27 ต.ค. เวลา 01:05 • ข่าวรอบโลก

🌏 Rare Earth: ไทยในสมรภูมิผลประโยชน์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ | โอกาสทองหรือกับดักสิ่งแวดล้อม?

➡ : ทำไม “แร่ Rare Earth” จึงเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ทั่วโลกต้องการ
ในโลกยุคที่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีขั้นสูงกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แร่ Rare Earth ไม่ได้เป็นเพียงแร่ธาตุธรรมดา แต่ได้กลายเป็น "ทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์" ที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญแห่งอนาคต เช่น:
เทคโนโลยีขั้นสูง: เซมิคอนดักเตอร์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
พลังงานสะอาด: รถยนต์ไฟฟ้า (EV), กังหันลม (Wind Turbine)
การทหาร: อาวุธยุทธภัณฑ์, ระบบนำทางความแม่นยำสูง
ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ประเทศไทยลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับสหรัฐอเมริกาเพื่อร่วมมือด้านแร่ Rare Earth จึงไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นการเดินหมากสำคัญในเกม ภูมิรัฐศาสตร์ ที่ซับซ้อนระหว่างสองมหาอำนาจ คือ จีน กับ สหรัฐอเมริกา
➡ เกมอำนาจโลก: จีน vs สหรัฐฯ ในสนาม Rare Earth ไทย
🥇 จีน: ผู้ครองตลาดและผู้เล่นเงียบในห่วงโซ่อุปทาน
ปัจจุบัน จีนคือผู้ผลิตและแปรรูปแร่ Rare Earth รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยครองสัดส่วนมากกว่า 90% ของการแปรรูปทั้งหมด และเป็นผู้ส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ และยุโรป การที่จีนยังไม่ลงนาม MOU อย่างเป็นทางการกับไทยในเรื่องนี้ ไม่ได้แปลว่าไม่มีบทบาท เพราะจีนมีการรักษาอิทธิพลในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนทางอ้อม เช่น
1. การตั้งโรงงาน: การลงทุนในการผลิตแม่เหล็กถาวรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ Rare Earth ในไทย
2. การลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน: การลงทุนในเหมืองแร่ Rare Earth ในเมียนมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแม่น้ำที่ไหลเข้าสู่ไทย
3. พันธมิตรทางธุรกิจ: การรักษาอำนาจในห่วงโซ่อุปทานผ่านบริษัทพันธมิตรในภูมิภาค
🥇 สหรัฐฯ: ยุทธศาสตร์กระจายความเสี่ยงและดึงไทยเข้าเครือข่าย
การลงนาม MOU ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (26 ตุลาคม 2568) มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการ สร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่ไม่พึ่งพาจีน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ:
1. ลดการพึ่งพา: ลดจุดอ่อนเชิงยุทธศาสตร์จากการพึ่งพาแร่ Rare Earth จากจีน
2. ขยายเครือข่ายพันธมิตร: ดึงไทยเข้าสู่เครือข่ายความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสะอาด เช่น QUAD และ IPEF
*** QUAD (Quadrilateral Security Dialogue หรือ "กลุ่มจตุภาคี") ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์และด้านความมั่นคงระหว่าง 4 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย โดยมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมความร่วมมือและคานอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
*** และ IPEF (Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity หรือ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความมั่งคั่ง) ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ริเริ่มโดยสหรัฐฯ เพื่อขยายบทบาททางเศรษฐกิจในภูมิภาคและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีน โดยเน้นความร่วมมือใน 4 เสาหลัก ได้แก่ การค้า, ห่วงโซ่อุปทาน, เศรษฐกิจสะอาด, และเศรษฐกิจที่เป็นธรรม (รวมถึงภาษีและการต่อต้านการทุจริต) และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของ IPEF ด้วย
3. ส่งเสริมการลงทุน: สนับสนุนการลงทุนในโรงแต่งแร่ (Separation Plant) และการวิจัยพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
➡ ไทย: โอกาสทองที่มาพร้อมกับ “กับดักสีเทา”
ไทยมีความได้เปรียบทั้งด้านทรัพยากรแร่ Rare Earth และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่สามารถเป็น ศูนย์กลางการแต่งแร่และแปรรูป ได้ ซึ่งเป็น โอกาสทอง ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ, การสร้างงานที่มีทักษะสูง, และยกระดับสถานะของประเทศในห่วงโซ่อุปทานโลก แต่เส้นทางนี้ก็เต็มไปด้วย กับดักสีเทา ที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง โดยมีความท้าทายในเรื่องต่อไปนี้
🍃 ความท้าทายที่ 1: สิ่งแวดล้อม (Environmental Risk)
กระบวนการแต่งแร่ Rare Earth มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อให้เกิด มลพิษร้ายแรง เช่น การปล่อยสารกัมมันตรังสี, สารหนู, ปรอท, และโลหะหนักอื่นๆ ซึ่งอาจปนเปื้อนแหล่งน้ำและดิน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว หากมาตรการควบคุมและบำบัดของเสียไม่รัดกุมเพียงพอ ซึ่งประเด็นนี้มีความเสี่ยงสูงมากกับภาพลักษณ์ของการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐที่มักจะสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น มีความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องเข้ามาร่วมตรวจสอบกันอย่างจริงจังด้วย
☀ ความท้าทายที่ 2: ความโปร่งใส (Transparency)
ข้อตกลงความร่วมมือและการดำเนินงาน จำเป็นต้องมีความโปร่งใสสูงสุด นักวิชาการและภาคประชาสังคมเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายละเอียดของ MOU และผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และผลกระทบทางสุขภาพ (EHIA) อย่างรอบด้าน
🗺 ความท้าทายที่ 3: แรงกดดันภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Pressure)
ไทยจำเป็นต้องเดินเกมการทูตอย่างชาญฉลาด เพื่อรักษาสมดุลระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไม่ให้ถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง และยึดมั่นใน ผลประโยชน์แห่งชาติ เป็นหลัก (ประเด็นนี้ก็น่าหนักใจสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน จากภาพจีนเทา ไทยเทา ในสื่อต่างๆ ที่ผ่านมา)
➡ ผลประโยชน์แอบแฝงที่ควรจับตาในความร่วมมือ Rare Earth
แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนของ “ผลประโยชน์แอบแฝง” แต่ก็มีประเด็นเชิงนโยบายที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่ออธิปไตยทางเศรษฐกิจของไทย:
✈ การใช้ไทยเป็นฐานผลิตเพื่อเลี่ยงข้อจำกัด: เช่น จีนอาจใช้ไทยเป็นจุดแปรรูปเพื่อเลี่ยงกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของตนเอง หรือสหรัฐฯ ใช้ไทยเป็นจุดผลิตเพื่อเลี่ยงภาษีและข้อจำกัดทางการค้า
💵 การล็อกห่วงโซ่อุปทาน: ทั้งจีนและสหรัฐฯ อาจพยายาม “ผูก” ไทยไว้กับระบบของตนอย่างถาวร เพื่อรักษาอำนาจต่อรองในระดับโลก
⚡ การแทรกแซงเชิงนโยบาย: ความร่วมมือด้านทรัพยากรอาจนำไปสู่การแทรกแซงในนโยบายพลังงานหรือสิ่งแวดล้อมของไทยในอนาคต
➡ บทสรุป: ไทยจะเดินหมาก Rare Earth อย่างไรให้ได้เปรียบ?
แร่ Rare Earth ไม่ใช่แค่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็น "หมากยุทธศาสตร์" ในเกมอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ไทยในฐานะประเทศที่มีศักยภาพสูง มีโอกาสสำคัญในการยกระดับประเทศ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์
การเดินเกมของรัฐบาลไทยจะต้องรอบคอบ โปร่งใส และ ยึดผลประโยชน์ของประชาชนและสิ่งแวดล้อมเป็นที่ตั้ง อย่างเคร่งครัด
คำถามทิ้งท้าย: คุณคิดว่า รัฐบาลไทยจะสามารถสร้างกลไกการควบคุมที่เข้มงวดเพียงพอ เพื่อเปลี่ยน "กับดักสีเทา" ด้านสิ่งแวดล้อม ให้เป็น "โอกาสทอง" ในการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีโลกได้จริงหรือไม่? สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้เลยจ้า 👇
โฆษณา