ยังมีมูลค่าเพียง 3–4% ของทองคำที่ถืออยู่และเมื่อเทียบกับทุนสำรองทั้งหมดของประเทศ (≈ 40 ล้านล้านดอลลาร์) คิดเป็นเพียง 0.09 % แม้สัดส่วนจะเล็ก แต่ความหมายใหญ่กว่าตัวเลขเพราะ Bitcoin เป็น สินทรัพย์ทุนสำรองที่รัฐไม่ต้องซื้อเป็นทางเพิ่มสินทรัพย์ในงบดุลโดยไม่ต้องกู้หนี้หรือลดค่าเงิน
สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำอาจไม่ใช่แค่ “ยึดของกลาง” แต่คือการทดลองสร้าง "Reserve 2.0" ระบบทุนสำรองแบบใหม่ที่เกิดจากสิ่งที่ยึดมามากกว่าสิ่งที่ซื้อได้
แม้ Bitcoin จะเป็นเพียง 1 ใน 1,000 ของทุนสำรองทั้งหมด แต่มันคือ 1 ส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะไม่ต้องใช้งบประมาณและอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุนสำรองในยุคดิจิทัล
3. จีนและอีกหลายประเทศ : จาก “ทองคำในดิน” สู่ “อำนาจที่ไม่มีใครกดลบได้”
ในขณะที่สหรัฐฯ เพิ่มการถือ Bitcoin เพื่อสร้างอำนาจดิจิทัล จีนและอีกหลายประเทศเลือกถือทองคำ เพื่อสร้าง “อำนาจที่จับต้องได้”
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ซื้อทองคำเพิ่มต่อเนื่อง 18 เดือน และเปิดให้ประเทศอื่นฝากทองไว้ในจีนเพื่อสร้างระบบทุนสำรองที่ไม่อิงดอลลาร์
จีนไม่ได้อยู่ลำพัง ประเทศอย่างรัสเซีย, อินเดีย, ตุรกี, ซาอุดีอาระเบีย, โปแลนด์, อียิปต์ และ สิงคโปร์
ต่างก็เพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองของตนเช่นกัน
โลกกำลังเห็น “การกลับสู่ของจริง” การถือสินทรัพย์ที่ไม่มีใครพิมพ์เพิ่ม ไม่มีใครกดยึด และไม่มีใครปิดระบบได้
3.1 ถือทองเพื่อตัดอิทธิพลของดอลลาร์
หลังสงครามยูเครน และการใช้ระบบ SWIFT เป็นเครื่องมือคว่ำบาตร ทำให้หลายประเทศตระหนักว่า การพึ่งดอลลาร์มากเกินไปคือความเสี่ยงเชิงอธิปไตย
ทองคำจึงกลายเป็นเครื่องมือ “ตัดขาดจากการควบคุม” ของสหรัฐฯ ทุกออนซ์ทองในมือ คืออำนาจต่อรอง ในโลกที่ค่าเงินกระดาษขึ้นอยู่กับการเมือง มากกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจ
3.2 สร้าง “ฐานทองคำโลกใหม่”
จีนกำลังแย่งบทบาทจากลอนดอนและนิวยอร์กด้วยการเป็นศูนย์กลางการเก็บทองคำของโลก เปิดโอกาสให้ประเทศในเอเชียและตะวันออกกลางฝากทองในปักกิ่ง แทนที่จะเก็บในตะวันตก รัสเซียและตุรกีเข้าร่วมเส้นทางนี้ เพื่อสร้าง “ระบบชำระเงินในเอเชีย” ที่ไม่ต้องพึ่งดอลลาร์
3.3 ทองคำ: อาวุธตอบโต้ “จักรวรรดิข้อมูล” ของสหรัฐฯ
แม้การยึด Bitcoin จากอาชญากรต่างๆ จะถูกมองว่าทำให้ Bitcoin มีความโปร่งใสมากขึ้น แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ยิ่งสหรัฐฯ ยึด Bitcoin ได้มากเท่าไร โลกก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นว่าสินทรัพย์ที่ถูกออกแบบให้ไร้ตัวกลางกลับอยู่ภายใต้อำนาจของตัวกลางเพียงไม่กี่แห่ง
ธุรกรรมคริปโตส่วนใหญ่ยังผ่าน Exchange และ Stablecoin ที่อยู่ภายใต้กฎหมายอเมริกัน หมายความว่าสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกยังอยู่ในระยะที่อเมริกาเอื้อมถึง
เมื่อรัฐมหาอำนาจสามารถกดปุ่ม Freeze หรือ Confiscate ได้จากอีกซีกโลก คำว่า Decentralized จึงกลายเป็นเพียงภาพลวงของเสรีภาพ หลายประเทศเริ่มถอยจาก Digital Reserve ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อในเทคโนโลยี แต่เพราะไม่เชื่อว่าอธิปไตยทางการเงินจะอยู่ในมือของตนได้จริง
1
ดังนั้น ทองคำจึงกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง สินทรัพย์เดียวที่ไม่มีใครสั่ง ‘ลบ’ ได้ ไม่มีรหัสผ่านให้แฮ็ก ไม่มีบัญชีให้ยึด และไม่มีศาลใดในโลกที่ออกหมายอายัดทองคำในดินได้
3.4 ทองคำ = ความมั่นคงที่คนเข้าใจ
ในวันที่เทคโนโลยีหมุนเร็ว และโลกเริ่มไม่แน่ใจว่าอะไรถือได้จริง ทองคำจึงกลับมามีคุณค่าในฐานะหลักประกันแห่งอธิปไตยไม่ใช่เพียงเครื่องมือทางการเงิน
ถ้า Bitcoin คือการลงทุนในอนาคตที่ยังไม่แน่ใจ ทองคำคือการป้องกันอดีตที่เราไม่อยากให้เกิดซ้ำ
4. โลกที่กำลังแบ่งครึ่ง
โลกไม่ได้เลือกข้างเดียว แต่มันกำลังถ่วงสมดุลระหว่างสองความกลัว กลัวว่าจะพลาดโลกใหม่ และกลัวว่าจะสูญสิ่งที่เชื่อถือได้
5. สำหรับนักลงทุน : “ความมั่นคง” ไม่ใช่ปลายทาง แต่คือความเข้าใจ
คนรุ่นก่อนถือทอง เพราะมันไม่หาย
คนรุ่นใหม่ถือ Bitcoin เพราะไม่มีใครมายึดได้
แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะหนักหรือเบา ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ถือ แต่อยู่ที่ “เรารู้ว่าทำไมถึงถือมันไว้” เมื่อเข้าใจว่า
ทองคำคือเครื่องมือป้องกัน “ความไม่แน่นอน” Bitcoin คือเครื่องมือป้องกัน “ความไม่ยุติธรรม”
ไม่ว่าจะเลือกถือทองคำหรือ Bitcoin สิ่งสำคัญไม่ใช่คือ “เข้าใจว่าถือไปเพื่ออะไร”
ทองคำอาจเหมาะกับคนที่ต้องการความมั่นคงและอยากมีหลักประกันในวันที่โลกผันผวน ขณะที่ Bitcoin อาจเหมาะกับคนที่มองหาโอกาสในระบบใหม่และยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่า
การจัดพอร์ตจึงไม่จำเป็นต้องเลือกข้างเสมอไป บางครั้งการมี “ของหนักไว้ถ่วง ของเบาไว้ลอง”ก็อาจช่วยให้เรายืนได้มั่นคงขึ้นในโลกที่เปลี่ยนตลอดเวลา
บทความนี้เป็นเพียงมุมมองหนึ่งของ FA Talk เพื่อชวนให้ผู้อ่านมองการเงินจากหลายมิติ และเปิดพื้นที่ให้คิดต่างได้เสมอ
คำอธิบายเพิ่มเติม :
Patriot Act : กฎหมายความมั่นคงหลังเหตุ 9/11 ที่ให้อำนาจรัฐเข้าถึงและตรวจสอบธุรกรรมการเงินเพื่อป้องกันการฟอกเงินและการก่อการร้าย
OFAC Sanction : มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่สามารถ “อายัดหรือยึดทรัพย์สิน” ของประเทศ หรือ บุคคลที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง
Executive Order 14067 : คำสั่งประธานาธิบดีว่าด้วยการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ให้รัฐสามารถติดตาม ควบคุม และกำหนดกรอบการใช้คริปโตในระบบการเงิน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา