4 พ.ย. เวลา 08:51 • การศึกษา

สรุป 5 บทเรียนสุดขั้ว: จาก ‘จาณักยะ’ ปราชญ์ผู้สร้างจักรวรรดิด้วยสมอง

เมื่อนึกถึงคำว่า "อำนาจ" ภาพที่มักปรากฏในความคิดคือกองทัพอันเกรียงไกร ทรัพย์สมบัติมหาศาล หรือบุรุษร่างกำยำผู้สง่างาม แต่ประวัติศาสตร์ได้จารึกเรื่องราวของชายผู้หนึ่งที่ทลายภาพจำเหล่านั้นจนหมดสิ้น
เขาคือ ‘จาณักยะ’ บุรุษที่ถูกบรรยายไว้ว่า "บุรุษดำร่างเตี้ย ไม่เป็นที่รักของหญิงใดในรูปสมบัติ" เขาไม่มีอาณาจักรเป็นของตนเอง ไม่มีกองทัพในบัญชา แต่กลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของจักรวรรดินันทะอันยิ่งใหญ่ และสถาปนาจักรวรรดิโมริยะที่เกรียงไกรขึ้นมาแทนที่ด้วยมันสมองและกลยุทธ์อันเฉียบแหลม
บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 บทเรียนที่น่าทึ่งและทรงพลังที่สุดจากชีวิตของจาณักยะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสติปัญญาอันบริสุทธิ์และยุทธศาสตร์ที่ไร้ความปรานี สามารถสั่นสะเทือนบัลลังก์และเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างไร!
บทที่ 1: ทำลายศัตรูให้สิ้นซาก แม้จะเป็นเพียงต้นหญ้าหนาม
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในวันที่จันทรคุปต์ได้พบกับอาจารย์ของตนในสภาพที่น่าประหลาดใจ เขากำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้า และลงมือถอนต้นหญ้าหนามต้นหนึ่งขึ้นมาทั้งรากอย่างใจเย็น จากนั้นก็นำมันไปเผาไฟ กวาดเถ้าถ่านมาผสมกับน้ำในจอกแล้วยกขึ้นดื่มด้วยความพอใจ
เมื่อจันทรคุปต์ถามถึงเหตุผล จาณักยะตอบอย่างเรียบง่ายว่า ขณะที่เดินมา หนามของหญ้าต้นนี้ได้ตำเท้าของเขา เพื่อไม่ให้มันสร้างอันตรายแก่ผู้ใดได้อีก เขาจึงต้อง "ถอนราก ทำลายมันเสียไม่ให้มีเชื้อ" นี่คือบทเรียนแรกที่สะท้อนปรัชญาอันเด็ดขาดของเขา ศัตรูหรือปัญหาที่ดูเหมือนเล็กน้อย หากปล่อยไว้ก็อาจกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงได้ในอนาคต ดังนั้น การจัดการกับปัญหาจึงต้องทำอย่างถึงที่สุด ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของปัญหาไว้ให้เติบโตได้อีก
คนที่อยู่ข้างเคียงเราก็เหมือนกัน จะประมาทว่าเป็นคนเล็กน้อย ไม่มีอันตรายแก่เรานั้นไม่ได้ เพราะลางคนคือข้าศึกตัวร้ายของเรา ที่เราไม่รู้ตัว
หลักการที่ดูโหดเหี้ยมนี้ยังคงสะท้อนความจริงในสนามการเมือง ธุรกิจ หรือแม้แต่อุปสรรคส่วนตัวในยุคปัจจุบัน การมองข้ามปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ความล้มเหลวครั้งใหญ่ได้ในที่สุด
บทที่ 2: ยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุด อาจมาจากบทเรียนของเด็กที่ถูกถั่วร้อนลวกมือ
ในการศึกครั้งแรกกับจักรวรรดินันทะ จาณักยะและจันทรคุปต์นำกองทัพที่ขาดวินัยบุกโจมตีเมืองคยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจโดยตรง ผลลัพธ์คือความพ่ายแพ้ยับเยิน ทหารของพวกเขาสนใจการปล้นสะดมมากกว่าการรบ ทำให้กองทัพแตกพ่ายอย่างง่ายดาย
ทั้งสองต้องหลบหนีซ่อนตัวด้วยความหิวโหยไปจนถึงกระท่อมของหญิงชราคนหนึ่ง และที่นั่นเองที่พวกเขาได้รับบทเรียนยุทธศาสตร์ที่ล้ำค่าที่สุด ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ พวกเขาได้ยินเสียงหญิงชราดุด่าลูกชายที่ใจร้อนใช้มือขยุ้มถั่วต้มจากกลางหม้อจนถูกลวก เธอบอกให้ลูกค่อยๆ กินจากขอบหม้อที่เย็นกว่าก่อน แล้วเธอก็เปรียบเทียบความโง่ของลูกชายกับการศึกของจาณักยะและจันทรคุปต์อย่างตรงไปตรงมา
เจ้าเด็กหน้าโง่...จาณักยะกับจันทรคุปต์ ขนทหารเข้าไป เมืองคยาของวงศ์นันทะคราวนี้ เป็นการเอามือจุ่มลงในหม้อถั่วต้มอันร้อนเหมือนกับเจ้าไม่ผิดเลย อย่าทำอะไรอย่างรีบร้อน...จาณักยะกับจันทรคุปต์ก็เหมือนเจ้านี่แหละ ช่างโง่นัก ช่างไม่รู้เลยว่าเมืองคยา เป็นศูนย์กลางของปาตลีบุตร เหตุใดจาณักยะกับจันทรคุปต์จึงไม่ตีเมืองชายแดนเข้ามาก่อน
บทเรียนจากหญิงชราธรรมดาคนหนึ่งได้เปลี่ยนแนวทางการศึกของพวกเขาไปตลอดกาล มันคือหลักการ "ตีจากขอบเข้าหาศูนย์กลาง" คือต้องยึดครองพื้นที่รอบนอกที่อ่อนแอกว่า เพื่อตัดกำลังและปิดล้อมศูนย์กลางอำนาจก่อนเข้าโจมตี บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่าภูมิปัญญาเชิงกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจซ่อนอยู่ในคำสอนที่เรียบง่ายและมาจากแหล่งที่คาดไม่ถึงที่สุด
บทที่ 3: สงครามจิตวิทยาคืออาวุธที่ทรงพลังกว่ากองทัพ
หลังจากล้มเหลวในการใช้กำลังทหารโดยตรง จาณักยะเปลี่ยนไปใช้อาวุธที่ทรงพลังยิ่งกว่า นั่นคือสงครามจิตวิทยา เขาส่งศิษย์เอกชื่อ อินทุสาร ปลอมตัวเป็นนักพรตเชนนามว่า ชีวสิทธิ แทรกซึมเข้าไปในราชสำนักนันทะ
ชีวสิทธิใช้ความรู้ด้านโหราศาสตร์ การแพทย์ และจิตวิทยา ค่อยๆ สร้างความเชื่อมั่นจนได้รับความไว้วางใจจากกษัตริย์ จุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อเขาสร้างเรื่องคำสาปในราชวงศ์ และ "ค้นพบ" โครงกระดูกพราหมณ์ที่ถูกฝังไว้ใต้ท้องพระโรงเพื่อยืนยันคำทำนายของตน แต่ความอัจฉริยะของแผนนี้ไม่ได้อยู่ที่การสร้างเรื่อง แต่คือการใช้ความจริงที่ถูกฝังไว้มาทำลายล้าง
ความลับเรื่องพราหมณ์ที่ถูกสังหารนี้คืออาชญากรรมก่อตั้งราชวงศ์นันทะ ซึ่งรู้กันเพียงสองคนคือ ปฐมกษัตริย์มหาปัทมานันทะ และปู่ของจันทรคุปต์ซึ่งเป็นปุโรหิตในราชสำนักยุคนั้น จันทรคุปต์ผู้สืบทอดความลับนี้ได้มอบมันให้แก่ชีวสิทธิเพื่อใช้เป็นอาวุธ
เมื่อได้ความไว้วางใจอย่างสมบูรณ์ ชีวสิทธิก็เริ่มยุยงให้ราชวงศ์นันทะหวาดระแวงและเกลียดชังเหล่าพราหมณ์ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุด นี่คือสุดยอดกลยุทธ์ที่แสดงให้เห็นว่า การนำเอาอาชญากรรมที่ถูกฝังไว้ของศัตรูมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายความเชื่อมั่นและความสามัคคีจากภายใน มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าการทำลายกองทัพของพวกเขาเสียอีก
บทที่ 4: ยืนหยัดต่อกรกับผู้พิชิตโลก ดีกว่ายอมเป็นทาส
ในช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้หลบหนี จันทรคุปต์และจาณักยะเคยพยายามขอเป็นพันธมิตรกับมหาบุรุษที่ทรงอำนาจที่สุดในยุคนั้น คือ อาเล็กซานเดอร์มหาราช แต่การเจรจากลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด อาเล็กซานเดอร์ยื่นข้อเสนอที่ชัดเจน คือต้องการให้จันทรคุปต์ยอมจำนนโดยสิ้นเชิง และจะผนวกกำลังของเขาเพื่อยึดครองจักรวรรดินันทะให้อยู่ใต้อำนาจของตนเอง
จันทรคุปต์ปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว เขาไม่ยอมแลกอธิปไตยของบ้านเมืองกับความช่วยเหลือทางการทหาร และยืนกรานว่าธรรมเนียมประเพณีของชาวชมพูทวีปนั้นสูงส่งกว่าของผู้รุกราน เมื่อการโต้เถียงถึงจุดเดือด อาเล็กซานเดอร์ผู้พิโรธจัดถึงกับกระทืบบาท ตวาดเสียงลั่น และสั่งให้จับกุมเขา แต่จันทรคุปต์กลับตอบโต้อย่างสงบและไม่เกรงกลัวว่า เขายอมตายดีกว่าที่จะต้องตกเป็นทาสหรือเครื่องมือของผู้ใด
หม่อมฉันต้องการความตาย มากกว่าความเป็นทาส และตายได้ทุกเมื่อ
ท่ามกลางโทสะอันบ้าคลั่งของผู้พิชิตโลก ความนิ่งสงบและยึดมั่นในหลักการของจันทรคุปต์คือภาพสะท้อนความกล้าหาญอันแน่วแน่ของผู้นำ ที่จะไม่ยอมสละอิสรภาพของประชาชนเพื่อแลกกับผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม
บทที่ 5: อำนาจที่แท้จริง ไม่ได้มาจากรูปลักษณ์ภายนอก
ชีวิตของจาณักยะคือการต่อสู้กับการถูกตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกมาโดยตลอด ตั้งแต่เยาว์วัยที่ถูกเด็กรุ่นเดียวกันล้อเลียนว่า "เจ้าองคุลี" เพราะมีร่างกายเตี้ยสั้นเหมือนข้อต่อนิ้วมือ ไปจนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อเขาถูกขับไล่อย่างอัปยศออกจากราชสำนักนันทะ เพียงเพราะมี "รูปร่างอัปลักษณ์" ไม่เป็นที่พอใจของกษัตริย์ ความอัปยศอดสูในครั้งนั้นคือเชื้อไฟที่จุดประกายคำปฏิญาณที่จะล้มล้างราชวงศ์นี้ให้จงได้
ภาพลักษณ์ที่ดูต้อยต่ำของเขา ช่างขัดแย้งกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างขึ้นอย่างสิ้นเชิง เขาคือมหาปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านยุทธศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เขาคือผู้วางแผนโค่นล้มจักรวรรดิหนึ่งและสถาปนาอีกจักรวรรดิหนึ่งขึ้นมาด้วยสติปัญญาเพียงอย่างเดียว
ชีวิตของจาณักยะจึงเป็นบทพิสูจน์อันเป็นที่สุดว่า อำนาจที่แท้จริงซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้นั้น ไม่ได้อยู่ที่รูปกาย ทรัพย์สิน หรือยศถาบรรดาศักดิ์ที่สืบทอดมา แต่อยู่ในพลังแห่งความคิดและกลยุทธ์ที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งสามารถเอาชนะอคติและการดูแคลนทั้งปวงได้ในท้ายที่สุด
บทสรุปส่งท้าย
ยุทธศาสตร์ของจาณักยะ แม้จะผ่านมานานนับพันปี แต่ยังคงเฉียบคมและใช้ได้เสมอ เพราะมันไม่ได้ตั้งอยู่บนเทคโนโลยีหรืออาวุธ แต่ตั้งอยู่บนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในจิตวิทยามนุษย์ ธรรมชาติของอำนาจ และการคิดนอกกรอบ
เรื่องราวของเขาจึงทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้เราขบคิด: ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเสียงดังและการแสดงออก มี 'พลังเงียบ' อะไรบ้างที่เราอาจกำลังมองข้ามไป?
โฆษณา