เสียงประกาศของเพลงเปิดอัลบั้มอย่าง “The System” เหมือนโฆษณาทางโทรทัศน์ยุคดิสโทเปีย เป็นการเย้ยหยันว่ามนุษย์ได้สร้างระบบขึ้นมาเพื่อกลืนกินตนเอง “We Got The System To F*ck The System!” คือคำที่เปิดประตูสู่การแสดงแห่งความพินาศอย่างเป็นทางการ ก่อนที่ “Babylon” จะเปิดฉากของนครแห่งบาปด้วยจังหวะ Funk-Rock และเสียงเครื่องเป่าอันเย้ายวน ที่สะท้อนความงามและความบ้าคลั่งของอารยธรรมที่หลงใหลในอำนาจและราคะจนหมดสิ้น
ใน “Loud, Loud, Loud” เด็กชายชาวกรีกเอ่ยถ้อยคำอ่อนโยนเหนือเปียโนของ Vangelis พูดถึงความเชื่อ ความหวัง และความเงียบสงบก่อนพายุใหญ่ มันคือช่วงเวลาแห่งความบริสุทธิ์ ก่อนที่ “The Four Horsemen” จะเปิดประตูหายนะออกมาอย่างยิ่งใหญ่ เพลงนี้ถือเป็นหัวใจของอัลบั้ม — การตีความ “สี่จตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลกในคัมภีร์วิวรณ์” ในรูปแบบ Progressive Rock ที่เร้าอารมณ์สูงสุด
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย "The Wedding Of The Lamb" เป็นเหมือนบทสวดแห่งการไถ่บาปและการเกิดใหม่ เสียงสังเคราะห์ของ Vangelis บรรเลงเหมือนเสียงสวรรค์ที่กำลังเปิดออก แต่ความสงบชั่วคราวนั้นถูกทำลายโดย "The Capture Of The Beast" เสียงโซ่ตรวนและการปะทะกันของเครื่องดนตรีสะท้อนถึงความตึงเครียด ลึกลับและน่าสะพรึงกลัว ทุกโน้ตทุกจังหวะเป็นเหมือนพลังธรรมชาติที่ขับเคลื่อนเรื่องราวของหายนะและการเผชิญหน้ากับความจริงของมนุษยชาตินี้ไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวังและไร้อนาคต
หลังจากผ่านความวุ่นวายของ Infinity เพลง "Hic Et Nunc (Here And Now)" กลับมาในโทนที่สดใสและชัดเจน เสียงร้องเรียบง่ายแต่หนักแน่นประกาศว่า "I Am Here And Now" การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นในทุกขณะของชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงในอนาคต ทุกจังหวะและโน้ตของเพลงนี้สอนให้ผู้ฟังสัมผัสกับปัจจุบันและยอมรับความจริงของการมีชีวิต
ก่อนที่จะเข้าสู่มหากาพย์ของเพลง "All The Seats Were Occupied" ที่เป็นดั่งบทสรุปของอัลบั้มที่รวมธีมทั้งหมดกลับมาหลอมรวมในรูปแบบ Musique Concrète ที่เต็มไปด้วยเสียงพูด เสียงหัวเราะ เสียงสวด และเสียงเครื่องดนตรีแตกหัก ทุกองค์ประกอบวนกลับมาครบรอบเหมือนทุกสิ่งได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นซ้ำแบบนี้ต่อไปอีกตลอดกาล
มันบอกเราว่า “วันสิ้นโลก” ไม่ได้เกิดขึ้นภายนอก หากแต่เกิดขึ้นในใจของเราทุกครั้งที่เราสูญเสียศรัทธาในความดี ความรัก หรือความจริง Allmusic เคยเรียกอัลบั้มนี้ว่า “An Amazingly Bombastic Concept Album About The Apocalypse Of St. John Seen As A Rock Spectacle” และนั่นคือคำอธิบายที่แม่นยำที่สุด เพราะมันทั้งอลังการและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน มันไม่ใช่เพียงการเล่าพระคัมภีร์ แต่คือการจำลองพิธีกรรมแห่งสันตะปาปาผสมคอนเสิร์ตไซคีเดลิกเข้าไว้ด้วยกัน
ในเชิงดนตรี Vangelis ได้แสดงศักยภาพสูงสุดของเขาในฐานะนักแต่งเพลงอิเล็กทรอนิกส์ก่อนยุค "Chariots Of Fire" เสียงซินธ์ของเขาในอัลบั้มนี้ไม่ใช่เสียงหวานแบบ New Age แต่คือเสียงแห่งการพิพากษา การทดลองด้วยเทป เสียงพูด และจังหวะพิธีกรรม ทำให้ "666" กลายเป็นผลงานก้าวข้ามขอบเขตระหว่าง Rock, Theatre Music และ Avant-Garde ได้อย่างแท้จริง
แม้บางรีวิวจากยุคแรกจะวิจารณ์ว่าอัลบั้มนี้ “มากเกินไป” หรือ “ฟังยากเกินทน” แต่เมื่อมองจากปัจจุบัน "666" กลับกลายเป็นหนึ่งในงานที่เข้าใจอนาคตของดนตรีได้แม่นยำที่สุด มันเชื่อมโยงรากของ Progressive Rock เข้ากับแนวทาง World Music, Electronica และ Performance Art ที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Enigma, Dead Can Dance หรือแม้แต่ Tool ในเกือบสองทศวรรษถัดมา