30 ต.ค. เวลา 12:43 • ข่าวรอบโลก

จีน-สหรัฐ …คุณมีเนื้อ แต่เตามันอยู่ที่ผม ! ….

จบไปแล้วอย่างชื่นมื่น กับการเคลียร์ข้อตกลงการค้า
ที่ตึงเครียดอยู่นานของสองมหาอำนาจ…
จากนี้ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โลกก็คงน่าจะสงบสุข
จากสงครามการค้าของสองคู่แค้นได้อีก 1 ปี
ตามที่ตกลงกันไว้
…แต่มันก็คงเป็นเพียงเวลาสั้นๆ เพราะการแข่งขัน
ทางภูมิรัฐศาสตร์ บังคับให้พวกเขาตัองตีกับอีกฝ่ายต่อไป
จนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะจริงๆ เหมือนที่เคยเกิดในสงครามเย็น
ที่ต้องยอมกันตอนนี้ ก็เพราะต่างฝ่าย ก็ต่างไม่พร้อมหัก…
…มากกว่ามองว่ามันคือสัญญาณของความเป็นมิตร….
ประเด็นหลักที่เป็นตัวแปรทั้งหมดของข้อตกลงตอนนี้
ก็คือแร่หายาก rare earth (REE) นั่นแหละ
ที่เป็นเครื่องต่อรองที่ทรงพลังที่สุดของทั้งคู่
สำหรับเรื่องนี้ แม้จีนจะมีแต้มต่อ ที่ควบคุมการผลิต
ทั่วโลกได้มากถึง 90% ทั้งจากที่ผลิตในจีนและได้สัมปทาน
การลงทุนจากที่อื่น จนดูเหมือนสหรัฐไม่มีอะไรต่อรองได้
แต่ในความเป็นจริง สหรัฐคือคนที่ควบคุมการใช้ REE
มากกว่าผู้ใดในโลก และเป็นผู้กำหนดแนวทางการใช้มัน
เสียด้วยซ้ำไป
มันอาจมองตื้นๆได้ว่า เป็นศึกระหว่างคนซื้อคนขาย
หรือคนทำ กับคนใช้
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะความจริง
มันเหมือน คนเลี้ยงวัว ตีกับเชฟเสียมากกว่า
…จีนมีแร่ แต่สหรัฐรู้วิธีที่จะทำให้แร่มีค่า เป็นที่ต้องการ…
…ดังนั้น พาวเวอร์การต่อรอง มันจึงสูสีกว่าที่ใครคิด…
ซอฟท์แวร์ คือจุดแข็งที่สุดของสหรัฐ ที่จีนยังชนะไม่ได้
จีนอาจมี REE แต่นั่นอาจไม่มีประโยชน์มากนัก
หากพวกเขายังไม่สามารถนำแร่พวกนี้ ไปใช้ประโยชน์
แบบเกิดผลได้จนครบวงจร
แร่เหล่านี้ จะมีค่าที่สุด ก็คือเมื่อมันอยู่ในมือของคนที่
จะกำหนดวิธีใช้มัน หรือก็คือสหรัฐและพวกเท่านั้น
เรื่องนี้ เห็นได้ชัดมาก จากท่าทีของทั้งสองฝ่าย
หลังการประกาศควบคุมแร่ของจีนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ตอนแรกจีนนั้นไม่ยี่หระอะไรนักกับการประกาศขึ้นภาษี
ของสหรัฐ และยังแข็งกร้าว ว่าพร้อมจะตอบโต้อีกต่างหาก
แต่จีนเสียงอ่อนลงทันที เมื่อทรัมป์บอกว่าเขาจะแบน
ทุกอย่างที่มีซอฟท์แวร์สัญชาติสหรัฐ หรือผลผลิต
จากซอฟท์แวร์พวกนี้ ที่จะส่งไปจีน
โดนดอกนี้ จีนเต้นผางเลย และกลายเป็นฝ่ายต้องยอมถอย
จนสหรัฐกลับมามีไพ่ที่เหนือกว่าได้ในที่สุด
เพราะอะไร ?
เหตุผลคือ หากสหรัฐทำการแบนซอฟท์แวร์จริงๆ
ไม่มีการขายใหม่ และการอัพเดทใดๆให้จีน
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของจีน พินาศแน่นอน
เอาตัวอย่างที่ง่ายที่สุดเลย
แค่เรื่องซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์อย่างเดียว
ก็จะหมายความว่า จีนจะไม่มีซอฟท์แวร์พื้นฐาน
เพื่อมาติดตั้งติดตั้ง บนคอมพิวเตอร์ หรือกระทั่งมือถือ
ต่างๆ ที่จะขายไปทั่วโลกได้
จริงอยู่ จีนอาจมีทางเลือกด้วยการใช้ ระบบปฏิบัติการ
และโปรแกรมพื้นฐาน ที่เป็น open source เช่น Linux
และโปรแกรมต่างๆของจีนใส่เข้าไป เพื่อเสนอขายได้
ปัญหาคือ ถ้าทำแบบนั้น ใครจะซื้อล่ะ
เพราะแม้แต่รัสเซีย อิหร่าน ชาวบ้านก็ยังใช้วินโดว์อยู่
เนื่องจากผู้ใช้ระบบเปิดเหล่านี้ มีน้อยมาก ในตลาดสินค้าไอที
ในปัจจุบัน หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มีไม่ถึง 5%
ไม่นับว่า องค์กรที่พัฒนา open source เหล่านี้
แม้ไม่ได้ผลิตขาย ให้ใช้ฟรีก็จริง
แต่โดยมาก บริษัทหรือองค์กรลักษณะของมูลนิธิ
ที่พัฒนามัน อยู่ในชาติตะวันตก พันธมิตรของสหรัฐแทบทั้งสิ้น
แน่นอน ว่าผู้พัฒนา open source เหล่านี้
ยังตัองอยู่ภายใต้กฎหมาย และการควบคุมของ
ประเทศตนเอง ที่อาจอันเดอร์ต่อสหรัฐ
และมีนโยบายต่อต้านจีน เช่นเดียวกับสหรัฐได้
หากสหรัฐแบนซอฟท์แวร์ตัวเอง และพันธมิตรเอาด้วย
จีนจะไม่มีทางเลือกในการผลิตสินค้าไอทีเหล่านี้ขาย
ไปทั่วโลกได้เลย แม้มีของดีที่พัฒนาเองก็ตาม
การใส่ระบบปฏิบัติการตัวเองเข้าไป พวกเขาจะขายได้
ในตลาดที่เล็กลงอย่างมาก อย่างที่บอก คือไม่ถึง 5%
จากตลาดทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนทำได้ยากมาก
เนื่องจาก user ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงความขำนาญเดิม
แล้วอุตสาหกรรมสินค้าไอทีจีน สำคัญมากสำหรับระบบ
เศรษฐกิจของพวกเขา ถ้าพัง คือเศรษฐกิจจีนอาจพังทั้งระบบ
ธุรกิจอื่นๆในจีนเองก็จะกระทบอย่างมากเช่นกัน
เนื่องจากบริษัทข้ามชาติจีน ก็ยังมีความต้องการ
ซอฟท์แวร์เหล่านี้ เพื่อเชื่อมโยงกับระบบการผลิตทั่วโลกนั่นเอง
และมันไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ กรณีสหรัฐแบน
ซอฟท์แวร์ที่ใช้ในเครื่องจักรต่างๆ ซึ่งเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
ในระดับสากล มันมีซอฟท์แวร์ มีรหัสของสหรัฐซ่อนอยู่
แทบจะทุกประเภท
ตั้งแต่ง่ายๆ อย่างเครื่อตัดเจาะ CNC หรือระบบในรถ EV
ไปจนถึงระดับสูงอย่างเครื่องบินเจ็ท ระบบนำร่องต่างๆ
ของเครื่องบินโดยสารซึ่งจีนก็ยังใช้ของค่ายตะวันตกอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อความน่าเชื่อถือของสายการบิน
ซึ่งพวกนี้จะใช้ไม่ได้เลย หากสหรัฐแบนขึ้นมาจริงๆ
…จะเห็นว่า ซอฟท์แวร์นั้นคือแต้มต่ออย่างมากของสหรัฐ
ที่พวกเขาถือไพ่เหนือกว่าทุกชาติบนโลก และยังไม่มีใคร
สามารถหลุดพ้นการควบคุมนี้ได้ …
…จีนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พวกเขายังต้องพึ่งพามันมาก
เพื่อทำตลาดเชื่อมโลกกับพวกเขาเข้าด้วยกัน ….
และที่สำคัญ มันรวมถึงความสามารถในการผลิตชิป
ของจีนในปัจจุบันไปด้วย…
เพราะ วิศวกรรมย้อนทาง ทำไม่ได้กับเรื่องนี้ …
จีนขึ้นชื่อมาก เรื่องวิศวกรรมย้อนทาง
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าก็อปปี้นั่นแหละ
ไม่ว่าจะเรียกว่า วิศวกรรมย้อนทาง , การรื้อเพื่อวิจัยต่อยอด
หรือสารพัดคำให้สวยหรูแค่ไหนก็ตาม
…โดยสาระแล้ว มันก็ยังคือการแกะ เพื่อก็อปปี้อยู่นั่นเอง…
จีนอาจเก่งมากในเรื่องนี้ และหลายอย่างก็พัฒนาต่อได้
จนดูเหมือนว่าเก่งกว่าต้นฉบับเสียอีก
แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว
ยังมีสินค้ามากมายบนโลกนี้ ที่เป็นสินค้าทางวิศวกรรมแท้ๆ
ที่มักซ่อนอยู่ในสายพานการผลิตระดับสูง
ซึ่งสินค้าพวกนี้แหละ ที่จีนยังไม่สามารถทำได้
และยังต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้จากค่ายตะวันตก
ตั้งแต่สินค้าความละเอียดสูง อย่าง ball screw จากญี่ปุ่น
และเยอรมนี ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆคือโคตรยาก
มันไม่ใช่แบบบ้านๆ ความคลาดเคลื่อนระดับมิลลิเมตร
อย่างในเครื่อง CNC แต่มันคือระดับมิลลิเมตรทศนิยมสี่จุด
ซึ่งทุกวันนี้ จีนก็ยังทำได้ไม่ดีนัก เนื่องจากขาดสูตรลับ
ทางด้านวัสดุศาสตร์
( คือทำได้ แต่ความแม่นยำและทนทาน ต่ำกว่าต้นฉบับมาก
แต่ ball screw ชั้นสูงนั้น จำเป็นมากกับการผลิตจักรกลไฮเทค
โดยเฉพาะ เทอร์ไบน์เครื่องเจ็ท ซึ่งจีนยังต้องใช้มันผลิตอาวุธ )
แต่ที่หนักหนาที่สุด ก็ยังคงเป็นเรื่องเครื่องผลิตชิป
ซึ่งจีนนั้นดูจะจนปัญญาไปแล้วกับเรื่องนี้ ในปัจจุบัน
จีนอาจโฆษณาว่าพวกเขาผลิตชิประดับสูงได้
ด้วยเทคนิคพิเศษ
แต่ไม่ว่ามันจะเวิร์คจริงไหม สำหรับประสิทธิภาพตัวชิป
แต่พื้นฐานการผลิตชิปของจีน
ก็คือยังต้องใช้บริการเครื่องจักร DUV ของ ASML
บริษัทสัญชาติดัชท์ ไส้ในอเมริกันอยู่ดี
นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ที่ทำให้จีนต้องยอมในตอนนี้
เนื่องจากการสร้างเครื่องที่ทำงานเหมือน DUV พวกนี้
จีนยังไม่สามารถทำได้
ที่จริง พวกเขาแม้แต่จะซ่อมที่ใช้อยู่ด้วยตนเองก็ยังทำไม่ได้
ล่าสุดมีข่าวว่า ASML รับการร้องขอจากบริษัทจีน
เจ้าของเครื่อง DUV นี้ เพื่อให้ไปซ่อมมัน
แต่เนื่องจากทีมวิศวกรนั้นพบว่า มีการพยายามรื้อ
เพื่อจีนจะก็อปปี้มัน หลังการตรวจสอบ
พวกเขาจึงไม่ซ่อมให้มันซะดื้อๆ เลยแบบนั้น
ตอนนี้ก็เป็นคดีความกันอยู่
ปัจจุบันจีนมีแต่เครื่องเหล่านี้ และเทคนิคการทำ layer
เท่านั้น ในการผลิตชิป เนื่องจากซื้อมาก่อนที่จะโดนแบน
พวกเขาไม่มีรุ่นใหม่คือ EUV ที่พันธมิตรสหรัฐใช้กัน
ในครอบครองเลย
พวกเขาน่าจะต้องใช้มันไปอีกนาน
แน่นอน ว่าหากสหรัฐประกาศแบนซอฟท์แวร์ต่อจีน
เครื่อง DUV ในมือจีน ก็จะไม่ได้รับการซ่อมบำรุง
อัพเดทใดๆ จาก ASML อีกต่อไป
…และนั่นคือสิ่งที่ทำให้จีนต้องยอมกลืนเลือดมากที่สุด…
แต่เมื่อหันกลับมามองสหรัฐแล้ว แร่หายาก
แม้จะเป็นจุดสลบของพวกเขาเช่นกัน
แต่มันก็ไม่ถึงกับอับจนหนทางในการหามาใช้
เพราะตัวเอง และพันธมิตรก็ยังพอมี แม้จะไม่พอใช้ก็ตาม
แร่อย่าง ลิเธียม ที่ใช้กันมากที่สุด สหรัฐก็ยังมีทางเลือกอื่น
และพวกเขาไม่ต้องการมันนัก ในอุตสาหกรรมยานยนต์
เพราะทรัมป์นั้นสนับสนุนการใช้รถน้ำมันแบบสุดตัวอยู่แล้ว
ถ้าอเมริกันใช้รถน้ำมัน ลิเธียมก็จะถูกใช้แต่ในอุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมันน้อยกว่ามาก และสหรัฐเชื่อว่าพวกเขา
จะหาจากมิตรประเทศ และผลิตเองได้พอใช้
แม้มันจะแพงขึ้นก็ตาม แต่จะเห็นได้ชัดว่าสหรัฐยังมีทางเลือก
ต่างกับจีน ที่ไม่มีทางเลือกเลย ในกรณีของซอฟท์แวร์
หมากตานี้ของทรัมป์จึงได้ผล และจี้จุดเจ็บของจีนที่สุด
…ก็ดูหน้าสี่และทรัมป์ในรูปข่าวเถอะ มันบอกทุกอย่างแหละ..
ยกนี้ จีนคงต้องยอมๆให้สหรัฐไปก่อน เพราะยังไม่พร้อม
แต่จีนก็ใช่ว่าจะเสียเปรียบมากจนเกินไป
อย่างน้อยสหรัฐก็ไม่เปลี่ยนจุดยืนเรื่องไต้หวัน
และไม่พยายามกดดันจีนอีก ให้เลิกซื้อพลังงานรัสเซีย
แถมลดภาษีให้
ซึ่งเท่ากับจีนได้ในส่วนนี้ และสหรัฐคือฝ่ายต้องยอมถอย
มันจึงไม่ใช่การเสียหน้าของจีนเลย วินวินด้วยซ้ำ
ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐและจีน ไม่สามารถแยกจากกัน
เด็ดขาดทางเศรษฐกิจได้ อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ชิงความได้เปรียบกันน่ะ ใช่
แต่หากพูดถึงในวันนี้ ถ้าฝ่ายใดพังไป…
อีกฝ่ายก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
พวกเขาอาจขิงกันไปมา ไล่ทุบกันทุกเรื่อง
แต่จะให้เอากันถึงตาย
หรือแบบแตกหักนั้น คงไม่ใช่ในเร็วๆนี้แน่
…มันก็จะตึงๆแบบนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละ …
สมัยสงครามเย็น
โซเวียตนั้นถือว่ามีกำลังต่อรองทางเศรษฐกิจ
ต่อสหรัฐ น้อยกว่าจีนปัจจุบันมามายหลายเท่า
แต่กระนั้น ก็ยังยื้อกันอยู่มากกว่าสามสิบปี
ถ้านับจากจุดพีคของสงครามเย็น ถึงการล่มสลายของโซเวียต
1
จีนแข็งแกร่งกว่าโซเวียตหลายเท่า ในทุกด้าน
ดังนั้นพวกเขาจะยื้อกับอเมริกาและค่ายตะวันตกไปอีกนาน
และผมไม่คิดว่า ในชั่วชีวิตของผม จะได้เห็นบทสรุป
ของการแข่งขันครั้งนี้ มันคงนานกว่ายุคสงครามเย็นมาก…
ก็ต้องอยู่กันไปแบบนี้ล่ะครับ ดูเขาชิงไหวชิงพรับกันก็สนุกดี
…มันก็คงได้แค่นั้น สำหรับคนในชาติเล็กๆอย่างเรา….
อ้อ! หากสหรัฐยอมลดภาษีจีนลงอีก 10% จริงๆ
อันนี้ไม่ดีกับสินค้าไทยแน่ครับ เพราะของเรายัง 19%
เหมือนเดิม ซึ่งหากสหรัฐลดให้จีนอีกรอบ หลายรายการ
จีนจะถูกเก็บน้อยกว่าสินค้าไทย
…อันนี้ ใกล้ตัว และน่าห่วงอยู่ครับ เพราะปกติก็สผู้สินค้าจีนไม่ไหวอยู่แล้ว นี่คือจะต้องเสียเปรียบเพิ่มอีก น่าจะแย่ครับ…
1
โฆษณา