27 ต.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ทำไมบางคนติดไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่แพร่เชื้อเลยแม้แต่น้อย

ในทุกๆ ปี เมื่อลมหนาวเริ่มพัดมาเยือน มันมักจะนำพาแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างไข้หวัดใหญ่กลับมาด้วยเสมอ เราต่างคุ้นเคยกับอาการป่วยของมันเป็นอย่างดี และรู้ว่ามันสามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้อย่างรวดเร็วในอากาศที่เราหายใจร่วมกัน
แต่เคยมีใครสงสัยอย่างจริงจังไหมครับว่า ทำไมบางครั้งคนป่วยเพียงคนเดียวถึงสามารถทำให้คนรอบข้างติดเชื้อกันได้ทั้งออฟฟิศ ในขณะที่บางคนแม้จะป่วยหนักแค่ไหน กลับดูเหมือนจะไม่ได้แพร่เชื้อให้ใครเลย?
อะไรคือความลับทางชีววิทยาที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของคนแต่ละคนที่ทำให้พลังในการแพร่เชื้อของพวกเขาแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว วันนี้ผมมีเรื่องราวมาแบ่งปันครับ มันคือการเดินทางเข้าไปสำรวจสมรภูมิภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์แบบเจาะลึกที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้
นี่ไม่ใช่การศึกษาธรรมดาๆ แต่เป็นการทดลองสุดท้าทายที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ยอม จงใจทำให้กลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 เพื่อที่จะได้เข้าไปสอดแนมการต่อสู้ระหว่างร่างกายของเรากับไวรัสแบบช็อตต่อช็อต
ผลการศึกษาครั้งประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสารชั้นนำอย่าง Science Translational Medicine ไม่เพียงแต่จะช่วยไขปริศนาว่าทำไมบางคนถึงกลายเป็น "ซูเปอร์สเปรดเดอร์" ได้ แต่ยังอาจกำลังปูทางไปสู่การพัฒนาวัคซีนแห่งอนาคต ที่ไม่ใช่แค่ป้องกันเราจากการป่วย แต่ยังสามารถหยุดการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างแท้จริงอีกด้วย
ความพิเศษของการทดลองนี้คือการจำลองสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับโลกแห่งความเป็นจริงมากที่สุด อาสาสมัครทั้ง 74 คน ไม่ใช่คนที่ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดใหญ่มาก่อนเลย แต่ทุกคนต่างมีประวัติภูมิคุ้มกันที่ซับซ้อนอยู่แล้ว บางคนเคยติดเชื้อตามธรรมชาติ บางคนเคยฉีดวัคซีน ซึ่งสะท้อนภาพของประชากรส่วนใหญ่ในสังคมได้เป็นอย่างดี
และเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ครึ่งหนึ่งของอาสาสมัครยังได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่รุ่นล่าสุดก่อนที่จะได้รับเชื้ออีกด้วย เมื่อการทดลองเริ่มต้นขึ้นและอาสาสมัครทุกคนได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ติดตามเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากจมูกและเลือดอย่างใกล้ชิด และสิ่งที่พวกเขาค้นพบก็ได้แบ่งมนุษย์เราออกเป็น 3 กลุ่มตามรูปแบบการปลดปล่อยเชื้อไวรัส (Viral Shedding) อย่างชัดเจน
กลุ่มแรกคือกลุ่มที่น่าประหลาดใจที่สุด นั่นคือกลุ่มที่ไม่ปลดปล่อยเชื้อเลยแม้ว่าจะได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้วก็ตาม พวกเขากลายเป็นเหมือนกำแพงเหล็กที่ไวรัสไม่สามารถเจาะผ่านออกไปได้
กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่ปลดปล่อยเชื้อเพียงวันเดียว คนกลุ่มนี้มีการแพร่เชื้อออกมาในปริมาณน้อยและจบลงอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง และที่น่าสนใจคือ คนในกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงสามเท่า
และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่ปลดปล่อยเชื้อต่อเนื่องหลายวัน นี่คือกลุ่มที่เราอาจจะเรียกได้ว่าเป็นตัวแพร่เชื้อที่แท้จริง พวกเขาปลดปล่อยเชื้อออกมาในปริมาณมากและเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง
แล้วอะไรคือความแตกต่างในระบบภูมิคุ้มกันของคนทั้งสามกลุ่มนี้? นักวิจัยพบว่ากลุ่ม กำแพงเหล็กที่ไม่แพร่เชื้อเลยนั้น มีระบบภูมิคุ้มกันด่านหน้าที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ โดยเฉพาะในโพรงจมูกซึ่งเป็นสมรภูมิแรกที่ไวรัสจะเข้ามาโจมตี พวกเขามีระดับของแอนติบอดีชนิด IgA ซึ่งเปรียบเสมือนทหารยามที่คอยเฝ้าประจำการอยู่ตามเยื่อบุเมือก ในปริมาณที่สูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างชัดเจน
1
มันหมายความว่าร่างกายของพวกเขาสามารถจัดการกับผู้บุกรุกได้ตั้งแต่หน้าประตูบ้าน โดยไม่ปล่อยให้ไวรัสได้มีโอกาสเข้าไปแบ่งตัวและขยายกำลังพลจนถึงระดับที่จะแพร่ออกมาสู่ภายนอกได้เลยนั่นเอง
สำหรับกลุ่มที่แพร่น้อยซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง พวกเขาก็มีภูมิคุ้มกันที่ด่านหน้าที่แข็งแกร่งเช่นกัน แต่จุดเด่นของพวกเขาอยู่ที่การตอบสนองอันรวดเร็วของ "เซลล์ T" ในกระแสเลือด ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษที่คอยออกลาดตระเวนและกำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีสมมติฐานที่น่าสนใจว่า "ฮอร์โมนเอสโตรเจน" ในเพศหญิงอาจมีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมการอักเสบและจำกัดวงจรชีวิตของไวรัส ทำให้การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มตัวแพร่เชื้อกลับมีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ล่าช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด สัญญาณเตือนภัยที่สำคัญของร่างกายอย่าง "อินเตอร์เฟอรอน" ถูกส่งออกมาไม่ทันการณ์ ทำให้ไวรัสมีช่วงเวลาทองในการแบ่งตัวอย่างมหาศาลและแพร่กระจายออกไปสู่สิ่งแวดล้อมได้เป็นเวลานาน
การค้นพบครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่งต่ออนาคตของการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งย้ำให้เห็นว่าภูมิคุ้มกันในโพรงจมูกคือหัวใจสำคัญที่สุดในการหยุดการแพร่เชื้อซึ่งเป็นเป้าหมายที่สูงกว่าแค่การป้องกันการป่วย
วัคซีนแบบฉีดที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นเก่งมากในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันใน "กระแสเลือด" ทำให้เราไม่ป่วยหนัก แต่กลับมีผลเพียงเล็กน้อยต่อทหารยามที่ด่านหน้าในโพรงจมูก นี่คือเหตุผลว่าทำไมแม้เราจะฉีดวัคซีนแล้ว ก็ยังคงสามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อยู่
การศึกษาครั้งนี้จึงเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องไปยังความหวังครั้งใหม่ นั่นคือ "วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก" ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อฝึกฝนทหารยามที่ด่านหน้าโดยเฉพาะ หากวันหนึ่งเราสามารถพัฒนาวัคซีนที่เลียนแบบการตอบสนองของคนกลุ่มกำแพงเหล็กได้สำเร็จ เราก็อาจจะมีวันที่ไข้หวัดใหญ่ไม่ได้เป็นแค่โรคที่เราต้องคอยวิ่งไล่ตามในแต่ละปีอีกต่อไป แต่เป็นโรคที่เราสามารถหยุดยั้งวงจรการระบาดของมันได้อย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง:
1. Walters, K-A., et al. (2025). Nasal and systemic immune responses correlate with viral shedding after influenza challenge in people with complex preexisting immunity. Science Translational Medicine. DOI: 10.1126/scitranslmed.adt1452
2. Ricks, D. (2025, October 27). Influenza A-infected volunteers display different patterns of expelling viruses into environment. Medical Xpress.
โฆษณา