4 Museum สำคัญ ของ University of Oxford ( UK EP.3)

หลังจากที่เดินชมสวนสวยริมลำธาร ต้นฤดูใบไม้ร่วง ที่มีม้านั่งของเจอาร์อาร์ โทเคียน (JRR Tolkein) ผู้เขียนมหากาพย์นวนิยายเรื่องลอร์ดออฟเดอะริงส์แล้ว
สวนสวยระหว่างทางเดินไปมิวเซียม
เราก็เดินเท้าต่อมาถึงมหาวิทยาลัย Oxford ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง น่าจะนับว่าเป็นที่สุดของอังกฤษก็ว่าได้
วันนี้เราตั้งใจจะมาใช้เวลาทั้งวัน กับการชม 4 Museum ที่สำคัญและทรงคุณค่ายิ่งของมหาวิทยาลัย Oxford
Museum of Natural History
เริ่มต้นกันที่ Museum of Natural History เพียงก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณ Museum ก็ต้องบอกว่า ทั้งสวยงามและน่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ในภาพที่ได้เห็น
กล่าวคือเป็น Museum ทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่อยู่ในอาคารทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่งดงามมาก
ลงตัวระหว่างวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์
จัดการแสดงข้าวของและความรู้ของ Museum ได้สวยงามและลงตัวมากๆ ทั้งโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ชนิดกินพืช
ภายในมิวเซียมที่น่าตื่นตาตื่นใจ
และชนิดกินเนื้อ ยืนอยู่อย่างโดดเด่นภายในอาคารสูง ซึ่งภายในเหมือนโถงของมหาวิหารในยุโรป
โครงกระดูกไดโนเสาร์ที่สมบูรณ์แบบ
มีกลุ่มโครงกระดูกของไดโนเสาร์ขนาดกลางและเล็กอีกมากมาย
การเดินชม Museum นี้ แม้ผู้ที่ไม่ได้สนใจทางด้านธรรมชาติ โบราณคดี หรือชีววิทยา ก็จะพบว่าทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจได้ไม่ยากเลย ท่ามกลางการจัดการที่สวยงาม
กลุ่มโครงกระดูกไดโนเสาร์
ทำให้เราได้มีโอกาสกลับมาทบทวนว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ มีเป็นกลุ่มหรือไฟลั่มอะไรบ้าง
และเรียงลำดับ ตั้งแต่การก่อกำเนิดโลกขึ้นมา ผ่านการวิวัฒนาการที่หลากหลาย อย่างน่าทึ่งมากมาก
วิธีการนำเสนอของ Museum ก็น่าสนใจมาก มีทั้งการจัดผีเสื้อเป็นกลุ่ม ทั้งขนาด และสี แต่นำมาอยู่เป็นทรงกลมในขนาดต่างๆกัน
แสดงผีเสื้อได้อย่างน่าสนใจ
การจัดขยายภาพแมลงขนาดจิ๋ว ซึ่งถ้าดูด้วยตาเปล่า จะไม่มีความน่าสนใจใดใดเลย แต่ได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาขยายภาพ จนเกิดลวดลายสีสันที่มหัศจรรย์สวยงามแบบไม่น่าเชื่อ สามารถแยกจัดนิทรรศการภาพแมลงจิ๋วต่างหากได้เลย และนำชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัย Oxford เป็นอย่างมากอีกด้วย
แมลงจิ๋วที่ได้รับการขยายขยายภาพขึ้นมาอย่างงดงาม
นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนที่แสดง ทั้งแมลง สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์บก สัตว์ทะเล นกชนิดต่างๆ ซึ่งมีเรื่องราวรายละเอียดที่ทำให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อม โดยที่มีความสนุกสนานและไม่น่าเบื่อหน่าย
ตัวอย่างสัตว์ชนิดต่างๆ
เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้ราว 2 ชั่วโมง แม้ยังไม่รู้สึกจุใจ แต่จำเป็นต้องขยับต่อ มิฉะนั้นแล้ว วันนี้คงจะไม่ครบ 4 Museum
เราออกมาทางด้านหลังของ Museum แรก จะมีประตูเชื่อมติดกันเลยกับ Museum ที่ 2 คือ Pitt Rivers Museum ซึ่งเป็นคนละอารมณ์ และคนละบรรยากาศ
หันหลังมองออกไปจาก Pitt Rivers Museum
คือจากสวยงามสว่างสดใสของแห่งแรก ก็จะมาสู่ความเคร่งขรึมของ Museum ที่ 2 เพราะเป็นสถานที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้สารพัดวัฒนธรรมของทุกทวีป
สารพัดสิ่งของจากนานาประเทศ
ทั้งเอเชีย แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และออสเตรเลีย
รวบรวมอาวุธการสู้รบต่างๆ
และที่พบมากที่สุดก็คือ อุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีทั้งเรื่องศาสนาและวัฒนธรรมไปพร้อมกัน
ของทางเอเชียก็มีมีอยู่หลายชิ้นด้วยกัน
พยายามมองหาของเมืองไทย ก็เจออยู่บ้าง เช่น ซอ 3 สาย และพระพุทธรูปต่างๆเป็นต้น
มีของเมืองไทยน้อย ก็น่าจะถูกต้องแล้ว เพราะเท่าที่สังเกตดู ข้าวของที่รวบรวมเป็นจำนวนมาก มักจะเป็นของประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อนทั้งสิ้น เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้ประมาณชั่วโมงเดียว
หลังจากนั้นช่วงบ่าย ก็ไป Museum ที่ 3 ซึ่งต้องบอกว่าเป็นไฮไลท์สำหรับผู้เขียน ก็คือ History of Science Museum เหมาะมากสำหรับคนที่สนใจเรื่องของวิทยาศาสตร์ เรื่องของการแพทย์ และเรื่องของประวัติศาสตร์ของการค้นพบต่างๆที่สำคัญ
History of Science Museum
โดยไฮไลท์ใน Museum แห่งนี้ มีอย่างน้อย 3 จุดที่สมควรแก่การชม คือเรื่องของไอน์สไตน์ เรื่องการค้นพบยาเพนิซิลิน และเรื่องของการค้นพบวัคซีนป้องกันไทฟอยด์
โดยในจุดแรกที่โดดเด่นก็คือ กระดานดำ (Black Board) ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เขียนสูตรการขยายตัวของเอกภพหรือจักรวาลเอาไว้ เมื่อครั้งมาเลกเชอร์หรือบรรยายที่มหาวิทยาลัย Oxford เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว คือในเดือนพฤษภาคมปี 1931
ลายมือของไอน์สไตน์บนกระดานดำ
สูตรทางคณิตศาสตร์ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงจินตนาการของนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะว่า จักรวาลของเรากำลังขยายตัว และขยายตัวต่อเนื่องกันมานับล้านปี และในปัจจุบันก็ยังไม่หยุดขยายตัว
สามารถอธิบายให้ทราบถึงอัตราการขยายตัว และขนาดของจักรวาลได้อย่างน่าทึ่งมาก
ทางมหาวิทยาลัยยังคงเก็บรักษากระดานดำ ซึ่งมีสูตรดังกล่าวเอาไว้ เพื่อแสดงให้คนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความรู้ทั้งทางฟิสิกส์และทางคณิตศาสตร์ ว่าทำให้มนุษย์เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องยากยากได้อย่างเหลือเชื่อ
จุดกำเนิดของยาเพนิซิลิน
จุดไฮไลท์ที่สอง ซึ่งอยู่ติดกับจุดแรก เป็นที่น่าสนใจมากสำหรับคนที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็คือ การค้นพบยาปฏิชีวนะเพนิซิลิน
ซึ่งทำให้ผู้ที่ค้นพบได้แก่ Sir Alexander Fleming ได้รับรางวัลโนเบล แต่ยังไม่สามารถจะทำให้เกิดสารบริสุทธิ์และสามารถผลิตได้จำนวนมากพอ เพื่อนำมาใช้รักษาโรคได้
Sir Alexander Fleming
ใช้เวลาอีก 10 กว่าปี จึงมีทีมวิจัยนานาชาติของมหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งมีหลากหลายเชื้อชาติมาก เข้ามาทำการวิจัยต่อเนื่อง จนประสบความสำเร็จในปี 1941 และได้รับรางวัลโนเบลร่วมกันในปี 1945 จำนวนสามคน
เฉพาะประวัติของ Sir Alexander Fleming ซึ่งเป็นแพทย์ชาวสกอตแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1881 (พ.ศ. 2424) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 และได้ค้นพบสารจากเชื้อราที่ฆ่าแบคทีเรียได้เรียกชื่อว่าเพนิซิลินในปี 1928 (พ.ศ. 2471) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7 และได้รับรางวัลโนเบลในปี 1945 (พ.ศ.2488) ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8
ท่านเป็นศาสตราจารย์ทางด้านแบคทีเรียของมหาวิทยาลัยลอนดอน และต่อมาได้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเอดินบะระ
เหตุการณ์ที่เป็นประวัติศาสตร์ และได้ช่วยชีวิตคนนับหลายล้านคนจากการเสียชีวิตของโรคติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 1928 เมื่อเฟลมมิ่งกลับมาที่ห้องปฏิบัติการ หลังจากลาพักร้อนในเดือนสิงหาคม
ก็พบว่ามีแบคทีเรียตายไปจากมีราขึ้น และต่อมาจึงสามารถค้นพบได้ว่าสารจากเชื้อราดังกล่าว ที่เรียกชื่อว่า “เพนิซิลิน” สามารถฆ่าแบคทีเรียได้
ราเพนิซิลิน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ กรุงลอนดอน
ส่วนทีมวิจัยเบื้องหลังความสำเร็จของมหาวิทยาลัย Oxford ประกอบด้วยบุคคลสำคัญคือ
Howard Florey ซึ่งเป็นนักพยาธิวิทยาชาวออสเตรเลีย ร่วมกับ Ernst Chain ซึ่งเป็นนักชีวเคมีชาวยิวที่หนีภัยนาซีเยอรมันมายังอังกฤษ สามารถผลิตเพนิซิลินในระดับอุตสาหกรรม จนได้รับรางวัลโนเบลทั้งสองคน ร่วมกับ Sir Alexander Fleming ในปี 1945 (พ.ศ.2488)
หัวหน้าทีมวิจัยที่ได้รับรางวัลโนเบล
มหาวิทยาลัย Oxford เป็นสถานที่ในประวัติศาสตร์เพราะเมื่อปี 1941 หรือ 2484 ได้เริ่มใช้เพนิซิลินรักษาผู้ป่วยสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก และทำให้สงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 2482-2488 มีทหารและพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามไม่ต้องเสียชีวิตจากบาดแผลที่อักเสบเป็นหนองจากเชื้อแบคทีเรียนับล้านคน
สถานที่ผู้ป่วยได้ใช้ยาเพนิซิลินเป็นครั้งแรกของโลก
เพราะในสมัยก่อนหน้านั้น เมื่อไม่มียาปฏิชีวนะคือไม่มีเพนิซิลิน ผู้คนก็เสียชีวิตกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากสามท่านแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลแล้ว ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในงานวิจัยนี้อีกหลายคนอาทิเช่น
Ethel Florey ซึ่งเป็นภรรยาของ Howard Florey
Norman Heatley เป็นนักจุลชีววิทยาชาวอังกฤษ
Magaret Jenning ผู้ช่วยของ Howard Florey กว่า 30 ปี ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาคนที่สองของเขา หลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมานาน
ทีมวิจัยที่ยิ่งใหญ่
Edward Abraham ซึ่งเป็นคนค้นพบโครงสร้างทางเคมีของเพนิซิลิน และสามารถพัฒนาให้เป็นยาที่สูงกว่าคือ Cephalosporin
ในมุมที่สามคือ มุมเรื่องวัคซีนไทฟอยด์นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทำให้การพัฒนางานวิจัยทางการแพทย์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้ไข้ไทฟอยด์ซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่น่ากลัวของโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อน คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมากนับล้านคน โดยที่มนุษย์ไม่สามารถจะต่อกรได้ ก็จบลง
การค้นคว้าวิจัยโรคไทฟอยด์
จนปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่เกือบไม่มีใครรู้จักไทฟอยด์กันแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากงานวิจัยจากทีมนักวิชาการที่นี่เอง
Museum นี้ ได้รวบรวมเรื่องราวต่างๆซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของประวัติศาสตร์มนุษยชาติเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
มีความรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับประวัติศาสตร์การค้นพบหรือเกิดขึ้นของยาปฏิชีวนะสำคัญคือ เพนิซิลิน
อุปกรณ์การศึกษาค้นคว้าในสมัยก่อน
การพัฒนาเกิดขึ้นของวัคซีนป้องกันโรคไทฟอยด์ ที่ช่วยชีวิตมนุษย์มากมายมหาศาล
ซึ่งก่อเกิดมาจากความรู้ความเข้าใจ ที่สำคัญคือความวิริยะอุตสาหะ ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมท้อถอย ของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์นักวิจัยจากหลากหลายเชื้อชาติที่มหาวิทยาลัย Oxford
ได้เห็นและได้สัมผัสด้วยตาตนเอง ถึงลายมือสูตรคณิตศาสตร์ของอัลเบิร์ตไอน์สไตน์ ที่ต้องถือว่าเป็นอัจฉริยะของโลกคนหนึ่งทีเดียว สามารถอธิบายเรื่องต่างๆอันยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้
Museum ลำดับที่ 4 เป็นจุดสุดท้ายของวันนี้คือ Asmolean ซึ่งเป็นที่รวบรวมศิลปะวัตถุ และสิ่งของต่างๆที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและอารยธรรมที่มีความรุ่งเรืองในอดีต จากหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป
ศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องงานศิลปะ คงต้องใช้เวลาเดินหลายชั่วโมงทีเดียว
ทุก Museum ของวันนี้ ซึ่งดูแลโดยมหาวิทยาลัย Oxford สามารถเข้าชมฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถือเป็นพันธกิจที่อุดมศึกษาควรจะทำทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย
เป็นหนึ่งวันเต็มของการพักผ่อนแบบได้สาระอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้แรงบันดาลใจมากมาย
ทำให้ตระหนักและเข้าใจมากขึ้นว่า ที่พวกเรามีความสุขสบายอยู่ได้ในทุกวันนี้ ล้วนมาจากบรรพบุรุษคนรุ่นก่อนได้ทุ่มเท เสียสละ ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เป็นการพักผ่อนอีกหนึ่งวันที่มีคุณค่าและจะอยู่ในความทรงจำไปอีกตราบนานเท่านาน
โฆษณา