5 พ.ย. เวลา 09:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

📜 โรคระบาด 5,000 ปีที่แล้ว จุดกำเนิดที่แท้จริงของมนุษยชาติยุคใหม่?

นักประวัติศาสตร์โรคระบาดกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อการตรวจสอบ DNA ของมนุษย์โบราณ โดยนักพันธุศาสตร์เผยให้เห็นร่องรอยของแบคทีเรีย Yersinia pestis ต้นเหตุของกาฬโรค การค้นพบนี้ชี้ว่าโรคร้ายแรงดังกล่าวเคยแพร่ระบาดและทำลายล้างยูเรเซียมาแล้วเมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน
สิ่งที่น่าตกใจก็คือ การแพร่ระบาดครั้งนี้เกิดขึ้นเกือบ 3,500 ปีก่อน “กาฬโรคครั้งแรก” ที่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ในชื่อ กาฬโรคจัสติเนียน (Justinian Plague) การค้นพบใหม่นี้จึงถูกเรียกว่า “กาฬโรคยุคหินใหม่ตอนปลาย-ยุคสำริด” (Late Neolithic-Bronze Age plague หรือ LNBA plague) แม้ชื่อจะยาวและซับซ้อน แต่นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นตรงกันว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ชื่อเรียก หากแต่อยู่ที่ผลกระทบต่อความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
การค้นพบโดยบังเอิญครั้งนี้ได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ท้าทายแนวคิดดั้งเดิม เกี่ยวกับ “เวลาและสาเหตุ” ของการเกิดโรคติดต่อร้ายแรงในมนุษย์ ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อเราในปัจจุบัน มันไม่เพียงเปลี่ยนมุมมองต่อจุดเริ่มต้นของกาฬโรค แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของวิวัฒนาการโรคระบาดที่มนุษย์ต้องเผชิญมาตลอดหลายพันปี
📜 เปลี่ยนตำราประวัติศาสตร์โรค
นักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อกันว่า โรคจากสัตว์สู่คน (Zoonotic diseases) หรือโรคที่เริ่มต้นในสัตว์ก่อนจะข้ามสายพันธุ์มาสู่มนุษย์ เกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์คิดค้นการเกษตรกรรมเมื่อราว 12,000 ปีก่อน แต่การศึกษาทางพันธุศาสตร์สมัยใหม่ที่สามารถมองย้อนกลับไปได้ไกลกว่าเดิม กลับเผยให้เห็นความจริงที่ต่างออกไป
หลักฐานใหม่ชี้ว่า การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโรคจากสัตว์สู่คนเกิดขึ้น ช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก โดยมีการระบาดครั้งสำคัญในยุโรปเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน การค้นพบนี้ไม่เพียงพลิกความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโรค แต่ยังบังคับให้นักประวัติศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ต้องทบทวนคำถามสำคัญในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่น
  • โรคเหล่านี้แพร่กระจายได้อย่างไรในสังคมโบราณ
  • เชื้อโรคมีผลกระทบต่อมนุษย์ในลักษณะเดียวกับปัจจุบันหรือไม่
  • เป็นไปได้หรือไม่ว่า กาฬโรค (Plague) เองคือปัจจัยที่ผลักดันให้มนุษย์ก้าวเข้าสู่ ยุคสำริด (Bronze Age) และวางรากฐานให้กับการก่อร่างอารยธรรมยุโรป
เมแกน มิเชล (Megan Michel) นักพันธุศาสตร์โบราณจาก Harvard University กล่าวถึงการค้นพบนี้ว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก เมื่อสิบปีก่อน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากาฬโรคยุคนั้นมีอยู่จริง”
🦷 ห้องปฏิบัติการในฟัน: การค้นพบของทีมโคเปนเฮเกน
ความพยายามในการสร้างภาพภูมิทัศน์ของโรคในอดีต เป็นโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่อาศัยความร่วมมือจากหลายสถาบัน โดยมีทีมจาก University of Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก เป็นผู้นำ จุดเริ่มต้นของงานนี้เกิดขึ้นเมื่อราว 15 ปีก่อน หลังจากนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ DNA ของจุลินทรีย์ในซากมนุษย์โบราณโดยไม่คาดคิด การค้นพบครั้งนั้นได้เปิดประตูสู่การคัดกรองเชื้อโรคที่เคยแพร่ระบาดในอดีตอย่างเป็นระบบ
เมื่อทีมวิจัยสามารถเชื่อมโยงข้อมูลการหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี (Radiocarbon Dating) เข้ากับข้อมูลความสัมพันธ์ของผู้คนในสุสานยุคก่อนประวัติศาสตร์ พวกเขาก็เริ่มสร้างภาพบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่โรคเหล่านี้แพร่กระจาย อีกทั้งยังสามารถติดตามวิวัฒนาการของเชื้อโรคและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์ได้อย่างละเอียด
แนวทางนี้นำไปสู่การค้นพบครั้งสำคัญอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิด ไทฟอยด์, ไวรัสตับอักเสบบี, ซิฟิลิส และไข้ทรพิษในประชากรมนุษย์ยุคประวัติศาสตร์ และล่าสุดในเดือนกรกฎาคมปี 2025 ได้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่นำโดย มาร์ติน ซิโคร่า (Martin Sikora) นักพันธุศาสตร์ประชากรชื่อดัง
ทีมของซิโคร่าได้ทำการวิเคราะห์ซากมนุษย์กว่า 1,300 ตัวอย่าง ครอบคลุมช่วงเวลากว่า 35,000 ปีในยูเรเซีย โดยใช้ DNA ที่เก็บจากฟัน ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากฟันมีเลือดหล่อเลี้ยงในขณะที่เจ้าของยังมีชีวิต ทำให้สามารถเก็บรักษาร่องรอยเชื้อโรคที่เข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างดี
ผลการวิเคราะห์เผยให้เห็นเชื้อโรคหลายชนิด ทั้ง Yersinia pestis ต้นเหตุของกาฬโรค, แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคเรื้อน (Leprosy), และเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคฉี่หนู (Leptospirosis) แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เกือบ 3% ของตัวอย่างมีผลบวกต่อเชื้อ Borrelia recurrentis ต้นเหตุของ โรคไข้กลับซ้ำ (Relapsing Fever) ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดของโรคไลม์ (Lyme Disease) ที่พบได้ยากในปัจจุบัน โรคนี้มีอาการเด่นคือ ไข้ที่กลับมาเป็นซ้ำๆ และอาการปวดศีรษะรุนแรง
🐴 ผู้ต้องสงสัย: การอพยพของชนเผ่านักรบยามานายา
การวิเคราะห์ DNA โบราณเผยให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโรคในมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ นักวิจัยพบว่า จนถึงราว 6,500 ปีก่อน จุลินทรีย์ส่วนใหญ่ที่ตรวจพบในฟันของชาวยูเรเซียยังคงเป็นเพียงจุลินทรีย์ในช่องปาก (oral microbiome) ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เชื้อโรคจากสัตว์สู่คนกลุ่มแรก รวมถึง กาฬโรค (Yersinia pestis) เริ่มปรากฏขึ้น แม้ในช่วงแรกจะยังอยู่ในระดับต่ำมากก็ตาม
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่พบการพุ่งสูงของการติดเชื้อจาก Y. pestis และเชื้อโรคสำคัญอื่นๆ ที่แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคยูเรเซีย
สิ่งที่น่าสนใจคือ ช่วงเวลานี้ตรงกับการอพยพของกลุ่มชนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนที่รู้จักกันในชื่อ ยามานายา (Yamnaya) จากทุ่งหญ้าสเตปป์ (Eurasian Steppe) เข้าสู่ยุโรป พวกเขานำมาซึ่ง ภาษาใหม่ วัฒนธรรมใหม่ และอาจรวมถึงโรคติดเชื้อใหม่ๆ ด้วย นักวิจัยหลายคนเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
กลุ่มยามานายามีภาระโรคติดเชื้อสูงผิดปกติ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของพวกเขา พวกเขาเลี้ยงฝูงสัตว์ขนาดใหญ่ ทั้งแกะ แพะ ม้า และวัว และใช้ชีวิตใกล้ชิดกับสัตว์ตลอด 24 ชั่วโมง อาหารหลักของพวกเขาคือเนื้อและนม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากสัตว์โดยตรง
แอสทริด อิเวอร์เซน (Astrid Iversen) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจาก University of Oxford อธิบายว่า “โรคจากสัตว์สู่คนจำนวนมากสามารถแพร่เชื้อผ่านเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก และยังแพร่ผ่านนมได้ด้วย เช่น โรคบรูเซลโลซิส (Brucellosis), ลิสเทอริโอซิส (Listeriosis) และ วัณโรคในวัว (Bovine Tuberculosis)”
🔬 หลักฐานมัดตัว: เสื้อขนสัตว์และเหา
งานวิจัยล่าสุดได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับข้อสันนิษฐานเรื่องการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อในยุคโบราณ โดยหนึ่งในผลงานสำคัญมาจาก พูจา สวาลี (Pooja Swali) นักพันธุศาสตร์บราณจาก University College London เธอได้ติดตามวิวัฒนาการของจีโนมแบคทีเรียก่อกาฬโรค และแสดงให้เห็นว่าเชื้อกาฬโรคอายุ 4,000 ปีในอังกฤษ (ซึ่งเคยเป็นตัวอย่างเก่าแก่ที่สุดที่รู้จักเมื่อค้นพบในปี 2023)
มีความเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ที่ถูกนำออกมาจาก ทุ่งหญ้าสเตปป์ (Eurasian Steppe) ก่อนหน้านั้น (Swali, 2023) การค้นพบนี้ทำให้สามารถมองเห็นเส้นทางการเคลื่อนตัวของโรคจากตะวันออกสู่ตะวันตกได้อย่างชัดเจน
นอกจากกาฬโรคแล้ว สวาลียังได้ศึกษาการปรับตัวของเชื้อ Borrelia recurrentis ต้นเหตุของโรคไข้กลับซ้ำ โดยรายงานเมื่อต้นปี 2025 ว่า เชื้อนี้ได้ปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์เมื่อราว 5,000 ปีก่อน เดิมทีแบคทีเรียชนิดนี้แพร่เชื้อในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดผ่าน เห็บ (tick) แต่ต่อมาได้เปลี่ยนพาหะไปเป็นเหาบนร่างกายมนุษย์ (human body louse)
สวาลีเสนอสมมติฐานว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกี่ยวข้องกับการใช้เสื้อผ้าขนสัตว์ (wool clothing) ซึ่งเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่กลุ่มชนเร่ร่อนจากสเตปป์นำเข้าสู่ยุโรปในยุคนั้น การหดตัวของจีโนม B. recurrentis อย่างมหาศาลในช่วงเวลาเดียวกัน อาจสะท้อนถึงการปรับตัวเข้ากับโฮสต์ใหม่ที่อาศัยอยู่ในเสื้อผ้าขนสัตว์ เธอกล่าวว่า “บางทีการลดลงของจีโนมนี้อาจหมายความว่ามัน ‘ติด’ อยู่ในเหาไปเลย”
ในอีกด้านหนึ่ง นักวิจัยชาวฝรั่งเศสได้แสดงให้เห็นว่าระบบภูมิคุ้มกันของชาวยุโรปเริ่มปรับตัวต่อโรคติดเชื้อเหล่านี้เมื่อราว 6,000 ปีก่อน โดยพบว่าการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่ปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 4,500 ปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานทางพันธุกรรมและการแพร่โรคที่ค้นพบ “ชิ้นส่วนทั้งหมดนี้เข้ากันได้อย่างสวยงาม” ซิโคร่ากล่าว
🧩 ปริศนาที่ยังไม่เข้าพวก
แม้งานวิจัยจำนวนมากจะชี้ว่าการแพร่ระบาดของกาฬโรคในยุโรปเชื่อมโยงกับการอพยพของชนเผ่าเร่ร่อน ยามานายา จากทุ่งหญ้าสเตปป์ แต่หลักฐานบางชิ้นกลับไม่สอดคล้องกับสมมติฐานนี้
ในบทความเดือนกรกฎาคม ซิโคร่า รายงานการค้นพบผู้ติดเชื้อกาฬโรค 2 รายใน ออร์กนีย์ (Orkney) ทางตอนเหนือของสกอตแลนด์ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการมาถึงของผู้คนที่มีบรรพบุรุษจากสเตปป์ในอังกฤษอย่างน้อย 500 ปี
ไม่เพียงเท่านั้น ผลงานของ เฟรเดอริก เซียร์สโฮล์ม (Frederik Seersholm) จากกลุ่มโคเปนเฮเกนยังบรรยายถึงการระบาดของกาฬโรค 3 ครั้ง ในกลุ่มเกษตรกรยุคหินใหม่ของสวีเดนเมื่อราว 5,000 ปีก่อน โดยเกษตรกรเหล่านี้ไม่มีบรรพบุรุษจากสเตปป์เลยแม้แต่น้อย
ล่าสุด การศึกษาใหม่โดย เซียร์สโฮล์ม และ รัวริดห์ แมคลีโอด (Ruairidh Macleod) แห่ง UCL (ซึ่งยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ) ได้เปิดเผยกรณีของกาฬโรคที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่เคยบันทึกไว้ คือเมื่อราว 3,500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งคร่าชีวิตเหล่านักล่าสัตว์-เก็บของป่าใกล้ทะเลสาบไบคาลในไซบีเรีย
หลักฐานเหล่านี้ทำให้นักวิจัยจำนวนมากเชื่อว่า กาฬโรคได้แพร่กระจายไปทั่วในเชิงภูมิศาสตร์ ก่อนการมาถึงของยามานายา หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับการสนับสนุนคือ เชื้อกาฬโรคยุคหินใหม่ตอนปลาย–ยุคสำริด (LNBA plague) อาจตั้งหลักอยู่ใน “เมืองขนาดใหญ่” (mega-settlements) ของ วัฒนธรรมทรีพิลเลีย (Trypillia culture) ในยูเครนปัจจุบัน ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อราว 6,000 ปีก่อน และแพร่กระจายออกไปตามเครือข่ายการค้า
💨 กาฬโรคที่ไม่มีหมัด: มันแพร่กระจายได้อย่างไร?
คำถามสำคัญที่นักวิจัยยังคงถกเถียงคือ “กาฬโรคในยุคโบราณมีลักษณะอย่างไร” แม้จะไม่ชัดเจนทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ มันสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้จริง อย่างไรก็ตามซิโคร่าเตือนว่า ยังไม่อาจสรุปได้ว่ามันแพร่เชื้อได้รุนแรงเทียบเท่ากับ กาฬมรณะ (Black Death) ในศตวรรษที่ 14 หรือไม่
การวิเคราะห์จีโนมของกาฬโรคโบราณเมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ในยุคหลังเผยให้เห็นว่า สายพันธุ์ LNBA ขาดการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่ช่วยให้แบคทีเรียอยู่รอดในกระเพาะของหมัดได้ ซึ่งแตกต่างจากสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดกาฬมรณะในยุคกลาง นักวิจัยจึงสรุปว่ากาฬโรคโบราณอาจไม่ได้แพร่เชื้อผ่านการถูกหมัดกัดเหมือนในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้อีกหลายทางที่โรคนี้จะแพร่กระจายได้ นักวิจัยอย่าง แมคลีโอด และ เซียร์สโฮล์ม ชี้ว่า กาฬโรคโบราณอาจแพร่ทางอากาศ (airborne) ผ่านการไอหรือการสัมผัสละอองฝอย แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันแพร่จากคนสู่คนโดยตรง อีกสมมติฐานหนึ่งคือ การระบาดอาจเกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อและปรุงไม่สุก ทำให้การแพร่เชื้อแต่ละครั้งเป็นเพียงการติดต่อจากสัตว์สู่คนที่จบลงอย่างรวดเร็ว
สวาลี กล่าวเสริมว่า “สิ่งที่ยังขาดหายไปคือชิ้นส่วนปริศนาขนาดใหญ่—นั่นคือสัตว์” ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจเส้นทางการแพร่ของโรคในยุคโบราณ
🧬 มรดกที่มองไม่เห็น: จากโรคระบาดสูโรคภูมิแพ้
หนึ่งในคำถามที่นักวิชาการยังคงถกเถียงกันอย่างเข้มข้นคือ กาฬโรค (Plague) มีบทบาทสำคัญต่อ “การล่มสลายของยุคหินใหม่” (Neolithic Decline) หรือไม่ เหตุการณ์นี้คือการลดลงอย่างมากของประชากรในยูเรเซียตะวันตก หากกาฬโรคเป็นสาเหตุจริง ก็อาจถือได้ว่าเป็นตัวเร่งที่ปูทางเข้าสู่ ยุคสำริด (Bronze Age) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม สังคมเริ่มมีลำดับชั้นที่ชัดเจนขึ้น และเน้นการทำสงครามมากขึ้น (รูปแบบที่สอดคล้องกับการมาถึงของชนเผ่าเร่ร่อนจากทุ่งหญ้าสเตปป์)
เกษตรกรยุคหินใหม่อาศัยอยู่ในชุมชนที่หนาแน่นและถาวร ซึ่งเอื้อต่อการแพร่ระบาดของโรค แต่ สตีเฟน เชนแนน (Stephen Shennan) นักโบราณคดีจาก UCL แสดงความกังขา เขาเสนอว่าการล่มสลายเริ่มต้นขึ้นราว 7,000 ปีก่อน หรือประมาณ 500 ปีก่อนที่โรคจากสัตว์สู่คนกลุ่มแรกจะปรากฏในยุโรป โดยมองว่าต้นตอของปัญหาคือ วิกฤตการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่เย็นลง
แม้กาฬโรคยุคหินใหม่ตอนปลาย–ยุคสำริด อาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของการล่มสลาย แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่ามัน ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง โดยเฉพาะหลังจากการอพยพของชาวยามานายาเข้าสู่ยุโรป
นอกจากนี้ กาฬโรคยังไม่ใช่โรคเดียวที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์โบราณ อีวาน เออร์วิง-พีส (Evan Irving-Pease) ผู้ร่วมเขียนบทความกับซิโคร่า ระบุว่า “ประมาณ 10% ของซากศพที่ทดสอบมีหลักฐานเป็นผลบวกของการติดเชื้อร้ายแรงในขณะที่เสียชีวิต” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันทางวิวัฒนาการที่มหาศาลต่อประชากรในยุคนั้น
นักวิจัยหลายคนเชื่อว่า การกลายพันธุ์ของยีนที่ช่วยปกป้องบรรพบุรุษจากโรคติดเชื้อในอดีต ได้ทิ้งร่องรอยมาถึงปัจจุบัน แต่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาดและถูกสุขอนามัยมากขึ้น กลับทำให้ยีนเหล่านี้กลายเป็น ปัจจัยเสี่ยงของโรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune Diseases) เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis – MS)
เมื่อปี 2024 เออร์วิง-พีส และ วิลเลียม แบร์รี (William Barrie) รายงานว่า ปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมที่สำคัญของโรค MS มีความสัมพันธ์กับการมีบรรพบุรุษจากสเตปป์ โดยพบอัตราสูงที่สุดในยุโรปตอนเหนือ และต่ำที่สุดในยุโรปตอนใต้
🥛 ความจริงเรื่องนม: เราดื่มนมได้อย่างไร?
หนึ่งในข้อค้นพบที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับชนเผ่าเร่ร่อน ยามานายา คือ พวกเขาเองก็มีภาวะแพ้แลคโตส (Lactose Intolerance) เช่นเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมดิบได้โดยตรง จึงมีแนวโน้มว่าพวกเขาบริโภคนมในรูปแบบที่ผ่านการหมัก เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ หรือชีส โดยอาศัยแบคทีเรียช่วยย่อยแลคโตสแทน โดยที่พวกเขาอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น ชาวยามานายาไม่ได้เป็นผู้ที่นำยีนการย่อยแลคโตส (Lactase Persistence Gene) มาสู่ชาวยุโรปอย่างที่เคยเข้าใจกัน แต่การวิจัยทางพันธุกรรมกลับชี้ว่า การกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้มนุษย์สามารถดื่มนมดิบได้ เกิดขึ้นและแพร่กระจายภายหลัง โดยมีปัจจัยสำคัญคือ การระบาดของโรคและความอดอยาก ที่บังคับให้เกษตรกรยุคหินใหม่ต้องหันมาพึ่งพานมดิบเพื่อความอยู่รอด
🏡 บทเรียนจากอดีต: โรคระบาดโบราณกับอนาคตของสาธารณสุขไทย
การทำความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างชีววิทยาและวัฒนธรรมในอดีต ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ห่างไกล แต่ยังมีความหมายอย่างยิ่งต่ออนาคตของมนุษยชาติ รวมถึงประเทศไทยในปัจจุบัน งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า สามในสี่ของโรคอุบัติใหม่ในมนุษย์ (Emerging Human Diseases) เป็น โรคจากสัตว์สู่คน (Zoonoses) ซึ่งรวมถึงโรคระบาดใหญ่ในศตวรรษที่ 21 อย่าง COVID-19
สำหรับสังคมไทย คำถามสำคัญคือ เราควรปรับตัวอย่างไรในชีวิตประจำวัน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้
• ตระหนักถึงความเสี่ยง: ประเทศไทยมีทั้งฟาร์มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และตลาดค้าสัตว์ที่หลากหลาย ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มโอกาสของการ “กระโดดข้ามสายพันธุ์” ของเชื้อโรคจากสัตว์สู่คน
• สุขอนามัยคือหัวใจ: บทเรียนจากเมื่อ 5,000 ปีก่อนยังคงใช้ได้ การปรุงอาหารให้สุก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และนม รวมถึงการรักษาสุขอนามัยเมื่อสัมผัสสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ในฟาร์ม คือแนวป้องกันด่านแรกที่สำคัญที่สุด
• รักษาระยะห่างที่เหมาะสม: ชุมชนหนาแน่นของเกษตรกรยุคหินใหม่ และการอยู่ใกล้ชิดกับฝูงสัตว์ของชาวยามานายา เป็นตัวเร่งการแพร่โรค การเรียนรู้จากอดีตช่วยให้เข้าใจความสำคัญของการจัดการฟาร์มอย่างยั่งยืน การไม่ทำลายป่า (ซึ่งบังคับให้สัตว์ป่าเข้ามาใกล้มนุษย์) และการควบคุมความหนาแน่นของเมือง
การคลี่คลายบทเรียนจากโรคระบาดในอดีต ทำให้เห็นชัดว่าโรคติดต่อไม่เพียงหล่อหลอมวิวัฒนาการของมนุษย์ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการคาดการณ์อนาคต ความเข้าใจนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถใช้เครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาแทรกแซงได้อย่างทันท่วงที และลดความเสี่ยงจากโรคอุบัติใหม่ในอนาคต
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ พลิกตำรา: กาฬโรค (Y. pestis) ถือกำเนิดเร็วกว่าที่คิด 5,000 ปี และการระบาดใหญ่ของโรคจากสัตว์สู่คน (Zoonoses) ไม่ได้เริ่มในยุคเกษตรกรรม (12,000 ปีก่อน) แต่เพิ่งมา "พุ่งสูง" เมื่อ 5,000 ปีก่อน
✅ ผู้ต้องสงสัย: การระบาดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการอพยพของ "ชาวยามานายา" จากทุ่งหญ้าสเตปป์ ซึ่งนำวิถีชีวิตแบบใหม่ (การเลี้ยงปศุสัตว์ฝูงใหญ่, การใช้เสื้อผ้าขนสัตว์) ที่เอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรค (เช่น เหา)
✅ กาฬโรคเวอร์ชันโบราณ: กาฬโรคยุค LNBA "ไม่มี" ยีนที่ทำให้มันแพร่เชื้อผ่านหมัดได้ (ไม่เหมือนยุคกาฬมรณะ) คาดว่าอาจแพร่ทางอากาศ (ไอ) หรือจากการกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อ
✅ มรดกในยีนของเรา: แรงกดดันทางวิวัฒนาการจากโรคระบาดโบราณเหล่านี้ ได้คัดเลือกยีนที่ช่วยให้บรรพบุรุษของเรารอดชีวิต แต่ยีนเดียวกันนั้นกลับทำให้ลูกหลานในยุคปัจจุบัน (เช่นเรา) มีความเสี่ยงต่อโรคภูมิต้านตนเองอย่าง MS (Multiple Sclerosis) สูงขึ้น
✅ จุดหักมุมเรื่องนม: ชาวยามานายาเองก็ "แพ้แลคโตส" พวกเขาไม่ได้นำยีนย่อยนมมาให้เรา แต่ยีนนี้อาจวิวัฒนาการขึ้นในหมู่เกษตรกรในยุคที่เกิดโรคระบาดและความอดอยาก ซึ่งบีบให้พวกเขาต้องดื่มนมดิบเพื่อเอาชีวิตรอด
💬 ชวนคิดชวนคุย
การค้นพบว่าโรคระบาดในอดีตส่งผลต่อวิวัฒนาการยีนของเรา จนทำให้เราเสี่ยงต่อโรคภูมิต้านตนเองในปัจจุบัน ทำให้คุณมองความสัมพันธ์ระหว่าง "โรค" กับ "ร่างกายมนุษย์" เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างครับ?
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Sikora, M., et al. (2025). The spatiotemporal distribution of human pathogens in ancient Eurasia. Nature.
2. Swali, P. (2023). Yersinia pestis genomes reveal plague in Britain 4000 years ago. Nature.
3. Swali, P. (2025). Ancient Borrelia genomes document the evolutionary history of louse-borne relapsing fever. Science.
4. Seersholm, F. (2024). Repeated plague infections across six generations of Neolithic Farmers. Nature.
5. Rascovan, N. (2019). Emergence and Spread of Basal Lineages of Yersinia pestis during the Neolithic Decline. Cell.
6. Cortell-Nicolau, A. (2025). Demographic interactions between the last hunter-gatherers and the first farmers. Proceedings of the National Academy of Sciences.
7. Irving-Pease, E., Barrie, W., et al. (2024). Elevated genetic risk for multiple sclerosis emerged in steppe pastoralist populations. Nature.
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา