3 พ.ย. เวลา 09:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🛰️ ดาวเทียมที่กำลังลุกไหม้ มลพิษล่องหน... ที่กำลังคุกคามโลกจากเบื้องบน

เมื่อพูดถึงคำว่า “มลพิษ” ภาพที่มักปรากฏในใจของผู้คนคือปล่องควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ท่อไอเสียรถยนต์ หรือแม้แต่ท่อน้ำเสียที่ไหลลงสู่ชายหาด แต่สิ่งที่แทบไม่มีใครนึกถึงคือ มีโซสเฟียร์ (Mesosphere) ซึ่งเป็นชั้นบรรยากาศที่อยู่สูงเกินกว่าที่เครื่องบินทุกลำจะบินไปถึง
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเตือนว่า พื้นที่สูงเสียดฟ้านี้อาจกำลังกลายเป็น แหล่งกำเนิดมลพิษรูปแบบใหม่ ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
ปัจจุบันมีดาวเทียมมากกว่า 15,000 ดวง โคจรรอบโลก และเกือบทั้งหมดมีชะตากรรมเดียวกันคือการ “ปลดวงโคจร” (De-orbit) หรือการถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ เมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น ดาวเทียมจะปลดปล่อยก๊าซโลหะ เขม่า และสารเคมีที่มีปฏิกิริยาสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการทำลาย ชั้นโอโซน ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีอันตรายของดวงอาทิตย์
เอลอยส์ มาเรส์ (Eloise Marais) นักเคมีบรรยากาศจาก University College London อธิบายว่า “มันเหมือนกับการทดลองทางวิศวกรรมภูมิอากาศ (Geoengineering) ขนาดย่อมๆ”
แม้ในปัจจุบันจะยังมีนักวิทยาศาสตร์เพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าปัญหานี้ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงแล้ว แต่ความกังวลคือ มันอาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เนื่องจากจำนวนดาวเทียมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิจัยทั่วโลกกำลังเร่งทำความเข้าใจว่า มลพิษรูปแบบใหม่นี้ประกอบด้วยอะไร ส่งผลกระทบอย่างไร และมนุษย์จะสามารถหาทางป้องกันหรือบรรเทาได้อย่างไร
🚀 ท้องฟ้าที่กำลังแออัดขึ้นทุกวัน
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา การออกแบบดาวเทียมได้ถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงและมีต้นทุนการปล่อยที่ถูกลงอย่างมาก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้คือการมาถึงของจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ (Reusable Rockets) ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศอย่างมหาศาล ผลลัพธ์คือการเกิดการปล่อยดาวเทียมจำนวนมหาศาล ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
หนึ่งในผู้นำของกระแสนี้คือ Starlink ซึ่งปัจจุบันมีดาวเทียมมากกว่า 8,000 ดวง ที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยส่วนใหญ่โคจรอยู่ในระดับ Low Earth Orbit (LEO) ที่ความสูงประมาณ 550 กิโลเมตร
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น Amazon กำลังพัฒนาโครงการ Project Kuiper ซึ่งปัจจุบันมีดาวเทียมราว 100 ดวง และได้รับอนุมัติให้ปล่อยรวมกว่า 3,000 ดวง ขณะเดียวกัน จีน ก็กำลังเดินหน้าโครงการ Guowang ที่ตั้งเป้าจะมีดาวเทียมมากถึง 13,000 ดวง
เมื่อรวมแผนการทั้งหมดเข้าด้วยกัน นักวิจัยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 วงโคจรระดับต่ำของโลกอาจมีดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีกถึง 70,000 ดวง ซึ่งจะทำให้พื้นที่รอบโลกแออัดยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
ปัญหาสำคัญคือ อายุการใช้งานของดาวเทียมเหล่านี้มักอยู่ที่เพียง 5 ปี เนื่องจากถูกออกแบบมาให้มีเชื้อเพลิงจำกัดสำหรับการรักษาวงโคจร อีกทั้งผู้ประกอบการยังต้องการอัปเกรดฝูงดาวเทียมด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการชนกันของดาวเทียมเก่า ผู้ให้บริการจึงเลือกที่จะบังคับให้ดาวเทียมหมดอายุพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อเผาไหม้
🔬 'ค็อกเทล' มลพิษที่เรากำลังปล่อย
แม้ในปัจจุบัน ปริมาณวัสดุจากการเผาไหม้ของดาวเทียมและชิ้นส่วนจรวดจะยังไม่ถือว่ามหาศาล แต่ข้อมูลจากองค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency) ระบุว่า ทุกวันมีดาวเทียมหรือชิ้นส่วนจรวดเก่าประมาณ 3 ชิ้นมอดไหม้ในชั้นบรรยากาศ ขณะที่ โจนาธาน แมคดาวล์ (Jonathan McDowell) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จาก Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics ประเมินว่าในแต่ละปีมีขยะอวกาศราว 900 ตัน กลายเป็นไอในชั้นบรรยากาศชั้นบน ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 5% ของมวลที่มาจากอุกกาบาตตามธรรมชาติ
แม้ตัวเลขนี้อาจดูไม่มากนัก แต่นักวิจัยกลับกังวลเกี่ยวกับ “ค็อกเทลของวัสดุสังเคราะห์” ที่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ของดาวเทียม
หนึ่งในข้อกังวลหลักคือ อะลูมิเนียม (Aluminium) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของน้ำหนักดาวเทียมโดยเฉลี่ย เมื่อถูกเผาในชั้นบรรยากาศ อะลูมิเนียมจะเปลี่ยนเป็น อะลูมิเนียมออกไซด์ (Aluminium Oxide หรือ Alumina) อนุภาคเหล่านี้มีคุณสมบัติทำปฏิกิริยากับ โอโซน (Ozone) ซึ่งเป็นก๊าซสำคัญที่ช่วยดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
นอกจากนี้ อะลูมินายังมีคุณสมบัติสะท้อนแสง ซึ่งอาจส่งผลต่ออุณหภูมิของชั้นบรรยากาศโดยตรง ปัจจุบันมีการประเมินว่า ละอองลอย (Aerosol) ในสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) ราว 10% มีส่วนประกอบของอะลูมิเนียมและโลหะอื่นๆ ที่มาจากการเผาไหม้ของดาวเทียมและจรวด
นอกจากอะลูมิเนียมแล้ว การปลดวงโคจรของดาวเทียมยังสร้าง เขม่าคาร์บอน (Black Carbon หรือ Soot) ซึ่งสามารถดูดซับแสงอาทิตย์และทำให้บรรยากาศร้อนขึ้น แม้อุตสาหกรรมบนพื้นโลกจะผลิตเขม่ามากกว่าหลายเท่า แต่เขม่าที่ถูกปล่อยในระดับความสูงของชั้นบรรยากาศกลับมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า เนื่องจากสามารถคงอยู่ได้นานหลายปีและสะสมตัวได้ง่าย
ดาวเทียมส่วนใหญ่เผาไหม้ในชั้น มีโซสเฟียร์ (Mesosphere) ที่ระดับความสูง 50–80 กิโลเมตร อนุภาคที่ถูกปล่อยออกมาที่นี่สามารถลอยหมุนเวียนอยู่ในระบบบรรยากาศเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะค่อยๆ ตกลงสู่ชั้นล่าง และเมื่อเคลื่อนผ่าน สตราโตสเฟียร์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของโอโซนส่วนใหญ่ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดการทำลายโอโซนเพิ่มเติม
เอลอยส์ มาเรส์ (Eloise Marais) นักเคมีบรรยากาศจาก University College London อธิบายว่า “ฝนสามารถชะล้างมลพิษในบรรยากาศชั้นล่างได้เร็ว แต่ในระดับสูงกลับเอื้อต่อการสะสมมากกว่า” งานวิจัยที่เธอและทีมตีพิมพ์ในปี 2022 ยังชี้ว่า เขม่าที่ถูกปล่อยออกมาจากจรวดในระดับความสูงดังกล่าว อาจทำให้โลกร้อนขึ้นมากกว่าเขม่าที่ปล่อยจากรถยนต์หรือเครื่องบินโดยสารถึง 500 เท่า
แม้บริษัทผู้ให้บริการดาวเทียมรายใหญ่ เช่น Starlink และ Amazon จะถูกสอบถามเกี่ยวกับปัญหามลพิษจากดาวเทียม แต่ยังไม่มีการตอบกลับหรือให้ความเห็นในประเด็นนี้
📈 สัญญาณอันตรายที่กำลังเร่งความเร็ว
คอเนอร์ บาร์เกอร์ (Conor Barker) นักวิจัยจาก University College London เปิดเผยว่า ข้อมูลการปล่อยมลพิษในภาคอวกาศก่อนปี 2020 แสดงให้เห็นว่า ระดับมลพิษโลหะและเขม่าในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6% แต่ข้อมูลล่าสุดกลับชี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวกำลังเติบโตเร็วขึ้นถึง 3 เท่า
“ทุกๆ ปี เราเห็นการปล่อยมลพิษเหล่านี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา การเติบโตนั้นสูงชันขึ้นเรื่อยๆ” บาร์เกอร์กล่าว
นักวิจัยหลายทีมจึงหันมาให้ความสนใจกับการสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อประเมินผลกระทบขนาดใหญ่ที่มลพิษจากดาวเทียมอาจมีต่อสภาพภูมิอากาศโลก เมื่อต้นปี 2025 ทีมวิจัยที่นำโดย คริสโตเฟอร์ มาโลนีย์ (Christopher Maloney) จาก University of Colorado Boulder ได้จำลองสถานการณ์หากมีดาวเทียมอายุสั้นในวงโคจรมากกว่า 60,000 ดวง ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในขอบเขตการคาดการณ์ปัจจุบัน
ผลการจำลองพบว่า ความเข้มข้นของอะลูมินา (Alumina) ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศอาจทำให้มีโซสเฟียร์ (Mesosphere) อุ่นขึ้นถึง 1.5°C และทำให้ความเร็วลมในระดับสูงของกระแสลมวนขั้วโลกซีกใต้ (Southern Hemisphere Polar Vortex) ลดลงถึง 10%
อย่างไรก็ตาม มาโลนีย์ย้ำว่าผลลัพธ์นี้ไม่ควรถูกตีความว่าเป็นการคาดการณ์ที่แน่นอน เนื่องจากยังไม่มีฉันทามติว่าวัสดุจากการเผาไหม้ของอะลูมิเนียมจะอยู่ในรูปแบบใด บางกรณีอาจเป็น อะลูมิเนียมมอนอกไซด์ หรือ อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งอาจมีอันตรายน้อยกว่าอะลูมินาที่ทำลายโอโซนโดยตรง แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ มลพิษจากดาวเทียมมีศักยภาพที่จะส่งผลกระทบต่อพลวัตของชั้นบรรยากาศของโลก
🔬 ถอดรหัสการเผาไหม้ในอุโมงค์ลมพลาสมา
สเตฟาน เลอเลอ (Stefan Löhle) หัวหน้าห้องปฏิบัติการอุโมงค์ลมพลาสมาที่ University of Stuttgart ประเทศเยอรมนี เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่อุทิศตนเพื่อทำความเข้าใจการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของวัตถุอวกาศ ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา เขาและทีมงานได้ใช้อุโมงค์ลมพลาสมาเพื่อทดสอบความทนทานของยานอวกาศ แต่เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาได้หันความสนใจไปยังดาวเทียมที่ถูกออกแบบมาเพื่อ “การสลายตัวอันร้อนแรง” โดยเฉพาะ
ทีมวิจัยใช้อุโมงค์ลมยาว 5 เมตร เพื่อจำลองสภาวะการเผาไหม้ของดาวเทียมที่ระดับความสูง 60–80 กิโลเมตร โดยการหลอมชิ้นส่วนอะลูมิเนียมในกระแสพลาสมา จากนั้นจึงเปรียบเทียบแสงที่ปล่อยออกมากับข้อมูลสเปกโทรสโกปีจากการแตกตัวของดาวเทียมจริง และปรับแต่งสภาวะในอุโมงค์ลมจนกว่าสเปกตรัมที่ได้จะตรงกับของจริง ก่อนจะทำการวิเคราะห์เชิงลึก
เลอเลออธิบายว่า การแตกสลายของดาวเทียมเริ่มต้นที่ระดับความสูงประมาณ 120 กิโลเมตร และสมบูรณ์ที่ราว 50 กิโลเมตร “โครงสร้างอะลูมิเนียมจะหลอมเหลวและก่อตัวเป็นหยดเล็กๆ แต่ไม่ใช่ทุกหยดที่จะระเหยกลายเป็นอะลูมิเนียมออกไซด์อย่างสมบูรณ์” เขากล่าว “บางส่วนอาจควบแน่นกลายเป็นอนุภาคของแข็งขนาดนาโนเมตรหรือไมโครเมตร และค่อยๆ ล่องลอยลงสู่พื้นโลกโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย”
เป้าหมายหลักของงานวิจัยนี้คือการทำความเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของอนุภาคที่เกิดจากการสลายตัวของดาวเทียม ทั้งในด้านรูปร่าง ขนาด และปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นกับชั้นบรรยากาศ เพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของโลกในอนาคต
💡 ทางออกคืออะไร? เศรษฐกิจหมุนเวียนในอวกาศ
งานวิจัยของ สเตฟาน เลอเลอ ชี้ให้เห็นว่า การจัดการเส้นทางการปลดวงโคจรของดาวเทียมอาจเป็นกุญแจสำคัญในการลดมลพิษในชั้นบรรยากาศ ในทางหลักการ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิถีโคจรในช่วงที่ดาวเทียมกลับเข้าสู่โลก ก็สามารถเปลี่ยนแรงต้านอากาศและลักษณะการเผาไหม้ได้ ซึ่งอาจช่วยลดปริมาณและชนิดของวัสดุที่ถูกปล่อยออกมา
มินควาน คิม (Minkwan Kim) ผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศยานจาก University of Southampton อธิบายว่า การกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในมุมตื้น (Shallow Re-entries) อาจช่วยลดการก่อตัวของโลหะออกไซด์ และเพิ่มการผลิตไอโลหะและละอองลอยแทน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็มีข้อเสีย เพราะอาจเพิ่มการสร้างไนโตรเจนออกไซด์ (Nitrogen Oxides) ซึ่งเป็นสารที่ทำลายชั้นโอโซนเช่นกัน
นอกจากการปรับวิถีโคจรแล้ว ยังมีแนวคิดใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้น หนึ่งในนั้นคือ ดาวเทียมที่โคจรในระดับต่ำมาก และขับเคลื่อนด้วยระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่หายใจเอาบรรยากาศเข้าไป (Atmosphere-breathing Electric Propulsion) แม้จะยังอยู่ในขั้นออกแบบ แต่ในทางทฤษฎี ดาวเทียมประเภทนี้สามารถลอยอยู่ในวงโคจรได้ยาวนาน โดยใช้ก๊าซในชั้นบรรยากาศเป็นพลังงาน ซึ่งหมายความว่าจะมีการปลดวงโคจรและการเผาไหม้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางส่วนมองว่ามนุษยชาติอาจต้องก้าวไปไกลกว่านั้น ด้วยการเปลี่ยนจากโมเดลดาวเทียมแบบใช้แล้วทิ้ง ไปสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียนในอวกาศ (Circular Economy in Space) แนวคิดนี้เน้นให้ดาวเทียมสามารถได้รับการซ่อมบำรุง อัปเกรด เติมเชื้อเพลิง และแม้กระทั่งรีไซเคิลได้ในวงโคจร ปัจจุบัน องค์การอวกาศยุโรป (ESA) กำลังพัฒนาโครงการ RISE เพื่อสาธิตความสามารถในการเทียบท่าและควบคุมวงโคจรของดาวเทียมในอนาคต
แม้มลพิษจากดาวเทียมยังไม่ถูกจัดว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงในตอนนี้ แต่เลอเลอเตือนว่า การผลักปัญหาไปไว้ข้างหน้าไม่ใช่ทางออก “มันเหมือนกับว่าทุกคนบอกว่า ‘ค่อยมาคิดทีหลัง’ แต่ความจริงคือ ‘ทีหลัง’ ก็คือ ‘ตอนนี้’ แล้ว” เขากล่าว พร้อมย้ำว่า วัสดุที่ถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอาจส่งผลกระทบสำคัญต่อโลก แต่ในปัจจุบันมนุษย์ยังเข้าใจกลไกการแตกตัวของดาวเทียมไม่เพียงพอ
🏡 ประเทศไทยกับความยั่งยืนของเทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียม
แม้ประเด็นเรื่องมลพิษจากอวกาศอาจดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วประเทศไทยมีความเกี่ยวข้องโดยตรง เนื่องจากเป็นหนึ่งในผู้ใช้เทคโนโลยีอวกาศและดาวเทียมอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ดาวเทียมสื่อสาร ที่ใช้สำหรับการรับชมโทรทัศน์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (เช่น ไทยคม), ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร (เช่น THEOS) หรือแม้แต่ระบบ GPS ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการนำทางในชีวิตประจำวัน
สังคมไทยพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างมาก การที่ชั้นบรรยากาศโลกเสียหาย หรือ ชั้นโอโซนถูกทำลาย ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโลกโดยรวม ซึ่งอาจทำให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติในประเทศไทยรุนแรงและแปรปรวนมากขึ้น แต่ยังอาจหมายถึงต้นทุนการใช้เทคโนโลยีอวกาศที่สูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากปัญหาขยะอวกาศและการปนเปื้อนในวงโคจร
ดังนั้น แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ผู้ปล่อยดาวเทียมรายใหญ่ที่สุด แต่ก็ถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงในความยั่งยืนของอวกาศ เพราะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในวงโคจรและชั้นบรรยากาศย่อมสะท้อนกลับมาสู่การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ ภัยคุกคามใหม่: การ "ปลดวงโคจร" ดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (คาดว่าจะมีอีก 70,000 ดวงภายในปี 2030) กำลังปล่อย "ค็อกเทล" มลพิษ (เช่น อะลูมินา, เขม่า) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบน
✅ อันตรายกว่าบนพื้นดิน: มลพิษเหล่านี้ถูกปล่อยในชั้นมีโซสเฟียร์ (50-80 กม.) ทำให้สามารถคงอยู่ได้นานหลายปี และค่อยๆ กรองตัวลงมาทำลายชั้นโอโซนในสตราโตสเฟียร์ เขม่าในระดับความสูงนี้อาจทำให้โลกร้อนขึ้นมากกว่าเขม่าจากรถยนต์ถึง 500 เท่า
✅ สัญญาณเร่งตัว: อัตราการปล่อยมลพิษนี้เพิ่มขึ้นเร็วกว่า 3 เท่าตั้งแต่ปี 2020 และแบบจำลองคาดการณ์ว่าอาจทำให้ชั้นบรรยากาศอุ่นขึ้นและรบกวนกระแสลมขั้วโลก
✅ ความไม่แน่นอน: นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจ 100% ว่าการเผาไหม้สร้างสารประกอบอะไรบ้าง (เช่น อะลูมินา หรือรูปแบบอื่น) และกำลังเร่งวิจัยในอุโมงค์ลมพลาสมาเพื่อทำความเข้าใจ
✅ ทางออก: แนวทางแก้ปัญหาระยะยาวอาจรวมถึงการเปลี่ยนวิถีการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ, การใช้ดาวเทียมที่ "หายใจ" ในอากาศได้ หรือการสร้าง "เศรษฐกิจหมุนเวียน" เพื่อซ่อมแซมและรีไซเคิลดาวเทียมในอวกาศ
💬 ชวนคิดชวนคุย
เมื่อรู้ว่าความสะดวกสบายจากอินเทอร์เน็ตดาวเทียมความเร็วสูง อาจต้องแลกมากับมลพิษรูปแบบใหม่ที่มองไม่เห็นในชั้นบรรยากาศ คุณคิดว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ควรมีความรับผิดชอบต่อปัญหานี้อย่างไรบ้างครับ?
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Barker, C. (2024). Why satellite space junk may be bad news for the environment. University College London.
2. Kim, M. (2025). Investigating the ablation of hypersonic re-entry object and its global climate effect. University of Southampton.
3. Löhle, S. (2017). xperimental Simulation of Meteorite Ablation during Earth Entry using a Plasma Wind Tunnel. The Astrophysical Journal.
4. Maloney, C., et al. (2025). How to save a satellite: Student team races the clock to study a hazardous region of space. University of Colorado Boulder.
5. Marais, E. (2025). Thousands of Falling Satellites Put the Atmosphere at Risk. University College London.
6. McDowell, J. (2025). Jonathan's Space Report No. 850. Harvard–Smithsonian Center for Astrophysics.
7. Plane, J. (2023). Vaporised spacecraft linked to metals in atmosphere. University of Leeds.
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา