Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Side Stories
•
ติดตาม
6 พ.ย. เวลา 13:04 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
เจาะวิธีการทำงานของ "4 เสือ"
ภายใต้โทนเรื่องที่โดดเด่น ดุดัน ดิบเถื่อน
ด้วยบทบู๊ที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งปฐพี
สาดกระสุนและอาคมใส่กันอย่างไร้ปราณี
ผสมผสานกับการมีบทฮาตลกธรรมชาติ
พร้อมแต้มบทรักให้กล้อมแกล้มเป็นสีสันบ้าง
แก่นสำคัญที่ผมได้จาก “เสือ”
หนังที่ให้อารมณ์เต็มอิ่มได้
มากกว่าการเป็นภาคเสริม
ช่วยเติมจักรวาลขุนพันธ์ให้สมบูรณ์
สิ่งนั้นคือปรัชญา แนวคิด จิตวิญญาณ
และวิธีการทำงานที่แตกต่างกันสุดขั้ว
ของเสือทั้ง 4 ตัว ผู้เป็นปฐมบท
ตำนานแห่งกองโจรเชิ้ตดำของไทย
youtube.com
เสือ : ตัวอย่างใหม่ ( Official Character Trailer )
ใหม่ หล่อ เท่ จนอยากร่วมทีม! จับตา 4 จอมโจรในตำนาน ออกลายความมันส์เต็มเลเวล ในตัวอย่าง “เสือ” เวอร์ชันคาแรกเตอร์ เวียร์-ศุกลวัฒน์ เป็น เสือฝ้ายโอ้-มาริโอ้ เ…
ณ ห้วงยามที่แผ่นดินลุกเป็นไฟ
ในช่วงปี พ.ศ. 2482 - 2493
ที่ข้อบทกฎหมายเป็นเพียง
เส้นหมึกจางๆ บนหน้ากระดาษ
เมื่ออำนาจที่แท้จริงคือพลังแห่ง
"บารมี" "ปัญญา" "เสน่หา" และ "ศรัทธา"
ซึ่งการรวมตัวของทั้งสี่มหาโจร
เสือฝ้าย, เสือมเหศวร, เสือใบ, และเสือดำ
ไม่ได้ทำให้เห็นถึงพลังการเปลี่ยนแปลง
จากกลุ่มคนหัวขบถเสียทีเดียว
หากแต่เป็นรายละเอียดเนื้อในที่ทำให้
พวกเขาประสบความสำเร็จต่างหาก
ซึ่งผมอยากจะเอามาย่อยให้เห็นภาพไปด้วยกัน
จะเป็นยังไงถ้าวิชาอาคมของมหาโจร
มีความเชื่อมโยงกับศาสตร์และศิลป์แห่งการทำงาน
จนเราๆ สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตได้จริง
“เอาล่ะ ไอ้เสือ บุก!! 🐅🐅🐅🐅”
.
.
.
.
1. “เสือฝ้าย” : ผู้นำที่ทรงอิทธิพล 🎩
- หากปิดตาข้างหนึ่ง ลืมเรื่องสุดยอดอาคมอันทรงพลังอย่าง “ตวาดหิมพานต์” ออกไป ในความเป็นเสืออาวุโสที่สุดในบรรดาซุ้มโจร แม้กระนั้น “เสือฝ้าย” ก็ยังคงเป็นชายผู้ทรงอิทธิพลที่มีแนวคิด ความเชื่อ และหลักการทำงานที่หนักแน่น ชัดเจนในตัวเอง
โดยบุคลิกของเขานั้นคือ “ผู้นำโดยธรรมชาติ” ที่มีทั้งพระเดชและพระคุณต่อคนรอบตัว แผ่ขยายอำนาจบารมีที่ไม่ใช่เพราะอาคม แต่เพราะหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักและเมตตาธรรม
ในหมู่โจร เขาคือ “พ่อ” และ “พี่”
ในหมู่ชาวบ้าน เด็กๆ ผู้ด้อยโอกาส เขาคือ “ที่พึ่ง”
ในกลุ่มเชิ้ตดำทั้งปวง เขาคือ “แสงสว่าง” ที่โชติช่วงเหนือใคร
ปกครองผู้คนด้วยใจและด้วยบารมีในเวลาเดียวกัน ทุกคนในเชิ้ตดำจึงทั้งรัก เคารพ เทิดทูนเขาเสมอมา ค่อยๆ ก่อร่างสร้างเป็น “ฐานมวลชน (Community)” ที่แข็งแรงเติบโตไปด้วยกันอย่างดี และเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” ที่ซ่องสุมทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และทรัพยากรมากมายที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ-การเมือง
ขณะเดียวกัน เขาก็มีความเป็นผู้นำที่มองการณ์ไกล นับเป็นคนเดียวในบรรดา 4 เสือที่รู้ทันและรู้ซึ้งถึงกลไกเกมการเมืองว่าต้องเล่นยังไง ต้องซื้อใจเหล่าเสือในถิ่นอื่นแบบไหน เข้าหาพวกนักการเมืองหรือกลุ่มผู้มีอำนาจเช่นไรถึงจะช่วยให้อำนาจของตนแผ่ขยายไปได้ไกลกว่าเดิม
ซุ้มโจรของเขาจึงเปรียบเสมือน "รัฐซ้อนรัฐ" ที่มีทั้งกำลังไพร่พล อาวุธยุทธโทปกรณ์ และทรัพยากรสำคัญต่างๆ ที่ส่งผลทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้นครั้งใดที่อีกฝ่ายทำท่าจะพลิกลิ้นเล่นไม่ซื่อขึ้นมา เสือฝ้ายย่อมเป็นคนแรกที่รู้ทันและขจัดมันถึงต้นตอ กระทั่งรู้ว่าจะหลอกล่อโน้มน้าวฝ่ายอื่นให้มาเสริมทัพหยิบก้อนเนื้อที่เรียกว่า “ผลประโยชน์” อันหอมหวานมากินด้วยกัน
เพราะเขามองเกมการเมืองได้ลึกและกว้างไกล รู้ว่าอำนาจไม่ใช่ศัตรู หากเป็นเครื่องมือสู่การเป็นยอดคนที่กุมอำนาจทั้งหมดในมือ และผู้ที่รู้จักใช้อำนาจอย่างเข้าใจเท่านั้น ถึงจะอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยกับดัก
เสือฝ้ายจึงไม่เพียงชำนาญในศึกอาคม แต่เชี่ยวในศึกชิงอำนาจมากไม่แพ้ใคร นับเป็นศูนย์ถ่วงแห่งอำนาจบ้านเมืองอย่างแท้จริงที่มีแต่รัฐบาล ตำรวจ ข้าราชการมากมายต่างยำเกรง
ไม้ตาE "ตวาดหิมพานต์" ที่เปล่งวาจาด้วยคาถา "วาโธ โนอะ มะมะ วาวา" คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุด มันไม่ใช่แค่เสียงตะโกนข่มขวัญ แต่คือ "ประกาศิต" แห่งอำนาจอธิปไตยอันมาดมั่นของเขา ที่สามารถสยบทุกการเคลื่อนไหว และสร้างความพินาศแก่ศัตรูในพริบตา
เฉกเช่นในโลกการทำงาน นี่คือ "พลานุภาพแห่งผู้นำ (Executive Presence)” ที่ใช้สยบทุกความขัดแย้ง ยุติอุปสรรค และกระทืบเท้า "ตอกย้ำ" ว่าในอาณาจักรแห่งนี้ ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง รู้ว่าเมื่อใดควร “ออกคำสั่ง” เมื่อกล้าพูดออกไป โลกทั้งใบก็ต้องขยับตาม และเมื่อใดควร “นิ่งเพื่อฟัง” เขาก็พร้อมจะฟังให้จบก่อนตัดสินใจลงมือต่อไป
ซึ่งการเป็นเจ้าของสุดยอดอาคมทรงพลังนี้ ก็ต้องแลกมาด้วยการบำเพ็ญเพียร ภาวนา ครองตนมั่นในธรรมแม้จะเป็นโจร จึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดที่ในขุนพันธ์ 2 เมื่อเสือฝ้ายตระบัดสัตย์ หักหลังพี่น้องร่วมสาบานและพรรคพวกร่วมทาง เขาจึงถูกอาคมอันแกร่งกล้าย้อนเล่นงานคืนเป็นเท่าตัว
ผนวกกับการโดนเด็กๆ ในความดูแลหักหลังคืน และเล่ห์กลของ “อัศวิน” ตำรวจเลวที่เอาผ้าถุงผู้หญิงมาคลุมหัวทำของเสื่อมทันใด สื่อให้เห็นว่าความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี แต่ความกระหายอยากได้ อยากมีเกินตัว ย่อมเป็นคนละเรื่องกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบจริงๆ
หากไม่ละโมบเกินตัว ไฉนเลยใครจะมาหยุดเขาได้ลง ทั้งในภาพยนตร์เสือ ขนาด 3 รุม 1 ยังเอาไม่ลง หรือในขุนพันธ์ 2 ตอนที่รู้ความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุฆาตกรรมเสือด้วยกัน ขนาดเสือใบกับขุนพันธ์ร่วมมือกันก็ยังเอาไม่ลง ดังนั้นใครที่ยังคงกังขาในฝีมือเสือฝ้าย ต้องบอกว่าจุดจบแสนอนาถที่เขาเจอ นั่นคือ “กฎแห่งกรรม” ที่เขาทำตัวเอง และ ผกก. - ผู้เขียนบท ก็แค่ต้องการสะท้อนมุมตรงนี้ออกมา
2. “เสือใบ” : เสน่ห์อันแพรวพราวของศิลปิน 🎸
- นอกเหนือจากภาพแห่งยอดเสือสุดเท่ผู้มีขึ้นชื่อลือชาไปทั่วสุพรรณบุรีและแผ่นดินภาคกลาง เขาคือชายยอดนักรัก นักดนตรีพเนจรผู้รักอิสระ ใช้ชีวิตดั่งกระสุนคตที่พลิ้วไหว ลอยละลิ่วปลิวไปมาตามใจหมาย ไร้พันธะ ใดๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ขอแค่อยู่อย่างมีความสุขในทุกวันก็พอ มะเมีย มะมะเมีย เอิ้วววว เอาออกจากหัวไม่ได้เลยเว้ยยย ฮ่าา
มองเผินๆ อาจดูเหมือนคนกะล่อน ปลิ้นปล้อน ไร้แก่นสารทั่วไป ฝากฝังอะไรไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วเสือใบนี่แหละคือคนที่เต็มไปด้วยศักยภาพครบเครื่องทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตให้สมดุลไปด้วยกัน เริ่มจากตัวตนความเป็นคาสโนว่าตัวพ่อ ที่ขอแค่ได้สนิทชิดใกล้ ก็พร้อมจะใช้คมเขี้ยวอันร้ายกาจน่าดู ทั้งสีหน้า แววตา วาทศิลป์ระดับชั้นครู พร้อมลีลา ท่าทาง และเสน่ห์อันแพรวพราว ก็ทำเอาอิสตรีน้อยใหญ่ต่างหลอมละลาย พร้อมต่อคิวพลีกาย เปลือยใจให้โดยดุษฎี บรรเลงเพลงรักอย่างเร่าร้อนไปด้วยกัน
ลองนึกภาพตาม ถ้าเป็นงานใดๆ ที่ต้องอาศัยการดีลงานกับหญิงสาวใดๆ เสือใบจะเป็นคนที่รู้ทางหนีทีไล่ ใช้ทั้งลูกเล่น วาจา การเข้าหาอย่างมีชั้นเชิง ค่อยๆ เล้าโลมจนอีกฝ่ายเคลิ้มและคล้อยตาม พร้อมจะให้ใจควบม้าหนีไปด้วย หรือต่อให้เป็นผู้ชายด้วยกัน เขาก็มีลูกล่อลูกชนมากพอจะเล่นกับใจอีกฝ่ายจนยอม
อย่างในหนังขุนพันธ์ ตอนปล้นอาวุธกองทัพญี่ปุ่นมาขายในตลาดมืด พอเห็นว่าลูกค้าทำท่าจะตุกติกขึ้นมา เสือใบก็หยิบระเบิดพร้อมจุดให้ฉิบหายไปด้วยกัน ทำเอาลูกค้าที่กำลังห้าว รีบเปลี่ยนท่าทีอ่อนลงทันใด และเมื่อเห็นว่ามีโอกาสให้ตักตวงผลประโยชน์มากขึ้นได้ เขาก็เรียกราคาเพิ่มทันที ทั้งพูดขายของเก่ง ทั้งเขี้ยวลากดินเวลาดีล นับเป็นคนที่มีหัวการค้ามากคนหนึ่งเลยทีเดียว
และในความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ อารมณ์ดี เสือใบคือคนที่ไม่ว่าองค์กรไหนๆ ก็จำเป็นต้องมีไว้คอยสร้างบรรยากาศให้ทีมผ่อนคลาย ด้วยทักษะการเอนเตอร์เทน ตามด้วยลีลาการเล่นดนตรีของเขาและวงใบไม้ ทีมงานคู่ใจ เป็นคนที่รู้จักวิธี "ซื้อใจ" คนทำงานด้วยกัน สร้างสีสันและขวัญกำลังใจให้ในยามตึงเครียด โรยแรง เปลี่ยนงานหนักให้พอเบาลง ทำให้พื้นที่เล็กๆ ในโรงเรียนเด็กด้อยโอกาสที่เสือฝ้ายชุบเลี้ยงมา ต่างมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ครื้นเครงขึ้นไปตามๆ กัน
มากกว่านั้นคือเสือใบเป็นมากกว่า “สุดยอดมือขวา” ที่เสือฝ้ายไว้ใจและฝากฝังได้เสมอ ขณะที่คนอื่นรอ “นายสั่ง” เสือใบคือคนที่ “คิดแทนนาย” และลงมือทำทันที คอยคัดกรองคนที่จะมาพึ่งบารมีกลุ่มโจรเชิ้ตดำ คอยเก็บกวาดงานจิปาถะใดๆ ให้หมดจด จนนายแทบไม่ต้องทำอะไรเลย กระทั่งในยามที่พี่ฝ้ายเรียกทำท่าจะสั่งอะไรขึ้นมา เสือใบมองตาก็แทบจะรู้ใจ พูดไม่กี่คำก็พร้อมทำงานต่อทันที
ใช้เสน่ห์ในการเจรจา และใช้ความเด็ดขาดในการปิดงานได้จริง เพียงน้อมเกล้า พนมมือ เอื้อนเอ่ยคาถา 5 พยางค์ “นะโมพุทธายะ” พร้อมร่ายกระบวนท่าสาดกระสุนคตออกไป ชีวิตอริราศน้อยใหญ่ก็พร้อมแดดิ้นสิ้นลมพร้อมกัน หากเทียบกับโลกการทำงานจริง เสือใบคือคนที่หากได้ระบุเป้าหมายตรงหน้าอย่างชัดเจนขึ้นมา นั่นหมายความว่างานนั้นๆ จะได้รับการพุ่งเป้า วางผลลัพธ์เอาไว้อย่างมุ่งมั่น
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคใดๆ ก็พร้อมจะปรับตัว เปลี่ยนแปลง คตเคี้ยวติดตามมันจนสำเร็จให้จงได้ แถมยังเป็นคน Multi-task สามารถจบงานหลายชิ้นในเวลาไล่เลี่ยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเขาลั่นไกหนึ่งครั้ง อาจหมายถึงการปิดดีล 3-4 งานในคราวเดียว หรือบางทีอาจไม่คต เบ้นิดหน่อย ก็จบงานได้เช่นกัน ฮ่าา
ในชีวิตการทำงานหากเราเป็น CEO และมีเลขามือหนึ่งหรือผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้งาน รู้ใจแบบนี้จะดีแค่ไหนกัน หากพระรามมีหนุมาน ใช้งานสิ่งใดก็ได้ดั่งใจทุกที เสือฝ้ายก็มีเสือใบที่ทำให้งานทุกอย่างง่ายขึ้นเป็นกองไม้ตาE "กระสุนคต" ที่เสกด้วยคาถาแม่บท "นะโมพุทธายะ" (หัวใจพระเจ้าห้าพระองค์) คือบทเรียนอันล้ำลึกแห่งการบรรลุเป้าหมาย
เมื่อกระสุนที่เลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางและติดตามเป้าหมายจนถึงที่สุดนั้น เปรียบได้กับคนทำงานที่เมื่อล็อคเป้าอะไรแล้วจะทำทุกวิถีทางทั้งฝีมือ ความมุ่งมั่น และทักษะ "คตเคี้ยว" ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จนกว่าจะสยบทุกอย่างได้ในกำมือเพื่อให้งานสำเร็จอย่างที่ได้รับมอบหมายมา ท่ามกลางลีลาอันคตเคี้ยวเลี้ยวลด กลับสะกดปัญหาด้วยความแน่วแน่กว่าใคร
อีกอย่างหนึ่งที่ผมนึกขึ้นได้คือ เหตุผลที่เสือใบใช้ชีวิตเรียบง่าย สนุกสุดเหวี่ยงไปเรื่อยๆ นั่นคงเป็นเพราะเขาเคยพลั้งมือสังหารลำดวนเมียรักคนแรก จนเจ็บปวดสุดแสนประมาณได้ ไม่อาจแม้ข่มตาหลับสนิทโดยไม่คิดถึงเธอ เพราะเคยเจ็บปวดทุกข์มามาก เขาจึงเลือกที่จะให้ความสุขกับตัวเองบ้าง
เหมือนชีวิตจริงคนเราที่เคยเจ็บกับอดีตมายังไง ถึงเวลาก็ต้องมูฟออนไปต่อให้ได้ และทุกคนต่างคู่ควรที่จะรักตัวเองให้มาก อยากกินอะไรกิน อยากทำอะไรทำ (ที่ไม่เดือดร้อนใคร) อยากร้องเพลง กระโดดโลดเต้น เล่นกับเพื่อน กับใครๆ ก็ทำไปเลย เมื่อมองว่าชีวิตหนึ่งมันสั้นมาก ตัวเรานี่แหละคือคนแรกที่ควรให้ความสุขที่สุด
3. “เสือมเหศวร” : สายลับ นักคิด และสื่อหัวขบถ 📰
- หากเสือฝ้ายคือตัวแทนแห่งอำนาจ “เสือมเหศวร” ก็คือตัวแทนแห่ง "ปัญญา" และสัญลักษณ์ของคนหัวสมัยใหม่ที่ไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ภายใต้ภาพของหนุ่มหล่อหน้าหยก บุคลิกเนิร์ดๆ เรียบง่าย เขาคือ “นักวางแผนกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer)” ชั้นยอด หรือสายลับผู้ทำงานกับ "ข้อมูล" ได้อย่างแนบเนียนตลอดเวลา
ยิ่งในสนามรบยุคใหม่ไม่ได้อาศัยแค่กำลัง แต่ต้องใช้ “ข้อมูล” เป็นอาวุธให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับฝ่ายตน นับเป็นกุญแจที่จะทำให้ชนะศึกสงครามง่ายขึ้นตามมา เมื่อคนที่รู้เร็วกว่า แทรกซึมเก่ง วางแผนก่อน ย่อมได้เปรียบที่สุด ถ้าเป็นโลกปัจจุบันเสือมเหศวรจะเป็นคนที่ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนการทำงานได้เป็นเลิศ (DATA Driven) และเป็นคนแรกๆ ที่ใช้งาน Agentic AI ได้คล่องแคล่ว
จริงอยู่ที่ภายนอกเขาไม่ใช่คนแข็งกร้าว ดูน่าเกรงขามดั่งเสืออีก 3 ตัว แต่เป็นเสือที่ซ่อนเล็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็น เต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว ว่องไว และไหวพริบในการจับประเด็น ทำให้เขามองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น อ่านเกมล่วงหน้า อยู่ถูกที่ ถูกเวลา ตีเนียนหลายหน้า และพลิ้วไหวไปตามสถานการณ์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ยิ่งกว่าใคร
ในโลกโจร เสือมเหศวรคือ “คนที่หายตัวได้ในหมอก” แฝงตัวไปได้ทุกภารกิจ
ในโลกจริง เขาคือคนที่รู้ คิด อ่านทุกความเคลื่อนไหวขององค์กรก่อนใครเสียอีก
มีหัวไวแบบนักข่าว มีสายตาแบบนักสืบ และไหวพริบแบบสายลับ
วิชา "ลิงลม" อันเลื่องลือ ที่กำกับด้วยคาถา "อมพระมเหศวร" ไม่ใช่เพียงกายกรรม แต่คือ "ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)" ในโลกธุรกิจ นี่คือทักษะ "Agile" หรือความสามารถในการพลิกแพลง หลบหลีกวิกฤต หาทางหนีทีไล่ที่เหนือชั้น และเข้าถึงเป้าหมายจากมุมที่คาดไม่ถึง
เขาคือคนที่หาตัวจับยาก และไม่มีวันจนมุมง่ายๆ แม้แต่ขุนพันธ์เองก็ยังหัวปั่น แพ้ราบคาบในการวิ่งไล่ จับตัวเสือมเหศวรมาสอบปากคำ (ในขุนพันธ์ 3) หรือในภาพยนตร์เสือ เขาก็เป็นเนิร์ดอุปกรณ์ ทั้งตัวคืออาวุธ ติดตั้งไว้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า พร้อมพลิกแพลงคร่าชีวิตอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา
แต่เหนือกว่าความว่องไว (Agility) คือทักษะความเข้าอกเข้าใจ (Empathy)เขาไม่ใช่คนที่คอยสั่งการจากหอคอย แต่คือวีรบุรุษที่เดินดิน เคียงข้างผู้คนที่อยู่ด้วยกัน คอยดูแลชุมชน หายามารักษาไข้ป่าให้ชาวบ้าน คอยเยียวยาทุกบาดแผลเคียงข้าง "สาวิตรี” คุณหมอคนสวยคู่ใจ ให้พื้นที่พักอาศัยทุกคนอย่างเท่าเทียม
เสือมเหศวรเต็มไปด้วย Soft Skill ในการ "ซื้อใจ" ผู้คน และกล้าคิดกล้าทำในสิ่งใหม่ที่ฉีกขนบเดิม ดังเช่นงานแต่งงานของไอ้จ่อยที่วางธีมให้คนในงาน "แต่งตัวสลับเพศ" เพื่อสื่อถึงความหลากหลายและความเท่าเทียม แม้แต่กับศัตรูตามเนื้อผ้าอย่างขุนพันธ์ เขาก็เลือกที่จะ "เจรจาโดยสันติ" มากกว่าจะด่วนตัดสินลั่นไกใส่กัน
ขณะที่คนทั่วไปไม่ว่าตำรวจหรือโจร ต่างสาดโคลนเหยียดอีกฝ่ายว่าไม่ดี ตำรวจมันเชื่อไม่ได้ ส่วนมึงมันก็โจรชาติชั่ว ค่อยๆ ทำให้ขุนพันธ์เริ่มตั้งคำถามกับคุณธรรมในใจตน และชีวิตจริงที่เทาๆ ไม่ขาวไม่ดำ ไม่มีตำรวจหรือโจรอย่างแท้จริง ก่อนจะเลือกทำตามหัวใจของตัวเอง ห้ำหั่นพวกตำรวจเลว จับมือบรรดาเสือ ทวงคืนความสงบสุขไปด้วยกัน
มองภายนอกคาถา “อมพระมเหศวร” ที่มีฤทธานุภาพแคล้วคลาด ปลอดภัย แค่เห็นเป้าหมายที่โจมตีเข้ามา ก็สามารถเป็นโล่มนุษย์ปกป้องคุ้มครองทุกคน แต่ลึกลงไปข้างใน เสือมเหศวรคือผู้นำที่พร้อมจะปกป้องคนของเขาอย่างสุดกำลัง สุดหัวใจ ทุ่มเทแรงกายใจเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อส่วนร่วมก่อนส่วนตน
และที่ขาดไม่ได้คือจิตวิญญาณของความเป็น “สื่อมวลชน” ที่กล้าคิด กล้าตั้งคำถาม และกล้าลงมือทำ ดีดแป้นพิมพ์ตีแผ่ความจริง พร้อมเล่าเรื่องราวในมุมที่ “แตกต่าง” ออกไปจากตลาด ขณะที่สื่ออื่นคอยใส่สีตีไข่ ขายวิญญาณให้รัฐบาล คอยบิดเบือน เล่าแต่มุมมองด้านเดียว หรือถ้าสมัยนี้ก็คงเป็นสื่อไร้จรรยาบรรณที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อยอดเอนเกจมากกว่าจะคำนึงถึงผู้อ่าน
ทว่าท่ามกลางโลกแห่งสื่อที่วุ่นวาย วกวน เสือมเหศวรหรือ “นายศร” ก็ยังคงมุ่งมั่นตามแนวทางของตัวเองต่อไป แบบที่เขาตีพิมพ์เรื่องตำนานกลุ่มเสือ ผู้เป็นสัญลักษณ์และต้นกำเนิดแห่งโจรเชิ้ตดำจนไปกระตุกหนวดนายพลเสรี ผู้มีอำนาจคนใหม่ในทำเนียบ จนอกแทบจะระเบิดตาE
แต่อีกมุมหนังสือเล่มนี้กลายเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนต่างลุกฮือ ตั้งคำถาม และกล้าที่จะยืนหยัดกับความจริง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าข้านี่แหละเชิ้ตดำ หากมีสื่อไหนทำให้คนเปลี่ยนแปลง ได้คุณค่าบางอย่างกลับไป นั่นแหละคือ “สื่อน้ำดี” อย่างแท้จริง และเสือมเหศวรคือหนึ่งในนั้นเลย
4. “เสือดำ” กำปั้นแห่งศรัทธา และความซื่อตรง 🥊
- หากมองภาพรวมในบรรดาเสือทั้ง 4 “เสือดำ” อาจเป็นคนที่ดูเหมือนจะด้อยที่สุด ด้วยความหัวทึบ บ้านๆ ซื่อๆ ไม่มีการศึกษา ไม่รู้หนังสือ ไร้เล่ห์เหลี่ยมไม่ทันคน ยิ่งเป็นบ้านเมืองไทยในยุคที่ไฟสงครามระอุ เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงอำนาจ ซ่อนมีดดาบอยู่ข้างหลังพร้อมแทงกันได้ทุกเมื่อ ถ้าบอกว่าเขาคือ 1 ในมหาโจรแห่งยุคก็คงไม่มีใครเชื่อได้
แต่ก็เพราะความซื่อๆ จริงใจ ตรงไปตรงมานี่แหละที่ทำให้เสือดำโดดเด่นเป็นตัวเอง และยืนหยัดได้ดีไม่แพ้ใคร จากวันที่ยังเป็นเสือหนุ่มพเนจร สะบักสะบอมคลุกฝุ่นดิน เนื้อตัวอาบเลือดอยู่ข้างทาง จน 5 ผู้เฒ่าเสือมาพบเข้าและถามว่าเอ็งเป็นคนดีหรือเลว เขาก็ตอบตามตรงทันทีว่า “เลว” กลายเป็นโดนเส้นถูกใจเหล่าผู้เฒ่า เลยพามาชุบเลี้ยงในค่ายมวย ก่อนจะถ่ายทอดทักษะการต่อสู้และวิชาอาคมต่างๆ ให้เต็มที่ พากันไปปล้นหาเลี้ยงค่าย และกลายเป็นโคตรนักมวยสุดตึง เรียกแขกเรียกเงินเข้ามาเรื่อยๆ ดูแลเสมือนศิษย์โปรดและลูกแท้ๆ คนหนึ่ง
สิ่งสำคัญอย่างแรกคือการที่เสือดำรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขา “ทำได้ดีที่สุด” และทุ่มเทใส่มันออกไปจนสุดในทุกโอกาส ด้วยสองกำปั้นอันหนักหน่วง ประเคนหมัด สับศอก ตีเข่า ร่ายเพลงเตะ อัดใส่คู่ต่อสู้น้อยใหญ่ให้พังพาบ น็อคคาสังเวียนแทบทุกรายไปหมด
ครั้นในยามสวมบทเสือพุ่งออกไปลุยภาคสนาม ก็เป็นโจรที่ไม่พูดพล่าม ไม่ต้องมีนิยามอะไรมาก แผ่จิตสังหาร บุกเข้าอัด สับ ยิงให้แหลก ตั้งแต่ในภาพยนตร์เสือสมัยยังซื่อๆ ไร้พิษภัย จนถึงในขุนพันธ์ 3 ที่เต็มไปด้วยความดำมืดน่าเกรงขาม ใช้ความเจ็บปวดจากก้นบึ้งหัวใจ ขับเคลื่อนความอาฆาตแค้นเข้าบดขยี้ศัตรูให้ตาEคาที่ โดยเฉพาะไอ้ขุนคนดีที่บังอาจมาพรากชีวิตธรรมดาของเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ มีเพียงพืชวิเศษที่ใช้เพียงเพื่อเยียวยาความเจ็บปวดให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน
ความเด็ดขาดของเสือดำนั้นมีให้เห็นชัดเจนตลอดเวลา เป็นคนที่หากลั่นวาจา คิดไว้แล้วว่าจะทำสิ่งใดก็จะทุ่มเทกายใจกระชากมันมาให้ได้ อย่างตอนที่เสือมเหศวรร้องขอให้เหล่าผู้เฒ่าไว้ชีวิตขุนพันธ์เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เขาก็ยังคงยืนกรานหนักแน่นว่าจะเด็ดหัวไอ้ขุนให้สาแก่ใจ ตอนสู้กันตัวต่อตัว เมื่อ
บอกอีกฝ่ายว่ามาซัดกันแบบไม่ใช้อาคม ก็ทำตามนั้นจริงๆ พอแพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างลูกผู้ชาย รู้กันว่าถึงวันนี้ทำไม่ได้ วันหน้าจะมาเอาคืน
กระนั้นเมื่อถึงคราวสบโอกาสได้ลอบยิงกบาลขุนพันธ์แบบจ่อๆ เสือดำก็ยังซื่อตรงพอเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ถึงการมาของตนจากกลิ่น งั้นก็บอกเลยว่ากูจะฆ่ามึงให้จบๆ ก่อนที่กำแพงในใจทุกอย่างจะพังทลายลง เมื่อขุนพันธ์สารภาพทั้งน้ำตาว่ากูไม่เคยเจตนาฆ่าลูกเมียมึง ทำให้ความจริงใจของท่านขุนส่งผ่านไปถึงใจเสือดำที่เป็นคนใช้หัวใจนำทางเหมือนกัน
นั่นเป็นวันที่เขาได้เติบโตขึ้นจากเดิม เรียนรู้ที่จะก้าวผ่านอดีตด้วยอภัยทาน ถอยออกมาเห็นภาพรวมมากขึ้นว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นยังไง ทำไมกลุ่มเชิ้ตดำต้องพึ่งขุนพันธ์ในการทวงคืนความยุติธรรมไปด้วยกัน ในห้วงเวลานั้นที่ศรัทธาในใจขุนพันธ์สั่นคลอน อาคมเริ่มเสื่อมถอยตาม สังขารเริ่มโรยราจนเสียท่าเหล่าตำรวจเลวจนโดนฝังทั้งเป็น ก็ยังได้เสือใบมาช่วยชีวิตไว้ทันท่วงที และคนที่ร้องขอให้มาช่วย ก็คือศัตรูคู่อาฆาตของท่านขุนอย่างเสือดำ ที่กลายเป็นสหายร่วมรบในที่สุดนั่นเอง
นอกจากความโดดเด่นด้านการโจมตี เอาจริงเอาจังในทุกการศึกแล้ว เสือดำยังเด่นในด้านศาสตร์แห่งการป้องกันไม่แพ้ใคร จากอาคม “วินาศสันตุ (จงพินาศไป!)” ท่าไม้ตาEที่เสกทรายสลายอาวุธฝ่ายตรงข้ามให้กลายเป็นเพียงธุลี ไม่ว่ากระสุนหรือของมีคมใดๆ ก็ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าเสือดำ (มีเพียงกระสุนคตของเสือใบที่ยากต่อการทำลาย)
ทำให้เขาเป็นคนที่ต่อสู้ได้ทั้งในรูปแบบ “แข็งสยบอ่อน” และ “อ่อนสยบแข็ง” ในคราเดียว ขณะที่คนอื่นมุ่ง "เอาชนะ" ศัตรูแบบลืมตาE เสือดำมุ่ง "สลาย" ปัญหาที่ต้นเหตุของมัน เมื่ออาวุธคืออุปสรรคตรงหน้าที่ชัดเจน ก็เสกทรายสลายมันให้สิ้นซากไปเลย ถ้าในชีวิตจริง เขาคือพนักงานที่นิ่งๆ สันโดษ ไม่พูดมาก แต่ใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง เป็นคนอดทน หนักเอาเบาสู้ ซื่อตรง เด็ดขาด ทุ่มทำงานจนถึงขีดสุด ลุยงานทีก็ใส่เต็มกำลัง เจอปัญหาเข้ามาก็จะสลายมันได้และก้าวต่อไป
ขณะเดียวกันอีกด้านของเสือดำก็เป็นคนมุ้งมิ้ง อ่อนโยน เมื่อให้ใจกับใครแล้วให้จริงๆ ขณะที่เสือใบ-เสือมเหศวรยอมร่วมภารกิจล่าหัวจอมพลเลิศเพื่อเงิน 1 ล้าน เสือฝ้ายทำเพราะบัลลังก์อำนาจเบ็ดเสร็จที่วางแผนมานาน มีเพียงเสือดำที่ไม่ได้ร่วมศึกเพื่อชื่อเสียง ไม่ได้ฆ่าเพื่ออำนาจ เขาร่วมภารกิจเพียงเพื่อจะหาเงินให้ผู้เฒ่าทั้งห้าที่เลี้ยงเขามาได้กินดีอยู่ดีในบั้นปลาย ค่ายมวยอยู่ได้ในระยะยาว หัวใจเขาใหญ่กว่าป่าเขาลำเนาไพร และซื่อตรงกว่ากฎหมายใดๆ ในรัฐธรรมนูญ
หากเป็นชีวิตจริงนี่คือชายที่น่ายกย่องอีกคน ผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความกตัญญูกตเวที รู้คุณคน และตอบแทนด้วยใจจริงโดยไม่คำนึงถึงตัวเอง ถ้าในเชิงการทำงานเขาคือพนักงานผู้ซื่อสัตย์ พร้อมตอบแทนองค์กรทุกหยาดเหงื่อ ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนก็จะไม่ลาออก ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันจนสุดทาง พร้อมลุยทุกงานทุกภารกิจ แม้เหนื่อย แม้ยากเพราะรู้ว่าความเหนื่อยวันนี้ จะกลายเป็นรอยยิ้มของคนที่เขารักวันหน้า
ความอ่อนโยนที่ว่ายังสะท้อนออกมาผ่านมุมความรักในภาพยนตร์เสือ ก่อนจะดาร์คแบบในขุนพันธ์ 3 เขาก็เป็นหนุ่มคนหนึ่งที่ซื่อตรงกับหัวใจตัวเอง เพราะสำหรับเสือดำแล้ว “รสริน” นั้นคือยอดหญิงที่เขาไม่เคยคิดใช้กำลังมาครอบครอง ขอแค่ได้รัก ได้ลองส่งความรู้สึกดีๆ ออกไปให้เธอ ถึงจะไม่รู้หนังสือ ก็ยังอยากสื่อภาษาใจออกไป ผ่านท่าทีเงอะๆ งะๆ เขินอายแบบชายคลั่งรักเงียบๆ ในมุมเล็กๆ ของเขาคนเดียว วาดรูปไม่สวย ก็ขอแค่ได้วาดออกไปให้เธอเก็บแทนใจเผื่อนึกถึงกัน ในยุคที่คนชิงอำนาจหักเล่นกันเป็นว่าเล่น
เสือดำก็ยังเป็นตัวเองอยู่ทุกเมื่อ คนที่ไม่มีทางนอกใจหรือหักหลังใครได้เลย ทั้งในความสัมพันธ์และการทำงาน น่าเสียดายที่ตอนท้ายเรื่องขุนพันธ์ 3 เมื่อเขากำลังจะกลับตัว กลับใจ วางอาคม พร้อมล้างมือ
จากการเป็นโจร โลกอันโหดร้ายและความยุติธรรมปลอมๆ จากตำรวจบ้าอำนาจก็ระดมยิงวิสามัญคาที่ ไม่ให้โอกาสเขาเลยสักนิดเดียว
สรุป
โลกแห่ง “เสือ” การมีวิชาอาคมคือทางรอดและพลังอำนาจ
โลกแห่ง “งาน” การเก่งงาน เก่งคนคือโอกาสเติบโตอีกหลายขั้น
“เสือฝ้าย” สอนให้ “มองเกมให้ไกลกว่าผู้อื่น”
“เสือใบ” สอนให้ “บริหารเสน่ห์ ดีลงานอย่างมีศิลปะ”
“เสือมเหศวร” สอนให้ “เก่ง DATA และไหลลื่นตามสถานการณ์”
“เสือดำ” สอนให้ “ยืนหยัด ศรัทธา และทำงานให้สุดกำลัง”
เพราะไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย
โลกก็ยังเป็นสมรภูมิเดียวกัน
เพียงเปลี่ยน “คาถา”
ให้กลายเป็น “ทักษะ” เท่านั้นเอง
สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ
เราทุกคนต่างเป็น “เสือ”
ที่มีองค์ มีความรู้ความชำนาญ
ในแบบของตัวเอง
แต่การจะทำให้เสือหลายตัว
ทำงานอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันได้ดี
ย่อมต้องอาศัยการสื่อสาร
ภาพเป้าหมายร่วมที่ชัดเจน
มองเห็นว่าปลายทางเราจะได้อะไรร่วมกัน
ไม่ว่าอุปสรรคตรงนั้นจะเป็นหลวงประสาน
หรือรัฐบาลเลวร้ายเพียงใดก็จะกอดคอ
ควบม้าฝ่าฟันไปด้วยกันได้จริงๆ
เพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ใช่แค่งาน
หากเป็นการก่อสะพานก้าวไปสู่ความสำเร็จ
ด้วยกันในฐานะทีมเชิ้ตดำ,,,
เขียนโดย: เพื่อนนายศร ✍️
ตีพิมพ์โดย: สยาม ไซด์ สตอรี่ 📰
หนัง
ภาพยนตร์
บันเทิง
1 บันทึก
1
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย