28 ต.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

กพช. ไฟเขียว โซลาร์ฟาร์มชุมชน คาด ลดค่าไฟได้ 40–80 สต./หน่วย

“อรรถพล” เผย กพช. อนุมัติ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน คาด ลดค่าไฟได้ 40–80 สต./หน่วย ย้ำ เตรียมเปิดเงื่อนไขภายใน พ.ย.นี้
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยระบุว่า ที่ประชุมเห็นชอบกรอบการดำเนินโครงการ “โซลาร์ฟาร์มชุมชน” (Community-based Solar Power Generation Project) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายในการผลักดันและขับเคลื่อนโครงการไฟฟ้าชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระดับท้องถิ่นและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนประชาชนทั่วประเทศ
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
โดยรูปแบบโครงการจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย ระยะเวลา 25 ปี
โดยมีสัญญาแบบ non-firm และจะมีการคัดเลือกเอกชนร่วมดำเนินโครงการ โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปจัดทําหลักเกณฑ์เงื่อนไขการดำเนินการต่อไป
โดย กพช. ได้ยกเลิกมติเดิมที่เกี่ยวกับกรอบกำลังซื้อ 1,500 เมกะวัตต์เดิม แล้วปรับมาใช้กรอบโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนภายใต้นโยบายของกระทรวงพลังงานแทน ซึ่งชุมชนที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นชุมชนที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท./อบต.) โดยการดำเนินงานจะประสานกับกระทรวงมหาดไทยให้ความร่วมมือในการคัดเลือกพื้นที่และรวบรวมความต้องการของชุมชน
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดสัดส่วนผลประโยชน์เบื้องต้นสำหรับครัวเรือนในชุมชนที่เข้าร่วม จะได้รับส่วนลดค่าไฟหรือสัดส่วนค่าไฟประมาณ 40–80 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งมาจากการจัดโครงสร้างการรับซื้อและการจัดสรรส่วนลดของการไฟฟ้าที่รับซื้อมา เพื่อไม่ให้ระบบเกิดความซับซ้อน ไฟที่ผลิตจะขายเข้าระบบของการไฟฟ้าภูมิภาคทั้งหมด แล้วการไฟฟ้าจะบริหารส่วนลดให้กับครัวเรือนในพื้นที่
ต่อจากนี้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) จะต้องไปดูจุดเชื่อมต่อการรับไฟ ซึ่งคาดว่ามีหลายพันจุด และเอกชนสามารถเข้าไปร่วมกับชุมชนเพื่อเสนอเข้าร่วมโครงการ โดยต้องเป็นชุมชนที่ขึ้นอยู่กับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(อปท.) และจากการคำนวนเบื้องต้นจะสามารถทดแทนเป็นค่าไฟให้กับชุมชนในพื้นที่ได้ 40-80 สตางค์ต่อหน่วย โดยจะได้รับตลอดระยะเวลาโครงการ 25 ปี
ในแง่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ นายอรรถพล ประเมินว่าโครงการโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์จะสร้างการลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท และสร้างงานประมาณ 1,700 ตำแหน่ง รวมถึงจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 1 ล้านตันต่อปี โดยคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากโครงการให้เป็นสิทธิ์ของรัฐบาลทั้งหมด
ถ้าเอาโครงการโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ เราก็คาดว่ามันจะเป็นเงินทุนที่เกิดเงินลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท แล้วก็ชุดการจ้างงานประมาณ 1,700 ตำแหน่งนะครับ ก็จะสามารถช่วยในเรื่องของตัวคาร์บอนซึ่งตัวคาร์บอนเครดิตในโครงการเราก็ขอให้ว่าเป็นสิทธิ์ของทางรัฐบาล
ทั้งนี้ กพช. กำหนดให้ กกพ. และ กฟภ. ร่วมกันกำหนดเกณฑ์การคัดเลือก จุดเชื่อมต่อ และมาตรฐานทางเทคนิคโดยเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายใน เดือนพฤศจิกายน 2568 ออกกระบวนการและขั้นตอนที่ชัดเจน และประกาศเกณฑ์ให้ได้ภายในเดือนธันวาคม 2568
โดยแนวทางการคัดเลือกเบื้องต้นอาจใช้หลักการ first-come, first-serve แต่ต้องลงรายละเอียดเรื่องการจัดลำดับความพร้อมของจุดเชื่อมต่อ และอาจมีการใช้วิธีจับฉลากหรือเกณฑ์อื่นๆ เพื่อความเป็นธรรมและกระจายทั่วภูมิภาค ซึ่งการพิจารณาจุดเชื่อมต่อเป็นเรื่องเทคนิคที่ กกพ. จะเป็นผู้พิจารณาว่าสายส่งของตนสามารถรับไฟได้เท่าไหร่
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการ ร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) สำหรับ โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ระยะที่ 2 การซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง ลาว–ไทย–มาเลเซีย–สิงคโปร์) ภายใต้กรอบความร่วมมือ ASEAN Power Grid
โดยเห็นชอบอัตราค่า Wheeling charge ของไทย เป็น 3.5879 US cents ต่อหน่วย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพจริงและเสริมความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาค สำหรับการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาโครงการสามารถซื้อขายได้ 100 เมกะวัตต์ เช่นเดิม และมีรายได้จากค่าผ่านทางประมาณ 200 กว่าล้านบาท
อย่างไรก็ดี ที่ประชุม ยังได้เห็นชอบ แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2569–2571 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน
ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้กำหนดกรอบการใช้จ่ายรวม 15,000 ล้านบาท โดยเน้นสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การวิจัยนวัตกรรม การสาธิตนำร่องการพัฒนาบุคลากร และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ แบ่งเป็น ปีงบประมาณ 2569 จำนวน 9,000 ล้านบาท และปี 2570–2571 ปีละ 3,000 ล้านบาท
ซึ่งในวงเงิน 9,000 ล้านบาทของปี 2569 นั้น จะสนับสนุนโดยเฉพาะโครงการ “โซลาร์สูบน้ำ” ซึ่งเป็นการสานต่อโครงการไฟฟ้าชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์มีเป้าหมายในการกระจายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ในระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ นอกจากนี้ กพช. ยังให้อำนาจคณะกรรมการกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการปรับปรุงรายละเอียดแนวทางและการจัดสรรงบประมาณได้ตามความจำเป็นและสถานการณ์ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนมีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเกิดประสิทธิผลสูงสุดในการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะต่อไป
ขณะเดียวกัน นายอรรถพล ระบุว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการ Data Center ตามนโยบายรัฐบาล
โดยให้ใช้งบประมาณภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (TIPE) ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ 1,750 เมกะวัตต์ ครอบคลุมการพัฒนาและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมใน ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งเป็นแผนการดำเนินการที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติใหม่ วงเงินลงทุนรวมประมาณ 30,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคตะวันออกให้เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่ EEC และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อเสนอขออนุมัติจาก ครม. ตามขั้นตอนต่อไป
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา