7 พ.ย. เวลา 09:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🌌 ไม่มีอนุภาค ไม่มีอวกาศ ไม่มีเวลา วิสัยทัศน์ใหม่สุดขั้ว ที่อาจเป็น 'ความจริง' ของจักรวาล

หลายคนชี้ว่าจุดเริ่มต้นของกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum Mechanics) เกิดขึ้นบนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า เฮลโกแลนด์ (Helgoland) เกาะที่แทบไม่มีต้นไม้และดูเงียบสงบ แต่กลับกลายเป็นสถานที่ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ไปตลอดกาล ในฤดูร้อนปี 1925 นักฟิสิกส์หนุ่ม แวร์เนอร์ ไฮเซนเบิร์ก (Werner Heisenberg) ได้เดินทางไปยังเกาะแห่งนี้ และที่นั่นเอง เขาได้ร่างพื้นฐานของทฤษฎีที่จะกลายเป็นหนึ่งในวิธีอธิบายความจริงที่ทรงพลังและประสบความสำเร็จที่สุดในโลกวิทยาศาสตร์
หัวใจในแนวคิดของไฮเซนเบิร์กคือการมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ผู้สังเกตการณ์ (Observers) พบเมื่อทำการวัดอนุภาคเท่านั้น นี่คือประกายแห่งอัจฉริยภาพที่ทำให้เกิดการปฏิวัติทางฟิสิกส์ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างปริศนาที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องถกเถียงกันยาวนานกว่าศตวรรษ คำถามสำคัญคือ “ผู้สังเกตการณ์คือใคร?” และ “อะไรคือการสังเกตการณ์ที่แท้จริง?” ความจริงนั้นขึ้นอยู่กับการที่เรามองมันหรือไม่
แนวคิดใหม่นี้นำไปสู่ข้อถกเถียงเชิงอภิปรัชญาอย่างลึกซึ้ง แต่ก็มีนักฟิสิกส์จำนวนหนึ่งที่เสนอว่า เราไม่จำเป็นต้องอ้างถึงผู้สังเกตการณ์เลย เพราะการผูกความจริงเข้ากับการสังเกตอาจไม่สมเหตุสมผลพอ พวกเขาเชื่อว่ามีวิธีการที่สอดคล้องและมีเหตุผลมากกว่านี้ในการอธิบายโลกควอนตัม
สิ่งที่ท้าทายยิ่งกว่าคือ แนวคิดใหม่นี้ไม่ได้เพียงแค่ปฏิเสธการมีอยู่ของ “ผู้สังเกตการณ์” เท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของ “อนุภาค” เองด้วย และเมื่อขยายกรอบความคิดไปไกลกว่านั้น แม้แต่อวกาศและเวลาก็อาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงในความหมายที่เราคุ้นเคย
แม้จะเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่การสำรวจแนวคิดเหล่านี้ก็อาจนำไปสู่เบาะแสใหม่ๆ ที่อยู่นอกเหนือทฤษฎีควอนตัมแบบดั้งเดิม และอาจเปิดประตูสู่ความเข้าใจจักรวาลในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
⚛️ ปมปริศนาแห่ง 'การสังเกต'
แนวคิดเรื่อง “ผู้สังเกตการณ์” เป็นหลักการสำคัญในฟิสิกส์มานานก่อนการถือกำเนิดของกลศาสตร์ควอนตัมเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ที่อธิบายว่า อวกาศและเวลาหลอมรวมกันเป็น ปริภูมิ-เวลา (Space-Time) และการโค้งงอของปริภูมิ-เวลานี้คือสิ่งที่สร้างแรงโน้มถ่วง
เมื่อเราสอนทฤษฎีสัมพัทธภาพ เรามักอธิบายผู้สังเกตการณ์ในฐานะ “บุคคล” ที่เฝ้ามองปรากฏการณ์ แต่ในความเป็นจริง แม้แต่วัตถุเล็กที่สุด เช่น อะตอม ก็ประสบกับการเปลี่ยนแปลงของเวลาเมื่ออยู่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงที่ต่างกัน ความแตกต่างเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องถูกบันทึกโดยมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีหมวดหมู่พิเศษที่เรียกว่า “ผู้สังเกตการณ์”
อย่างไรก็ตาม ในทฤษฎีควอนตัม (Quantum Theory) ผู้สังเกตการณ์กลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทฤษฎีนี้แยกแยะสถานะของอนุภาคออกเป็นสองช่วงเวลา คือ
  • ก่อนการสังเกต: อนุภาคถูกอธิบายด้วยฟังก์ชันคลื่น (Wave Function) ซึ่งรวมคุณสมบัติที่เป็นไปได้ทั้งหมดในภาวะการซ้อนทับ (Superposition)
  • หลังการสังเกต: ฟังก์ชันคลื่นจะ “ยุบตัว” (Collapse) เหลือเพียงค่าที่แน่ชัดหนึ่งค่า
ปัญหาคือ การยุบตัวของฟังก์ชันคลื่นนี้ก่อให้เกิดคำถามเชิงปรัชญาและวิทยาศาสตร์มากมาย โดยหนึ่งในปริศนาที่โด่งดังคือ “เพื่อนของวิกเนอร์” (Wigner’s Friend Paradox) ซึ่งนักฟิสิกส์ ยูจีน วิกเนอร์ (Eugene Wigner) จินตนาการถึงสถานการณ์ที่เพื่อนของเขาอยู่ในห้องทดลองปิดสนิทและทำการวัดควอนตัม ขณะที่ตัววิกเนอร์เองรออยู่ด้านนอก
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อเปรียบเทียบมุมมองของทั้งสองฝ่าย
  • สำหรับวิกเนอร์ (ภายนอก): เขายังไม่ได้สังเกตอะไรเลย ดังนั้นทั้งห้องทดลองยังคงถูกอธิบายด้วยฟังก์ชันคลื่นที่ไม่แน่นอน
  • สำหรับเพื่อน (ภายใน): การวัดได้ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนแล้ว
คำถามที่ตามมาคือ “เมื่อใดกันแน่ที่การสังเกตการณ์ถือว่าสิ้นสุดลง?” ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาที่ท้าทายที่สุดของฟิสิกส์ควอนตัมจนถึงปัจจุบัน
🔗 ทางออกคือ 'การเกี่ยวพัน' (Entanglement)
นักฟิสิกส์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าทฤษฎีควอนตัมจำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานบางประการ แต่มีอีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างออกไป โดยชี้ว่าแท้จริงแล้ว ทฤษฎีควอนตัมมีทุกสิ่งที่เราต้องการอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องตีความอย่างจริงจังและยอมรับผลลัพธ์ที่อาจดูแปลกประหลาด
หัวใจของแนวคิดนี้อยู่ที่การเกี่ยวพันเชิงควอนตัม (Quantum Entanglement) ซึ่ง แอร์วิน ชเรอดิงเงอร์ (Erwin Schrödinger) เคยเรียกว่า “ลักษณะเฉพาะตัว” ของทฤษฎีควอนตัม การเกี่ยวพันไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับเกินจะเข้าใจ หากแต่เป็นเพียงการเชื่อมโยงพิเศษระหว่างวัตถุควอนตัมสองระบบ ที่เมื่อมีการวัดคุณสมบัติของระบบหนึ่ง ข้อมูลบางอย่างของอีกระบบหนึ่งก็จะถูกกำหนดขึ้นทันที
จากมุมมองนี้ สิ่งที่นักฟิสิกส์เคยเรียกว่า “การสังเกต” อาจไม่ใช่การกระทำของมนุษย์โดยตรง แต่คือช่วงเวลาที่สองระบบเกิดการเกี่ยวพันกัน ซึ่งระบบนั้นอาจเป็นวัตถุ เครื่องมือ หรือแม้แต่ “ผู้สังเกตการณ์” ที่แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงระบบหนึ่งในจักรวาลเช่นกัน
ดังนั้น แนวคิดเรื่อง “ผู้สังเกตการณ์สูงสุด” จึงไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริง เพราะในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเกี่ยวพันระหว่างระบบต่างๆ ไม่ใช่การเฝ้ามองของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะ การตีความเช่นนี้ยังช่วยคลี่คลายปริศนาที่วิกเนอร์เคยตั้งคำถามไว้ในปฏิทรรศน์ “เพื่อนของวิกเนอร์” ได้อย่างมีเหตุผล
💨 โลกที่ไม่มี 'อนุภาค' มีแต่ 'สนามควอนตัม'
ในโลกของฟิสิกส์สมัยใหม่ แนวคิดเรื่องอนุภาค (Particles) ถือเป็นศูนย์กลางของการทำความเข้าใจจักรวาล แต่เพื่อจะเข้าถึงแก่นแท้ของมัน นักฟิสิกส์ต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่าสนาม (Fields)
สนามคือสิ่งที่ดำรงอยู่ทุกหนทุกแห่งและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าคลาสสิก สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กถูกอธิบายด้วยตัวเลขธรรมดาที่เรียกว่า c-numbers (เช่น 5 เมตร) แต่เมื่อเข้าสู่โลกของทฤษฎีควอนตัม (Quantum Theory) การอธิบายสนามเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ละจุดในอวกาศไม่ได้ถูกแทนด้วยตัวเลขเพียงค่าเดียวอีกต่อไป หากแต่เป็นตารางของตัวเลขที่เรียกว่า q-numbers (Quantum Numbers)
นี่คือเหตุผลที่บทความของไฮเซนเบิร์กในปี 1925 มักถูกยกให้เป็นจุดเริ่มต้นของฟิสิกส์ควอนตัม เขาคือผู้ที่เสนอให้อัปเกรดตำแหน่งและโมเมนตัมของอนุภาคจาก c-numbers ไปสู่ q-numbers ความแตกต่างเล็กน้อยนี้กลับมีความหมายลึกซึ้ง และได้เปลี่ยนวิธีที่นักฟิสิกส์มองจักรวาลไปตลอดกาล
เมื่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าคลาสสิกถูกนำมา “ควอนไทซ์” (Quantize) มันเผยให้เห็นว่าสามารถสั่นได้ในหลายโหมด ซึ่งมากกว่าที่เคยเข้าใจ ในสนามควอนตัมมีทั้งหมด 4 โหมด และทฤษฎีทำนายว่าสนามเหล่านี้สามารถแสดงตัวตนออกมาเป็นอนุภาคได้ โดยในกรณีนี้คือโฟตอน (Photon)
แต่สิ่งที่น่าพิศวงคือ นักฟิสิกส์สามารถตรวจจับโฟตอนได้เพียง 2 ใน 4 โหมด เท่านั้น ส่วนอีกสองโหมดกลับหักล้างกันเองจนไม่สามารถตรวจจับได้แม้ในเชิงทฤษฎีก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง “โฟตอนผี” (Ghost Photons) อนุภาคที่ไม่อาจสังเกตได้ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการมีอยู่ของมันในกรอบทฤษฎีควอนตัม
👻 การทดลองที่ 1: ล่าผีควอนตัม
แทนที่จะปกปิดความแปลกประหลาดของทฤษฎีควอนตัม นักวิทยาศาสตร์บางคนกลับเสนอให้ยอมรับมันอย่างตรงไปตรงมา หนึ่งในนั้นคือ เคียรา มาร์เลตโต (Chiara Marletto) จาก University of Oxford ซึ่งร่วมกับเพื่อนนักวิจัยได้เสนอแนวคิดใหม่ว่า แม้สิ่งที่เรียกว่า “โฟตอนผี” (Ghost Photons) จะไม่สามารถตรวจจับได้โดยตรง แต่ในทางทฤษฎี พวกมันสามารถเกี่ยวพัน (Entangle) กับอิเล็กตรอนได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ และการเกี่ยวพันนี้สามารถตรวจจับได้จริงในหลักการ
หากการทดลองดังกล่าวประสบความสำเร็จ มันจะเปรียบเสมือนการ “เห็นผี” ในเชิงควอนตัม และจะพลิกความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถเกี่ยวพันได้ เพราะโดยทั่วไป นักฟิสิกส์มักเชื่อว่ามีเพียงอนุภาคเท่านั้นที่สามารถเกี่ยวพันกันได้ แต่โฟตอนผีเหล่านี้ไม่อาจถูกจัดว่าเป็นอนุภาคอย่างแท้จริง สิ่งที่พวกมันเป็น ก็คือ q-numbers ที่ปรากฏอยู่ในสมการทางควอนตัม
นี่คือประเด็นสำคัญ: q-numbers ต่างหากที่เป็นรากฐานของความจริง ไม่ใช่อนุภาค อนุภาคเพียงบังเอิญมี q-numbers ประกอบอยู่ และนั่นทำให้มนุษย์เข้าใจผิด คิดว่าอนุภาคคือองค์ประกอบพื้นฐานของจักรวาล ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือ q-numbers
🌀 การทดลองที่ 2: อนุภาคเกี่ยวพันกับตัวเอง
แนวคิดที่ว่าอนุภาคอาจไม่มีอยู่จริง ได้รับการตอกย้ำด้วยการตีความใหม่ของฟิสิกส์ควอนตัม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาอนุภาคเดี่ยว เช่น อิเล็กตรอน (Electron) ในกรอบความคิดดั้งเดิม อนุภาคเหล่านี้ถูกอธิบายว่าอยู่ในภาวะการซ้อนทับของหลายสถานะพร้อมกัน ก่อนที่จะถูกวัดผล เช่น การอยู่ทั้ง “ที่นี่” และ “ที่นั่น” ในเวลาเดียวกัน
แต่หากมองจากมุมมองที่ว่า q-numbers คือแก่นแท้ของความจริง ภาวะซ้อนทับดังกล่าวสามารถตีความได้ว่า q-numbers ของอนุภาคนั้น เกี่ยวพันกับตัวเอง (Self-Entanglement) กล่าวคือ อนุภาคเดี่ยวในสภาวะซ้อนทับสามารถสร้างการเกี่ยวพันภายในตัวเองได้
เมื่อราว 15 ปีก่อน นักฟิสิกส์ เจค็อบ ดันนิงแฮม (Jacob Dunningham) และคณะได้เสนอการทดลองเพื่อตรวจสอบแนวคิดนี้ โดยการทำให้อณูเดี่ยวอยู่ในสองตำแหน่งที่แตกต่างกันพร้อมกัน และทำการวัดแยกกันในแต่ละตำแหน่ง เพื่อดูว่าผลลัพธ์จะละเมิดอสมการของเบลล์ (Bell’s Inequality) หรือไม่ ซึ่งถือเป็นเครื่องหมายสำคัญของการเกี่ยวพันควอนตัม
หลักฐานเชิงทดลองบางส่วนได้ปรากฏขึ้นแล้ว งานวิจัยในปี 2004 โดย บียอร์น เฮสโม (Björn Hessmo) และคณะ แสดงให้เห็นว่าโฟตอนเดี่ยวที่ถูกแยกไปยังสองตำแหน่งสามารถละเมิดอสมการของเบลล์ได้จริง ผลลัพธ์นี้บ่งชี้ว่าโฟตอนไม่ใช่องค์ประกอบพื้นฐานของความจริง หากแต่เป็น q-numbers ของมันต่างหากที่มีความสำคัญ
แม้การทดลองลักษณะเดียวกันนี้ยังไม่เคยทำกับวัตถุที่มีมวล เช่น อะตอมหรืออิเล็กตรอน แต่แนวโน้มชี้ว่าผลลัพธ์ก็น่าจะออกมาในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำว่า q-numbers คือรากฐานที่แท้จริงของจักรวาลไม่ใช่อนุภาคที่เราคุ้นเคย
⏳ ไม่มีอวกาศ ไม่มีเวลา มีแต่สนามโน้มถ่วง
หลายคนมองว่าอวกาศและเวลาคือพรมแดนสุดท้ายของฟิสิกส์ และเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ นั่นคือการรวมทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General Relativity) เข้ากับ ทฤษฎีควอนตัม (Quantum Theory)
อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดที่ท้าทายความเข้าใจดั้งเดิม โดยเสนอว่า หากทุกสิ่งในจักรวาลประกอบขึ้นจาก q-numbers จริงแล้ว อวกาศและเวลาอาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง แต่เป็นเพียงเครื่องมือเชิงคณิตศาสตร์ หรือ “ป้ายชื่อ” ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อความสะดวกในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
จากมุมมองนี้ การ “ควอนไทซ์แรงโน้มถ่วง” ไม่ได้หมายถึงการควอนไทซ์ปริภูมิ-เวลา แต่คือการควอนไทซ์สนามโน้มถ่วง (Gravitational Field) โดยการอัปเกรดจาก c-numbers ของไอน์สไตน์ไปเป็น q-numbers เช่นเดียวกับที่เคยทำกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและสนามอื่นๆ
แม้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป สนามโน้มถ่วงจะถูกอธิบายว่าเป็นการโค้งงอของปริภูมิ-เวลา แต่แนวคิดใหม่นี้กลับมองว่า สิ่งที่โค้งงอจริงๆ ไม่ใช่อวกาศหรือเวลา หากแต่เป็นสนามทางกายภาพอื่นๆ เช่น สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ทำหน้าที่ผูกมัดสสารทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอะตอม โมเลกุล นาฬิกา หรือไม้บรรทัด
หน้าที่ของสนามโน้มถ่วงจึงไม่ใช่การบิดงอปริภูมิ-เวลา แต่คือการเชื่อมต่อกับสนามเหล่านี้และกำหนดทิศทางการโค้งงอของพวกมันเพื่อความสะดวก นักฟิสิกส์ยังคงพูดถึงสิ่งเหล่านี้ราวกับถูกวางอยู่บน “ตารางที่มองไม่เห็น” ที่เรียกว่า ปริภูมิ-เวลา แต่แท้จริงแล้ว ปริภูมิ-เวลาอาจไม่ใช่สิ่งพื้นฐานของจักรวาลเลย
🐢 การทดลองที่ 3: เต่าซ้อนเต่า... หรือ Q-numbers ซ้อน Q-numbers?
เมื่อพูดถึงการปฏิสัมพันธ์ของสนามควอนตัม (Quantum Fields) นักฟิสิกส์ใช้คณิตศาสตร์ที่เรียกว่า ควอนตัมแฮมิลโทเนียน (Quantum Hamiltonian) ซึ่งโดยทั่วไปมักผสมผสานระหว่าง q-numbers และ c-numbers (ตัวเลขธรรมดา เช่น ค่าคงที่ทางฟิสิกส์ ความเร็วแสง หรือประจุของอิเล็กตรอน) อย่างไรก็ตาม แนวคิดใหม่เสนอว่า หากสมการทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจาก q-numbers เพียงอย่างเดียว มันจะเป็นระบบที่ “ควอนตัมบริสุทธิ์” และอาจเปิดเผยความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1980 เดวิด ดอยต์ช (David Deutsch) เคยเสนอให้กำจัด c-numbers ออกจากสมการ และแทนที่ด้วย q-numbers ทั้งหมด หากทำเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจแปลกประหลาด ตัวอย่างเช่น หาก ความเร็วแสง (c) ถูกมองว่าเป็น q-number แทนที่จะเป็นค่าคงที่ มันอาจบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของสนามควอนตัมใหม่ที่เชื่อมโยงกับความเร็วแสง คล้ายกับการที่การควอนไทซ์สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเผยให้เห็น “โฟตอนผี” ที่ไม่สามารถตรวจจับได้โดยตรง
แนวคิดนี้ยังสามารถทดสอบได้ในเชิงทดลอง หากมีสนามควอนตัมพิเศษจริง อนุภาคควรจะสามารถเกี่ยวพันกับมันได้ ตัวอย่างเช่น หากอะตอมถูกเกี่ยวพันกับโฟตอนอย่างสมบูรณ์ และมีสนามอื่นเข้ามาเป็นสื่อกลาง สนามนั้นควรเข้าร่วมการเกี่ยวพันด้วย ทำให้เกิดระบบเกี่ยวพันสามส่วน และผลลัพธ์ที่สังเกตได้คือ ความแรงของการเกี่ยวพันระหว่างอะตอมกับโฟตอนจะอ่อนกว่าที่คาดการณ์ไว้
ในปี 2022 นักฟิสิกส์ จิม แฟรนสัน (Jim Franson) ได้เสนอวิธีตรวจจับการเกี่ยวพันลักษณะนี้ ซึ่งเปรียบได้กับการทดลอง “ตรวจจับผี” ในเชิงควอนตัม แม้ยังไม่มีใครทำสำเร็จ แต่ก็ถือว่าเป็นไปได้ในเชิงเทคโนโลยี
ในทางทฤษฎี แนวคิดนี้สามารถขยายไปได้ลึกยิ่งขึ้น เนื่องจาก q-numbers เองคือตารางของตัวเลข และสามารถ “อัปเกรด” ตัวเลขธรรมดาในตารางเหล่านั้นให้กลายเป็น q-numbers ได้อีกครั้ง และทำซ้ำไปเรื่อยๆ กลายเป็น q-numbers ซ้อน q-numbers อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แม้นักปรัชญาจะไม่ชอบการถดถอยที่ไร้ขอบเขต แต่ธรรมชาติไม่ได้มีพันธะที่จะต้องสอดคล้องกับกรอบคิดของมนุษย์ จักรวาลอาจเป็นเพียงหลุมลึกไร้ก้นที่มอบปริศนาไม่รู้จบให้กับนักฟิสิกส์ได้สำรวจต่อไป
🏡 เมื่อ “ความจริง” อาจไม่ใช่อย่างที่ตาเห็น
แนวคิดที่ว่า “อนุภาค” หรือ “อวกาศและเวลา” อาจไม่มีอยู่จริง ฟังดูสุดโต่งและขัดกับสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไป แต่สำหรับสังคมไทย แนวคิดนี้ไม่ได้ห่างไกลนัก เพราะในชีวิตประจำวัน คนไทยคุ้นเคยกับการตั้งคำถามต่อ “สิ่งที่ตาเห็น” ผ่านหลักปรัชญาทางศาสนามาโดยตลอด
คำสอนทางพุทธศาสนา กล่าวถึงแนวคิดเรื่อง “ความว่าง” (สุญญตา) และ “อนัตตา” ที่ชี้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงและถาวร แม้ว่าแนวคิด q-numbers ในฟิสิกส์ควอนตัมจะไม่เหมือนกับ “ความว่าง” โดยตรง แต่ทั้งสองต่างก็ท้าทายให้มนุษย์มองทะลุเปลือกนอกของสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” และตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยเชื่อมั่น
ในมิติของการศึกษา เมื่อนักเรียนไทยเรียนฟิสิกส์ พวกเขามักถูกสอนให้เข้าใจโลกผ่านอนุภาค แรง และกฎทางวิทยาศาสตร์ แต่หากตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียง “แบบจำลอง” (Model) ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อความสะดวก ไม่ใช่ “ความจริงสูงสุด” ก็จะช่วยปลูกฝังการเป็น นักคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinker) ที่ไม่ยึดติดกับตำรา และพร้อมเปิดใจค้นหาความจริงในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ เลิกใช้ "ผู้สังเกตการณ์": แนวคิด "ผู้สังเกตการณ์" (Observer) ที่ทำให้ทฤษฎีควอนตัมสับสน แท้จริงแล้วควรแทนที่ด้วย "การเกี่ยวพัน" (Entanglement) ซึ่งเป็นกระบวนการทางกายภาพที่ไม่จำเป็นต้องมี "คน" มาเกี่ยวข้อง
✅ อนุภาคไม่มีอยู่จริง: สิ่งที่ดูเหมือน "อนุภาค" (เช่น โฟตอน, อิเล็กตรอน) เป็นเพียงการแสดงออกของสิ่งที่เป็นพื้นฐานกว่า นั่นคือ "q-numbers" (ตารางตัวเลขควอนตัม) ที่อยู่ในสนามควอนตัม
✅ อวกาศและเวลาไม่มีอยู่จริง: อวกาศและเวลาไม่ใช่ "เวที" ที่เหตุการณ์เกิดขึ้น แต่เป็นเพียง "ระบบบัญชี" ที่เราใช้เพื่อความสะดวก สิ่งที่มีอยู่จริงคือ "สนามโน้มถ่วง" (ที่เป็น q-numbers) ซึ่งบิดเบนสนามอื่นๆ (เช่น สนามแม่เหล็กไฟฟ้า)
✅ การทดลองชี้ขาด: 1. ล่าผี: พิสูจน์ว่า "โฟตอนผี" (โหมดที่ตรวจไม่พบของสนาม) สามารถเกี่ยวพันกับอิเล็กตรอนได้ เพื่อแสดงว่า q-numbers สำคัญกว่าอนุภาค
✅ การทดลองชี้ขาด: 2. เกี่ยวพันกับตัวเอง: พิสูจน์ว่าอนุภาคเดี่ยว (เช่น อะตอม) ในภาวะซ้อนทับ สามารถ "เกี่ยวพันกับตัวเอง" ได้
✅ การทดลองชี้ขาด: 3. Q-numbers ซ้อน Q-numbers: พิสูจน์ว่าค่าคงที่ (เช่น ความเร็วแสง) อาจไม่ใช่ตัวเลขธรรมดา แต่เป็นสนามควอนตัม (q-numbers) ด้วยตัวมันเอง โดยการตรวจวัดความแรงของการเกี่ยวพันที่ลดลง
💬 ชวนคิดชวนคุย
ถ้าความจริงพื้นฐานไม่ได้ประกอบด้วย "อนุภาค" ที่จับต้องได้ แต่เป็นเพียง "ตารางตัวเลข" (q-numbers) ที่ซับซ้อน... มุมมองนี้เปลี่ยนความรู้สึกที่คุณมีต่อ "ตัวตน" และ "โลก" รอบข้างของคุณไปอย่างไรบ้างครับ?
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Vedral, V. (2023). Quantum mechanics with real numbers: entanglement, superselection rules and gauges. arXiv.
2. Heisenberg, W. (1925). On the quantum-theoretical reinterpretation of kinematical and mechanical relationships. neo-classical-physics.info.
3. Schrödinger, E. (1935). The present status of quantum mechanics. Die Naturwissenschaften.
4. Wigner, E. (1995). Remarks on the mind-body question. In Philosophical reflections and syntheses, Springer, 247–260
5. Marletto, C., & Vedral, V. (2023). Observing ghost entanglement beyond scattering amplitudes in quantum electrodynamics. arXiv.
6. Cunha, M.O., et al. (2007). Entanglement in single-particle systems. Proceedings of the Royal Society A.
7. Hessmo, B., et al. (2004). Experimental Demonstration of Single Photon Nonlocality. Physical review letters.
8. Franson, J. D. (2022). Experimental test of the third quantization of the electromagnetic field. Physical Review A.
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
2
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา