10 พ.ย. เวลา 09:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🌐 "คุณต้องแบนระบบเสพติด" บิดาผู้สร้างเวิลด์ไวด์เว็บเผยแผนทวงคืนอินเทอร์เน็ต

ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) ผู้ให้กำเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) ได้สร้าง “แผนที่ของทุกสิ่งบนอินเทอร์เน็ต” ที่สามารถบรรจุอยู่บนหน้ากระดาษเพียงแผ่นเดียว ภายในประกอบด้วยบล็อกกว่า 100 บล็อกที่เชื่อมต่อกันด้วยลูกศรหลายสิบเส้น บล็อกเหล่านี้ครอบคลุมทั้งสิ่งที่จับต้องได้ เช่น บล็อก (Blog), พอดแคสต์ (Podcast), ข้อความกลุ่ม (Group Messaging) ไปจนถึงแนวคิดเชิงนามธรรมอย่างความคิดสร้างสรรค์ (Creativity), การทำงานร่วมกัน (Collaboration) และ Clickbait
แผนที่นี้สะท้อนให้เห็นภูมิทัศน์ดิจิทัลจากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร—มุมมองของชายผู้คิดค้นเว็บที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
เบอร์เนิร์ส-ลีอธิบายว่า ส่วนใหญ่ของอินเทอร์เน็ตนั้น “ดี” แต่ก็มีบางพื้นที่ที่เขามองว่าเป็นอันตรายต่อสังคม โดยในแผนที่ของเขาได้ระบุชัดเจนว่ามี 6 บล็อกที่ถูกจัดว่าเป็น harmful ได้แก่ Facebook, Instagram, Snapchat, TikTok, X และ YouTube
ตลอด 35 ปีที่ผ่านมา เขาเฝ้าดูสิ่งประดิษฐ์ของตนเองเติบโตจากผู้ใช้เพียงคนเดียวไปสู่ผู้ใช้งานกว่า 5.5 พันล้านคน หรือประมาณ 70% ของประชากรโลก เว็บได้ปฏิวัติทุกสิ่ง ตั้งแต่การสื่อสาร การทำงาน ไปจนถึงการจับจ่ายซื้อของ ชีวิตสมัยใหม่แทบจะจินตนาการไม่ได้เลยหากไม่มีมัน แต่ในขณะเดียวกัน ปัญหาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเท็จ (Misinformation), การแบ่งขั้วทางสังคม (Polarization), การแทรกแซงการเลือกตั้ง (Election Interference) และ การใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีปัญหา
ในบันทึกความทรงจำเล่มใหม่ของเขา "This Is for Everyone" เบอร์เนิร์ส-ลีได้สะท้อนว่า “ในยุคแรกๆ ของเว็บ ความปลื้มปีติและความประหลาดใจมีอยู่ทุกหนแห่ง แต่ในปัจจุบัน ชีวิตออนไลน์มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นความวิตกกังวลได้พอๆ กับความสุข”
แม้จะมีเหตุผลให้รู้สึกขมขื่นกับสิ่งที่มนุษยชาติทำกับผลงานชั่วชีวิต แต่เบอร์เนิร์ส-ลีกลับเลือกที่จะมองโลกในแง่ดี เขายังคงเชื่อมั่นว่าอนาคตของเว็บจะสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้
📜 กำเนิดเว็บ: จากแนวคิดเรียบง่ายสู่การปฏิวัติโลกดิจิทัล
เรื่องราวการกำเนิดของเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นผลลัพธ์ของการอยู่ถูกที่ถูกเวลา ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เบอร์เนิร์ส-ลีกำลังทำงานอยู่ที่แผนกคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของ CERN ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์อนุภาคใกล้นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขาเริ่มตั้งคำถามว่าจะมีวิธีที่ดีกว่าในการจัดการเอกสารจำนวนมหาศาลที่นักวิจัยทั่วโลกต้องใช้หรือไม่
ระบบจัดการเอกสารในเวลานั้นมักบังคับให้ผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เฉพาะ แต่เบอร์เนิร์ส-ลีมองเห็นแนวทางใหม่ เขาเชื่อว่าผู้คนควรสามารถเชื่อมโยงเอกสารได้ตามต้องการ โดยใช้ไฮเปอร์ลิงก์ (Hyperlinks) ที่มีอยู่แล้วสำหรับการเชื่อมโยงภายในเอกสาร และผสานเข้ากับอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครือข่ายแชร์ไฟล์ แนวคิดที่เรียบง่ายแต่พลิกโลกนี้ได้กลายเป็นเวิลด์ไวด์เว็บ
ภายในเวลาไม่กี่เดือน เบอร์เนิร์ส-ลีได้สร้างชุดเครื่องมือสำคัญ ได้แก่ HTML (ภาษาโปรแกรมสำหรับสร้างเว็บเพจ), HTTP (โปรโตคอลสำหรับส่งข้อมูลเว็บเพจ) และ URL (วิธีระบุตำแหน่งของเว็บเพจ) ทั้งหมดนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยโค้ดเพียง 9,555 บรรทัด และเมื่อสิ้นปีนั้น เว็บก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
เบอร์เนิร์ส-ลีกล่าวว่า “CERN เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ในการคิดค้นเว็บ เพราะที่นี่มีผู้คนจากทั่วโลกที่ต้องการสื่อสารและบันทึกข้อมูลอย่างเร่งด่วน”
เว็บไซต์แรกถูกโฮสต์บนคอมพิวเตอร์ของเขาเอง โดยมีป้ายเตือนติดอยู่ว่า “do-not-turn-off” เนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้อธิบายว่าเว็บคืออะไรและวิธีการเข้าร่วม จากนั้นการเติบโตของเว็บก็พุ่งทะยาน มันเติบโตขึ้น 10 เท่าในปีแรก, 10 เท่าในปีที่สอง และอีก 10 เท่าในปีที่สาม
🎁 ของขวัญแด่โลก: “ฟรีและเปิดกว้าง”
แม้จะมีโอกาสทำเงินมหาศาลจากการคิดค้นเวิลด์ไวด์เว็บ แต่เบอร์เนิร์ส-ลีเชื่อมั่นว่าหากต้องการให้เทคโนโลยีนี้ไปถึงศักยภาพสูงสุด มันจำเป็นต้องฟรีและเปิดกว้างสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาพัฒนาซอฟต์แวร์นี้ในช่วงที่ทำงานอยู่ที่ CERN องค์กรจึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์จากผู้ใช้งานทั่วโลก
เบอร์เนิร์ส-ลีจึงหันไปหาผู้บังคับบัญชาและยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้ควรถูก “บริจาคให้กับโลก” เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีข้อจำกัด และในที่สุด ในปี ค.ศ. 1993 ซอร์สโค้ดฉบับเต็มของเว็บก็ได้รับการเผยแพร่ พร้อมกับคำประกาศสำคัญว่า “CERN สละสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมดต่อโค้ดนี้” ทำให้เว็บกลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ตลอดไป
ในช่วงสองถึงสามทศวรรษแรก เว็บเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมอย่างมหาศาล ผู้คนทั่วโลกหลงรักมัน เบอร์เนิร์ส-ลีเชื่อว่าเว็บสามารถปลดล็อกรูปแบบใหม่ของการทำงานร่วมกันของมนุษย์ เขาจึงบัญญัติศัพท์คำว่า “intercreativity” หรือ “การสร้างสรรค์ระหว่างกัน” เพื่ออธิบายว่าพลังสร้างสรรค์ที่แท้จริงเกิดขึ้นจากกลุ่มคน ไม่ใช่เพียงปัจเจกบุคคล
ตัวอย่างที่ดีที่สุดของแนวคิดนี้คือ Wikipedia ซึ่งเบอร์เนิร์ส-ลีมองว่าเป็น “ตัวอย่างที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียว” ของสิ่งที่เขาต้องการให้เว็บเป็น (พื้นที่ที่ผู้คนทั่วโลกสามารถร่วมกันสร้างสรรค์และแบ่งปันความรู้ได้อย่างเสรี)
🛑 จุดเปลี่ยน: เมื่อความหวังกลายเป็นความกังวล
ยุคแห่งการมองโลกในแง่ดีต่อเวิลด์ไวด์เว็บอย่างไร้ขอบเขตไม่ได้คงอยู่ตลอดไป สำหรับเบอร์เนิร์ส-ลี ปี ค.ศ. 2016 คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติอย่างร้ายแรง เหตุการณ์ใหญ่ระดับโลกอย่างการลงประชามติ Brexit และ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรกของโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้คนอาจถูกชักจูงโดยโซเชียลมีเดียให้ลงคะแนนในสิ่งที่ไม่ใช่ผลประโยชน์สูงสุดของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เว็บได้กลายเป็นเครื่องมือขององค์กรขนาดใหญ่ในการชักจูงปัจเจกบุคคลอย่างทรงพลัง
ในอดีต การรณรงค์ทางการเมืองใช้วิธี “แพร่ภาพ” (broadcast) ข้อความไปยังผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่สาธารณะ ทุกคนสามารถมองเห็นได้ และที่สำคัญคือสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ในช่วงกลางทศวรรษ 2010 โซเชียลมีเดียได้เปลี่ยนเกม โดยเปิดโอกาสให้เกิดการ “แพร่ภาพแบบเจาะจงกลุ่ม” (narrowcast)
ข้อความทางการเมืองถูกแบ่งย่อยออกเป็นพันๆ รูปแบบ แต่ละรูปแบบถูกออกแบบมาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน การติดตามว่าใครกำลังพูดอะไรกับใครจึงกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาก เช่นเดียวกับการโต้แย้งหรือการหักล้างคำกล่าวอ้างที่ทำให้เข้าใจผิด
แม้ว่าการกำหนดเป้าหมายขนาดเล็ก (microtargeting) นี้จะส่งผลต่อการเลือกตั้งมากเพียงใดนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ หลายงานวิจัยชี้ว่าผลกระทบอาจมีเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับเบอร์เนิร์ส-ลี สิ่งนี้คือส่วนหนึ่งของความกังวลที่ใหญ่ต่อบทบาทของโซเชียลมีเดียในสังคมสมัยใหม่
🤖 ปัญหาอัลกอริทึม: ความท้าทายใหม่ของโซเชียลมีเดีย
เบอร์เนิร์ส-ลีแสดงความกังวลต่อบทบาทของอัลกอริทึมในโซเชียลมีเดีย เขาอธิบายว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะถูกดึงดูดโดยสิ่งที่ทำให้โกรธ และเมื่อแพลตฟอร์มออนไลน์ป้อนข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ผู้ใช้ก็มีแนวโน้มที่จะคลิกมากขึ้นและใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มนานขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้เกิดการเสพติดโดยไม่รู้ตัว
เบอร์เนิร์ส-ลีอ้างถึงนักคิดชื่อดัง ยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari) ซึ่งเคยโต้แย้งว่าผู้สร้างอัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อผลักดันพฤติกรรมเชิงลบควรต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เขาเองก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราต้องออกกฎหมายแบนระบบที่ออกแบบมาให้เสพติดโดยเฉพาะ”
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าการแบนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับแนวทาง “เสรีและเปิดกว้าง” ที่เขายึดถือมาตลอด มันจึงเป็นเพียงทางเลือกสุดท้ายที่ควรใช้เมื่อไม่มีทางออกอื่น ในหนังสือเล่มใหม่ เบอร์เนิร์ส-ลีได้เขียนว่าโซเชียลมีเดียมีปัญหาเฉพาะตัวในการก่อให้เกิดอันตราย และย้ำว่า “เราต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
✊ แผนกอบกู้: “การทวงคืนอธิปไตยทางดิจิทัล”
แม้จะมีความกังวลต่อปัญหาที่เกิดจากโซเชียลมีเดีย แต่เบอร์เนิร์ส-ลียังคงมองโลกในแง่ดี เขาเชื่อว่าโซเชียลมีเดียเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของแผนที่อินเทอร์เน็ต แม้ว่ามันจะดึงดูดความสนใจของผู้คนไปมากก็ตาม กุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้คือการ “ทวงคืนอธิปไตยทางดิจิทัล” (Reclaiming Digital Sovereignty)
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เบอร์เนิร์ส-ลีได้พัฒนาแนวทางใหม่ที่มุ่งหมายส่งมอบอำนาจกลับคืนสู่ปัจเจกบุคคล ปัจจุบันแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตต่างๆ เป็นผู้ควบคุมข้อมูลของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น วิดีโอที่สร้างบน Snapchat ไม่สามารถแชร์ไปยังฟีดของ Facebook ได้โดยตรง หรือโพสต์จาก LinkedIn ก็ไม่สามารถนำไปแสดงบน Instagram ได้อย่างง่ายดาย แม้ผู้ใช้จะเป็นผู้สร้างเนื้อหา แต่บริษัทเหล่านี้กลับเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมด
แนวคิดของเบอร์เนิร์ส-ลีคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ โดยให้ข้อมูลทั้งหมดของผู้ใช้ถูกเก็บไว้ใน “กระเป๋าข้อมูล” (Data Wallet) ที่ผู้ใช้เป็นผู้ควบคุมเอง เขาเรียกมันว่า “Pod” (Personal Online Data Store) ซึ่งสามารถบรรจุทุกสิ่ง ตั้งแต่ภาพถ่ายครอบครัวไปจนถึงเวชระเบียน และขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเลือกแบ่งปันข้อมูลใดกับใคร
แนวคิดนี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นโครงการที่เบอร์เนิร์ส-ลีพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นจริง เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัทชื่อ Inrupt เพื่อทำให้การทวงคืนอธิปไตยทางดิจิทัลเป็นความจริงในโลกออนไลน์
💾 จาก Data Wallet สู่เศรษฐศาสตร์แห่งความตั้งใจ
เบอร์เนิร์ส-ลีรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษกับศักยภาพของกระเป๋าข้อมูล ที่สามารถทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อย่างลึกซึ้ง เขายกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการซื้อรองเท้าวิ่ง หากผู้ใช้พึ่งพา AI chatbot ในปัจจุบัน มักต้องเสียเวลาอธิบายรายละเอียดก่อนจึงจะได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม แต่หาก AI สามารถเข้าถึงข้อมูลใน Pod ได้ มันจะรู้ขนาดรองเท้า ประวัติการออกกำลังกาย และแม้แต่พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้ ทำให้สามารถจับคู่รองเท้าที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ
เบอร์เนิร์ส-ลีเน้นว่า AI ควรทำงานเพื่อผู้ใช้ ไม่ใช่เพื่อ Big Tech แนวคิดนี้ไม่ใช่การสร้าง AI ส่วนตัวขึ้นมาใหม่ แต่คือการฝัง “การรับประกัน” ลงไปในซอฟต์แวร์ เพื่อให้มันทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัลที่คอยสนับสนุนผู้ใช้โดยตรง
แม้การแนะนำรองเท้าวิ่งที่เหมาะสมอาจไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนโลก แต่ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเบอร์เนิร์ส-ลีคือการมองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีก่อนที่คนอื่นจะตระหนัก เขามองว่าอนาคตของเว็บควรก้าวออกจาก “เศรษฐศาสตร์แห่งความสนใจ” (Attention Economy) ที่ทุกสิ่งแข่งขันกันเพื่อดึงดูดการคลิก ไปสู่ “เศรษฐศาสตร์แห่งความตั้งใจ” (Intention Economy) ที่ผู้ใช้เป็นฝ่ายกำหนดสิ่งที่ต้องการทำ และให้บริษัทหรือ AI แข่งขันกันเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายนั้น
เขากล่าวว่า “มันคือการมอบอำนาจกลับคืนให้กับปัจเจกบุคคล” การเปลี่ยนแปลงนี้จะพลิกดุลอำนาจจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กลับคืนสู่ผู้ใช้อย่างมหาศาล แม้จะมีเพียงนักมองโลกในแง่ดีเท่านั้นที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ประวัติของเบอร์เนิร์ส-ลีพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามักจะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นยังไม่ทันเห็น—และท้ายที่สุด เขาคือคนที่ถือ “แผนที่” ของอนาคตนั้นอยู่ในมือ
🏡 จากเศรษฐศาสตร์แห่งความสนใจสู่เศรษฐศาสตร์แห่งความตั้งใจ
สำหรับคนไทยที่ใช้เวลาอยู่บนโซเชียลมีเดียสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Facebook, X หรือ Instagram แนวคิดของเบอร์เนิร์ส-ลีจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย ปรากฏการณ์ “narrowcasting” ในการเมืองไทย และอัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อสร้างการเสพติดจนผู้ใช้ต้อง doomscrolling อย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นสิ่งที่คนไทยคุ้นเคย และส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิตและสังคม
ในชีวิตประจำวันของคนไทย แนวคิดเรื่อง “Pod” หรือกระเป๋าข้อมูลส่วนตัว (Personal Online Data Store) มีศักยภาพที่จะพลิกโฉมทุกอย่าง ลองจินตนาการว่าข้อมูลสุขภาพจากทุกโรงพยาบาล ทั้งรัฐและเอกชน ถูกจัดเก็บไว้ใน Pod ของผู้ใช้เอง โดยที่เจ้าของข้อมูลเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้แพทย์หรือแอปพลิเคชันเข้าถึงได้หรือไม่ ไม่ใช่แพลตฟอร์มถือครองข้อมูลแทน หรือข้อมูลการเงินที่เชื่อมโยงกับ AI ส่วนตัว เพื่อช่วยวางแผนการใช้จ่ายและการลงทุน โดยที่ธนาคารหรือบริษัทเทคโนโลยีไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ได้
นี่คือการเปลี่ยนผ่านจาก “เศรษฐศาสตร์แห่งความสนใจ” (Attention Economy) ที่ผู้ใช้ถูกทำให้เป็นสินค้า ไปสู่ “เศรษฐศาสตร์แห่งความตั้งใจ” (Intention Economy) ที่ผู้ใช้กลายเป็นผู้ควบคุมและเป็นเจ้านายของข้อมูลตนเองอย่างแท้จริง
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ แผนที่ปัญหา: ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี ผู้ให้กำเนิดเวิลด์ไวด์เว็บ ระบุว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลัก (Facebook, TikTok, X, IG ฯลฯ) อยู่ในกลุ่ม "เป็นอันตราย" (Harmful)
✅ จุดเปลี่ยน: ปี 2016 (Brexit, Trump) ทำให้เขาตระหนักว่าเว็บถูกใช้เป็นเครื่องมือ "ชักจูง" มนุษย์ผ่านการ "narrowcasting" (การแพร่ภาพแบบเจาะจงกลุ่ม)
✅ รากเหง้าของปัญหา: ไม่ใช่แค่การเมือง แต่คือ "อัลกอริทึมการเสพติด" (Addictive Algorithms) ที่ออกแบบมาโดยเจตนาเพื่อดึงดูดความสนใจของเราโดยการป้อนสิ่งที่ "ทำให้โกรธ"
✅ ข้อเสนอสุดขั้ว: เบอร์เนิร์ส-ลี เสนอว่า "คุณต้องออกกฎหมายแบนระบบที่ออกแบบมาให้เสพติดโดยเฉพาะ" แม้ว่ามันจะขัดกับอุดมการณ์เสรีของเขา
✅ ทางออก (Pod): เขาเสนอให้ทวงคืน "อธิปไตยทางดิจิทัล" กลับสู่ผู้ใช้ ผ่าน "Pod" (Personal Online Data Stores) หรือกระเป๋าข้อมูลส่วนตัว ที่คุณเป็นเจ้าของและควบคุมข้อมูลของคุณเอง ไม่ใช่แพลตฟอร์ม
✅ อนาคต (Intention Economy): เป้าหมายคือการเปลี่ยนจาก "เศรษฐศาสตร์แห่งความสนใจ" (แย่งชิงการคลิกของคุณ) ไปสู่ "เศรษฐศาสตร์แห่งความตั้งใจ" (AI แข่งขันกันเพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย)
💬 ชวนคิดชวนคุย
ในโลกอุดมคติของ "เศรษฐศาสตร์แห่งความตั้งใจ" ที่ AI ทำงานเพื่อคุณ ไม่ใช่เพื่อแพลตฟอร์ม... คุณอยากให้ "AI ผู้ช่วยส่วนตัว" ของคุณ ช่วยคุณทำอะไรเป็นอย่างแรกในชีวิตประจำวันครับ?
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Berners-Lee, T. (2025). This Is for Everyone: The Unfinished Story of the World Wide Web. Farrar, Straus and Giroux.
2. CERN. (n.d.). The birth of the World Wide Web. CERN.
3. Harari, Y. N. (2018). 21 Lessons for the 21st Century. Random House.
4. Inrupt. (n.d.). About Intrupt. Inrupt.
5. Inrupt. (n.d.). Solid Project. Solid Project.
6. New Scientist. (2025). 'Most of it is good': Tim Berners-Lee on the state of the web now (T. Revell, Interview). New Scientist.
7. New Scientist. (2025). Owning our own data is the only way to stop enshittifcation. New Scientist.
8. New Scientist. (2025). How to fix the web, according to the man who invented it. New Scientist.
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา