3 พ.ย. เวลา 08:52 • ดนตรี เพลง

The Number Of The Beast: วิวรณ์แห่งบทเพลงร็อกและความบ้าคลั่งของมนุษยชาติใน 666 — Aphrodite’s Child

ปี 1972 คือจุดสิ้นสุดของยุคทองแห่งไซคีเดลิกและจุดเริ่มต้นของความทะเยอทะยานทางดนตรีในแนว Progressive Rock ทั่วโลก แต่ในขณะที่อังกฤษกำลังทดลองความซับซ้อนทางเทคนิคของวงอย่าง Genesis, Yes หรือ King Crimson กลับมีวงจากกรีซที่พำนักอยู่ในฝรั่งเศส กล้าสร้างผลงานที่ใหญ่โต มหึมา และมีความกล้าทางศิลปะมากกว่าใคร ณ เวลานั้น วงนั้นคือ Aphrodite’s Child และอัลบั้มสุดท้ายของพวกเขา “666” ได้กลายเป็นสิ่งที่ทั่วทั้งโลกจดจำได้ในฐานะ "Circus Apocalypse" หรือ “งานรื่นเริงวันสิ้นโลก”
“666” เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่เกินจะนิยามด้วยคำว่า “อัลบั้มร็อก” มันคือพิธีกรรมทางศิลปะ ดนตรี และเทววิทยา ที่ดึง Book of Revelation หรือ “วิวรณ์ของยอห์น” จากพระคัมภีร์ไบเบิล มาตีความในรูปของละครสัตว์แห่งวันสิ้นโลก ที่มนุษย์กลายเป็นผู้ชมการล่มสลายของตนเองโดยไม่รู้ตัว ผลงานนี้ถูกวางแนวคิดโดยผู้กำกับชาวกรีก Costas Ferris และขับเคลื่อนด้วยแรงสร้างสรรค์ของอัจฉริยะอย่าง Vangelis Papathanassiou กับเสียงร้องอันร้อนแรงของ Demis Roussos
อัลบั้มนี้ถูกบันทึกเสียงในปี 1970 แต่บริษัท Mercury ปฏิเสธที่จะออกวางจำหน่ายมันนานถึงสองปี เพราะเห็นว่า “มีเนื้อหาล่อแหลมและเข้าใจยากเกินไป” กว่าที่มันจะได้ออกในปี 1972 โลกของร็อกก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ 666 ก็ยังดู “ไกลเกินยุค” ไปอีกนานหลายสิบปี
หากจะอธิบายว่าอัลบั้มนี้คืออะไร มันคือการนำพระธรรมวิวรณ์มาทำให้เป็น “Rock Spectacle” หรือ ปรากฏการณ์ทางดนตรีร็อก ได้อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านเนื้อหาอัลบั้มที่เชื่อมโยงกับ "วิวรณ์ของยอห์น" ได้อย่างเสียดสีและลึกซึ้ง — ขณะที่โลกกำลังแตกสลายจากภายนอก แต่ภายในคณะละครสัตว์แห่งหนึ่งยังคงแสดงต่อหน้าผู้ชมที่กำลังปรบมืออย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้ว่าหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาทีละน้อย
เสียงประกาศของเพลงเปิดอัลบั้มอย่าง “The System” เหมือนโฆษณาทางโทรทัศน์ยุคดิสโทเปีย เป็นการเย้ยหยันว่ามนุษย์ได้สร้างระบบขึ้นมาเพื่อกลืนกินตนเอง “We Got The System To F*ck The System!” คือคำที่เปิดประตูสู่การแสดงแห่งความพินาศอย่างเป็นทางการ ก่อนที่ “Babylon” จะเปิดฉากของนครแห่งบาปด้วยจังหวะ Funk-Rock และเสียงเครื่องเป่าอันเย้ายวน ที่สะท้อนความงามและความบ้าคลั่งของอารยธรรมที่หลงใหลในอำนาจและราคะจนหมดสิ้น
ใน “Loud, Loud, Loud” เด็กชายชาวกรีกเอ่ยถ้อยคำอ่อนโยนเหนือเปียโนของ Vangelis พูดถึงความเชื่อ ความหวัง และความเงียบสงบก่อนพายุใหญ่ มันคือช่วงเวลาแห่งความบริสุทธิ์ ก่อนที่ “The Four Horsemen” จะเปิดประตูหายนะออกมาอย่างยิ่งใหญ่ เพลงนี้ถือเป็นหัวใจของอัลบั้ม — การตีความ “สี่จตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลกในคัมภีร์วิวรณ์” ในรูปแบบ Progressive Rock ที่เร้าอารมณ์สูงสุด
Demis Roussos เปล่งเสียงร้องในโทน Falsetto หรือ เสียงหลบ สร้างบรรยากาศพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ก้องกังวาน ขณะที่จังหวะกลองและเสียงออร์แกนของ Vangelis ระเบิดพลังออกมาช่วงกลางเพลงราวกับงานเฉลิมฉลองแห่งหายนะ สี่อัศวินของเขาไม่ใช่ภาพจำจากพระคัมภีร์ แต่คือภาพของสงคราม ความโลภ ความอดอยาก และความโง่เขลาของมนุษยชาติเอง
ท่ามกลางเสียงคัมภีร์และลางร้ายแห่งอาร์มาเก็ดดอน “The Lamb” คือช่วงเวลาแห่งแสงที่แทรกเข้ามาอย่างกะทันหัน — ดนตรีในเพลงนี้ไม่ได้พุ่งไปสู่ความโกลาหล หากกลับกลายเป็นการเฉลิมฉลองแบบพื้นบ้านที่เต็มไปด้วยจังหวะรื่นเริง เสียงร้องประสานแบบกรีกพื้นเมือง และการขับขานที่ชวนให้นึกถึงพิธีกรรมต้อนรับพระผู้มาโปรด
เสียงเพอร์คัสชันและเครื่องสายพื้นบ้านให้บรรยากาศเหมือนขบวนแห่งศรัทธาที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ เพลงนี้จึงเปรียบเสมือน “การเปิดผนึกแห่งความหวัง” ท่ามกลางความพินาศของโลกในอัลบั้ม เป็นช่วงเวลาแห่งเทศกาลและแสงสว่าง ที่ทำให้เรื่องราวใน 666 มีมิติของการไถ่บาป ไม่ใช่เพียงการพิพากษาเท่านั้น
ก่อนที่ “The Seventh Seal” จะถ่ายทอดเหตุการณ์จาก "วิวรณ์" บทที่ 6 เมื่อ The Lamb เปิดตราประทับดวงที่เจ็ด และสวรรค์ตกอยู่ใน “ความเงียบ” ดนตรีที่เรียบซ้ำของคีย์บอร์ดและเครื่องสายสร้างบรรยากาศว่างเปล่าเย็นเยียบ ขณะที่เสียงบรรยายของ John Forst ท่องถ้อยคำจากพระคัมภีร์ราวกับคำพยากรณ์ — ดวงอาทิตย์มืด ดวงจันทร์เป็นเลือด โลกสั่นสะเทือน และเสียงร้องของผู้พลีชีพที่รอคอยการไถ่บาป
จุดไคลแมกซ์ของเพลงไม่ใช่เสียงระเบิดแห่งวันพิพากษา แต่คือความสงัดของจักรวาลเมื่อประตูแห่งหายนะใหม่กำลังจะเปิด และเริ่มต้นการรอคอยอันยาวนาน ก่อนที่เสียงแตรแห่งสวรรค์จะดังขึ้นอีกครั้ง
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเริ่มสั่นสะเทือน “Aegian Sea” กลับงดงามราวภาพฝัน เสียงฟลูตและกีตาร์โปร่งผสานกันเหนือพื้นทะเลเสียงสังเคราะห์ — เป็นการหวนกลับสู่ต้นกำเนิดของวงในความเป็นกรีก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนภาพของโลกหลังหายนะที่กำลังจมดิ่งสู่มหาสมุทรแห่งเวลา
“Seven Bowls” แทนภาพพิธีกรรมแห่งการลงทัณฑ์ ด้วยเสียงบรรยากาศที่ก้องกังวานและเสียงสวดโบราณที่ให้ความรู้สึกเหมือนการเทขันแห่งพระพิโรธลงบนแผ่นดินโลก ทุกเสียงเป็นทั้งพิธีกรรมและคำสาป เพลงนี้ต่อยอดด้วยแรงสะท้อนของศิลปินรุ่นหลังอย่าง Enigma ที่นำไปแซมเปิลในอัลบั้ม MCMXC a.D. กว่า 20 ปีต่อมา นั่นสะท้อนว่า 666 ไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตของยุคหนึ่ง แต่เป็นเมล็ดพันธุ์ของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เชิงจิตวิญญาณในอนาคต
บรรยากาศของอัลบั้มแปรเปลี่ยนเป็นความมืดอย่างสมบูรณ์ใน “The Wakening Beast” เสียงระฆังและเสียงสังเคราะห์อันลึกลับของ Vangelis แทนภาพหายนะและความสิ้นหวังอันเงียบงันที่ค่อย ๆ กลืนกินจิตวิญญาณของมนุษย์ลงช้า ๆ ขณะที่ “Lament” แทนช่วงเวลาอันคร่ำครวญที่สั้นแต่เต็มไปด้วยความโศร้าเศร้า โหยหวน ที่ชวนน่าขนลุก
ก่อนที่ “The Marching Beast” จะบรรเลงเสียงมาร์ชแห่งการเฉลิมฉลองและรื่นเริงในอำนาจของตน จังหวะเบสและกลองที่หนักตัดด้วยเสียงเครื่องเป่ากรีกพื้นบ้าน สะท้อนความจริงอันโหดร้ายด้วยฉาบหน้าที่ร่าเริงและสวยงาม ว่าความชั่วร้ายไม่จำเป็นต้องซ่อนอยู่ในเงามืด แต่สามารถเดินขบวนอย่างภาคภูมิท่ามกลางแสงไฟได้เช่นกัน
ต่อด้วยการระเบิดของเสียงดนตรีอย่างกะทันหันใน “The Battle Of The Locusts” เสียงกีตาร์สังเคราะห์แตกกระจายเป็นพายุ คล้อยด้วยจังหวะกลองและเบสที่ไม่หยุดนิ่ง คล้ายภาพยนตร์ไซไฟที่โลกถูกฝูงปีศาจตั๊กแตนบุกในธีมของ Funk-Rock “Do It” และ “Tribulation” แสดงภาพของหายนะนั้นต่อด้วยดนตรีที่ต่อเนื่อง เสียงร้องซ้ำ ๆ “Do it!” กลายเป็นเสียงเรียกแห่งการทำลาย ท่ามกลางความสับสน รวดเร็ว และโกลาหล
“The Beast” คือช่วงหนึ่งใน 666 ที่ Aphrodite’s Child เลือกใช้ความเรียบง่ายทางโครงสร้างเพื่อสร้างภาพของความชั่วร้ายอันซับซ้อนในเชิงสัญลักษณ์ เพลงดำเนินด้วยจังหวะฟังก์ที่ซ้ำไปมา เสียงกีตาร์และคีย์บอร์ดโยกไหวอยู่บนกรูฟที่ฟังดูแทบจะลื่นไหลดั่งสายหมอก คล้ายกับแนว Psychedelic Rock ช่วงปลายยุค 60s ที่ทดลองกับเสียงและจังหวะอย่างอิสระ
เสียงร้องซ้ำคำถาม “Who Can Fight The Beast?” ด้วยน้ำเสียงกึ่งท้าทายกึ่งสิ้นหวัง ขณะที่ท่อนพูดคั่นของ Vangelis ว่า "Pame!" และ "Telionoume edho pera etsi?” — (Let's go!” / “We're done here right?) แทรกเข้ามาอย่างเหนือจริงราวกับเสียงในจิตใต้สำนึก
แม้จะเป็นเพลงสั้นและดูเล่นกับจังหวะ แต่ “The Beast” กลับทำหน้าที่เป็นแกนสำคัญของภาคแรกในอัลบั้ม — การปรากฏตัวของสัตว์ร้ายในคัมภีร์วิวรณ์ที่ไม่ใช่เพียงปีศาจภายนอก แต่คือความบ้าคลั่งและตัณหาที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์เอง ดนตรีที่หมุนวน เสียงซ้ำ และความคลุมเครือระหว่างจริงกับหลอน กลายเป็นการจำลองสภาวะของจิตใจที่ถูกทดลองโดย “อำนาจแห่งสัตว์ร้าย” อย่างแนบเนียน เป็นทั้งฉากแห่งการเต้นรำและการล่มสลายในเวลาเดียวกัน
และนี่คือช่วงที่ 666 แสดงให้เห็นว่า “วิวรณ์” ไม่ได้เกิดขึ้นบนฟ้าเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในใจคนทุกคนที่ยังสู้กับความมืดของตนเองอยู่นั่นเอง
ก่อนที่ "Ofis" จะปิดท้ายพาร์ทแรกของอัลบั้มด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและลึกลับ เสียงร้องภาษากรีกที่แปลว่า “ออกมาซะ งูผู้ถูกสาป / หากเจ้าไม่ออกมา / ข้าจะออกไปจัดการเอง" ทำหน้าที่เหมือนคำเตือนสุดท้ายต่อสัตว์ร้าย เพลงนี้ไม่ต้องการเครื่องดนตรีมากมาย — เพียงเสียงพูดที่เข้มข้นและเว้นจังหวะอย่างมีเล่ห์ เสริมความรู้สึกถึงการเผชิญหน้ากับอำนาจมืด แทนการปิดฉากภาคแรกของอัลบั้มอย่างลึกลับและหนักแน่น เตรียมผู้ฟังเข้าสู่บทต่อไปของวิวรณ์และการเผชิญหน้ากับความบ้าคลั่งในใจมนุษย์ต่อ
ส่วนที่สองของอัลบั้มเริ่มต้นด้วยเสียงประกาศแห่งหายนะใน "Seven Trumpets" ที่เปล่งประกายเหมือนสัญญาณเตือนแห่งการพิพากษา ก่อนที่โลกจะจมอยู่ในความโกลาหล ทุกคำพูด ทุกจังหวะ เป็นสัญญาณที่เตือนให้มนุษย์เผชิญหน้ากับชะตากรรมของตัวเอง
และในเพลง "Altamont" ก็คือช่วงเวลาที่มืดมนและรุนแรงที่สุดในอัลบั้ม "666" มันทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมจากครึ่งแรกของอัลบั้มที่มีเรื่องราวชัดเจนและเรียงลำดับ ให้เข้าสู่ครึ่งหลังที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและธีมเชิงนามธรรม เสียงดนตรีที่เน้นเครื่องเคาะและจังหวะตึงเครียดสร้างบรรยากาศของความกดดันและความไม่แน่นอน ถ่ายทอดความรู้สึกถึงการสิ้นสุดอย่างรุนแรงของความฝันในยุค 1960
ชื่อเพลง "Altamont" อ้างอิงโดยตรงถึง Altamont Free Concert ปี 1969 ที่เกิดโศกนาฏกรรม เมื่อ Meredith Hunter ถูกแทงเสียชีวิตโดยสมาชิกคลับ Hells Angels เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นความรุนแรงทางกายภาพ แต่ยังสื่อถึงความตายของยุคแห่งความหวังและอุดมการณ์ของคนรุ่นนั้น เพลงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงและการจบสิ้นของยุคสมัย
ในแง่ธีมของอัลบั้ม "Altamont" ทำหน้าที่เป็น จุดเปลี่ยนสำคัญ จากโครงเรื่องที่เป็นระเบียบไปสู่ความสับสนวุ่นวายและอารมณ์สุดโต่ง เสียงเครื่องเคาะและจังหวะที่เข้มข้นสะท้อนถึงความวุ่นวายของโลกที่กำลังล่มสลาย และทำให้ผู้ฟังสัมผัสถึงความตึงเครียดที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะเข้าสู่ธีมหายนะในเพลงต่อไป
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย "The Wedding Of The Lamb" เป็นเหมือนบทสวดแห่งการไถ่บาปและการเกิดใหม่ เสียงสังเคราะห์ของ Vangelis บรรเลงเหมือนเสียงสวรรค์ที่กำลังเปิดออก แต่ความสงบชั่วคราวนั้นถูกทำลายโดย "The Capture Of The Beast" เสียงโซ่ตรวนและการปะทะกันของเครื่องดนตรีสะท้อนถึงความตึงเครียด ลึกลับและน่าสะพรึงกลัว ทุกโน้ตทุกจังหวะเป็นเหมือนพลังธรรมชาติที่ขับเคลื่อนเรื่องราวของหายนะและการเผชิญหน้ากับความจริงของมนุษยชาตินี้ไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวังและไร้อนาคต
เพลงที่ใช้สัญลักษณ์ "∞" หรือ "Infinity" เป็นการทดลองทางดนตรีที่สุดโต่งและล่อแหลมที่สุด Irene Papas ใช้เสียงหอบหายใจและกรีดร้องในรูปแบบพิธีกรรมทางเพศ ถ่ายทอดสัญลักษณ์ของหญิงโสเภณีแห่งบาบิโลนและพลังแห่งราคะที่ทำลายโลก เสียงของเธอไม่เพียงแต่สะท้อนความลุ่มหลงและบาป แต่ยังสะท้อนความอื้อฉาวและความเกินขอบเขตของศิลปะร็อก ทำให้ค่าย Mercury ถึงกับลังเลที่จะปล่อยอัลบั้มนี้ แต่เมื่อมองในแง่สัญลักษณ์ มันคือการสะท้อนถึงความลุ่มหลงในร่างกายและอำนาจของมนุษย์อย่างไม่ปรานี
หลังจากผ่านความวุ่นวายของ Infinity เพลง "Hic Et Nunc (Here And Now)" กลับมาในโทนที่สดใสและชัดเจน เสียงร้องเรียบง่ายแต่หนักแน่นประกาศว่า "I Am Here And Now" การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นในทุกขณะของชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงในอนาคต ทุกจังหวะและโน้ตของเพลงนี้สอนให้ผู้ฟังสัมผัสกับปัจจุบันและยอมรับความจริงของการมีชีวิต
ก่อนที่จะเข้าสู่มหากาพย์ของเพลง "All The Seats Were Occupied" ที่เป็นดั่งบทสรุปของอัลบั้มที่รวมธีมทั้งหมดกลับมาหลอมรวมในรูปแบบ Musique Concrète ที่เต็มไปด้วยเสียงพูด เสียงหัวเราะ เสียงสวด และเสียงเครื่องดนตรีแตกหัก ทุกองค์ประกอบวนกลับมาครบรอบเหมือนทุกสิ่งได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นซ้ำแบบนี้ต่อไปอีกตลอดกาล
เสียงของแตรเจ็ดใบและการสลับของสี่อาชาแห่งการพิพากษาเสริมสร้างความรู้สึกว่าโลกและการแสดงละครสัตว์ Apocalypse ของวงกลายเป็นสิ่งเดียวกันจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ปิดท้ายอัลบั้มด้วย "Break" เสียงร้องอันอบอุ่นของ Demis Roussos และเนื้อเพลงที่กล่าวคำบอกลา แต่กลับแฝงด้วยความรู้สึกของความสูญเสียและการยอมรับ มันคือความสงบหลังพายุ ความหวังหลังความสูญสิ้น ทุกเสียงโน้ตที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้รวมเป็นบทเรียนของความลึกซึ้งทางอารมณ์และจิตวิญญาณ การปิดท้ายนี้เหมือนการก้าวผ่านความโกลาหลไปสู่ความสงบและการรับรู้ถึงคุณค่าของชีวิต
สิ่งที่ทำให้ "666" ยิ่งใหญ่กว่าคอนเซปต์อัลบั้มทั่วไป ไม่ใช่เพียงเพราะความทะเยอทะยานของ Vangelis หรือพลังเสียงของ Roussos เท่านั้น แต่เพราะมันกล้าตีความ “วิวรณ์” ไม่ใช่ในฐานะคำพยากรณ์ทางศาสนา แต่เป็น “ภาพสะท้อนของจิตวิญญาณมนุษย์” ที่กำลังพังทลาย
มันบอกเราว่า “วันสิ้นโลก” ไม่ได้เกิดขึ้นภายนอก หากแต่เกิดขึ้นในใจของเราทุกครั้งที่เราสูญเสียศรัทธาในความดี ความรัก หรือความจริง Allmusic เคยเรียกอัลบั้มนี้ว่า “An Amazingly Bombastic Concept Album About The Apocalypse Of St. John Seen As A Rock Spectacle” และนั่นคือคำอธิบายที่แม่นยำที่สุด เพราะมันทั้งอลังการและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน มันไม่ใช่เพียงการเล่าพระคัมภีร์ แต่คือการจำลองพิธีกรรมแห่งสันตะปาปาผสมคอนเสิร์ตไซคีเดลิกเข้าไว้ด้วยกัน
สมาชิกวง Aphrodite's Child ปี 1972 (ซ้ายไปขวา): Demis Roussos, Vangelis และ Loukas Sideras
ในอีกมุมหนึ่ง เว็บไซต์ Progarchives เปรียบ "666" กับการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของวง — จากเพลงป๊อปเบา ๆ ใน Rain And Tears และ It’s Five O’Clock มาสู่ผลงานที่เทียบได้กับความแตกต่างระหว่าง "From Genesis To Revelation" กับ "Foxtrot" ของ Genesis นั่นคือจากจุดเริ่มต้นที่ไร้พิษสงไปสู่ระดับปรัชญาแห่งจักรวาล แม้จะมีบางช่วงที่หลุดเข้าไปในความทดลองที่คนทั่วไปอาจมองว่า “ฟังยาก” แต่ในแง่ความกล้าและวิสัยทัศน์ มันคือผลงานที่ไม่มีวงใดยุคนั้นเทียบได้
ในเชิงดนตรี Vangelis ได้แสดงศักยภาพสูงสุดของเขาในฐานะนักแต่งเพลงอิเล็กทรอนิกส์ก่อนยุค "Chariots Of Fire" เสียงซินธ์ของเขาในอัลบั้มนี้ไม่ใช่เสียงหวานแบบ New Age แต่คือเสียงแห่งการพิพากษา การทดลองด้วยเทป เสียงพูด และจังหวะพิธีกรรม ทำให้ "666" กลายเป็นผลงานก้าวข้ามขอบเขตระหว่าง Rock, Theatre Music และ Avant-Garde ได้อย่างแท้จริง
ส่วนเสียงร้องของ Demis Roussos นั้นทรงพลังจนเกินมนุษย์ ทั้งในบทบาทของผู้เผยพระวจนะและผู้สาปแช่งตนเอง ทุกถ้อยคำของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์แบบโอเปราและความบ้าคลั่งทางศาสนาได้ในเวลาเดียวกัน
แม้บางรีวิวจากยุคแรกจะวิจารณ์ว่าอัลบั้มนี้ “มากเกินไป” หรือ “ฟังยากเกินทน” แต่เมื่อมองจากปัจจุบัน "666" กลับกลายเป็นหนึ่งในงานที่เข้าใจอนาคตของดนตรีได้แม่นยำที่สุด มันเชื่อมโยงรากของ Progressive Rock เข้ากับแนวทาง World Music, Electronica และ Performance Art ที่ยังคงส่งอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Enigma, Dead Can Dance หรือแม้แต่ Tool ในเกือบสองทศวรรษถัดมา
Costas Ferris นักแต่งเนื้อเพลงให้กับอัลบั้ม "666"
ท้ายที่สุด 666 จึงไม่ใช่เป็นเพียง “อัลบั้มสุดท้าย” ของ Aphrodite’s Child แต่เป็น “คัมภีร์วิวรณ์ของวงการร็อก” เองอีกด้วย — ผลงานที่แสดงให้เห็นว่าศิลปะสามารถเป็นได้ทั้งการทำลายและการเยียวยาในเวลาเดียวกัน มันคือเสียงสะท้อนของยุคที่ศรัทธาถูกแทนด้วยระบบ การพิพากษาถูกแทนด้วยความบันเทิง และวันสิ้นโลกได้กลายเป็นโชว์ที่ทุกคนปรบมือให้โดยไม่รู้ตัว
อัลบั้มนี้อาจไม่เหมาะกับการฟังเพื่อความเพลิดเพลิน แต่มันคือประสบการณ์ที่ต้อง “เผชิญหน้า” มากกว่าแค่ “รับฟัง” — และเมื่อมันจบลง เราอาจไม่แน่ใจว่า Apocalypse ที่เกิดขึ้นนั้น อยู่ในเกิดขึ้นผ่านบทเพลงหรือในใจเราเองกันแน่...
Cr. Allmusic / Progarchives
---
โฆษณา