4 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ

ซึมเศร้าไม่ได้มีแค่แบบเดียว... และทำไมยาเดิมๆ อาจไม่ตอบโจทย์

ภาวะซึมเศร้า (Depression) เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่แพร่หลายและส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกอย่างมหาศาล อาการที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ ความรู้สึกเศร้าอย่างต่อเนื่อง หมดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ การนอนหรือการกินที่ผิดปกติไปจากเดิม ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยอย่างแสนสาหัส
แต่สิ่งที่น่าปวดใจที่สุดในวงการแพทย์จิตเวชมาโดยตลอดคือ กระบวนการรักษาที่ต้อง ลองผิดลองถูก (Trial-and-error) ผู้ป่วยหลายคนต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี ในการเปลี่ยนยาไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาว่ายาตัวไหนที่ "ใช่" สำหรับตัวเอง ซึ่งระหว่างนั้น พวกเขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการและผลข้างเคียงของยาที่อาจไม่ตอบสนอง
คุณ Leanne Williams นักวิจัยอาวุโสจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้กล่าวถึงปัญหานี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า "แนวทางการรักษาทางคลินิกเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการข้อมูลทางชีววิทยาและจิตวิทยาในการตัดสินใจรักษา แต่จิตเวชยังขาดเครื่องมือทางชีววิทยาโดยตรงที่จะทำเช่นนั้นได้"
คำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ในการดูแลสุขภาพจิต และนี่คือจุดเริ่มต้นของงานวิจัยที่ผมจะเล่าให้ฟัง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนการรักษาภาวะซึมเศร้าจากยุค "คาดเดา" สู่ยุค "การแพทย์แม่นยำ" (Precision Medicine) อย่างแท้จริง
ในอดีต เรามักมองว่าภาวะซึมเศร้าเป็นโรคเดียวที่ต้องรักษาด้วยวิธีเดียวกันทั้งหมด แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่า "ซึมเศร้า" นั้นมีหลายรูปแบบ หรือที่เรียกว่า "ไบโอไทป์" (Biotype) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของผู้ป่วยที่มีรูปแบบวงจรประสาทและพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน
การค้นพบนี้ทำให้เราสามารถมองลึกลงไปถึง กลไกทางสมอง ที่เป็นต้นเหตุของอาการ แทนที่จะพิจารณาแค่ "อาการ" ภายนอกเท่านั้น
งานวิจัยล่าสุดนี้มุ่งเน้นไปที่ไบโอไทป์หนึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือไบโอไทป์ด้านการคิด (Cognitive Biotype) ผู้ป่วยที่จัดอยู่ในไบโอไทป์นี้มักมีปัญหาที่ชัดเจนเกี่ยวกับ การทำงานของสมองด้านการคิด (Cognitive Impairment) พวกเขาจะรายงานว่ามีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่อกับงานเฉพาะหน้าได้ มีปัญหาในการวางแผนและตัดสินใจ รวมถึงไม่สามารถยับยั้งความคิดที่ไม่เป็นประโยชน์หรือสิ่งรบกวนเข้ามาในหัวตลอดเวลา
เมื่อพิจารณาในระดับกลไกทางสมอง นักวิจัยพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความผิดปกติในการทำงานของวงจรประสาทที่ควบคุมการคิด (Cognitive Control) โดยเฉพาะบริเวณ Dorsolateral Prefrontal Cortex และ Dorsal Anterior Cingulate Cortex ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมสมาธิและการยับยั้งสิ่งรบกวน
และนี่คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มักตอบสนองต่อยาต้านเศร้ามาตรฐาน เช่น ยาในกลุ่ม SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) ได้ไม่ดี ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มที่ "ดื้อยา" และต้องใช้เวลานานกว่าจะพบการรักษาที่เหมาะสม
เมื่อเรารู้กลไกที่ผิดปกติแล้ว ขั้นต่อไปคือการหา "กุญแจ" ที่จะไปไขปัญหานี้
นักวิจัยจึงหันไปสนใจยาที่ชื่อว่า Guanfacine Immediate Release (GIR) ซึ่งเป็นยาที่เดิมทีเราใช้รักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD) และบางครั้งก็ใช้รักษาความดันโลหิตสูง กลไกการทำงานของยาตัวนี้ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับสารสื่อประสาทอย่างเซโรโทนินโดยตรง แต่จะออกฤทธิ์กระตุ้นตัวรับที่ชื่อว่า Alpha-2A Adrenergic Receptor (α2A-AR) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วย เสริมสร้างความแข็งแรงของวงจรประสาทในสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortical Circuitry) ซึ่งเป็นบริเวณที่บกพร่องในผู้ป่วย Cognitive Biotype พอดี
พูดง่ายๆ คือ แทนที่จะใช้ยาที่ออกฤทธิ์แบบกว้างๆ นักวิจัยเลือกใช้ยาที่ตรงเป้ากับความผิดปกติทางชีววิทยาที่ค้นพบ
งานวิจัยนี้ถือเป็นต้นแบบของการแพทย์แม่นยำอย่างแท้จริงครับ โดยเริ่มจากการใช้เทคโนโลยี fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) หรือการสแกนสมองเพื่อดูการทำงานของวงจรประสาท เพื่อ ระบุตัวผู้ป่วย ที่เป็น Cognitive Biotype อย่างชัดเจนก่อนเริ่มการรักษา
จากนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้รับยา GIR เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ และผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าตื่นเต้นมากครับ โดยพบว่า 76.5% ของผู้ป่วยมีอาการตอบสนองต่อยา (Response) และที่สำคัญคือ 65.7% ของผู้ป่วยมีอาการทุเลาจนเข้าสู่ภาวะสงบ (Remission)
ลองเปรียบเทียบกับอัตราการทุเลาของยาต้านเศร้ามาตรฐานที่เราใช้กันอยู่ ซึ่งมักจะอยู่ที่ประมาณ 30-40% ในการรักษาเริ่มต้น จะเห็นได้ว่า อัตรา 65.7% นี้สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ตอบสนองต่อยาถึง 84.6% สามารถเข้าสู่ภาวะทุเลาได้เลย
นอกจากอาการทางคลินิกที่ดีขึ้นแล้ว การสแกนสมองด้วย fMRI ยังยืนยันว่ายา GIR ได้ ฟื้นฟูการทำงานของวงจรประสาทที่บกพร่อง ให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้นจริง ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าการรักษาที่ตรงจุดกับกลไกทางชีววิทยาให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ
งานวิจัยนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้นพบยาใหม่ แต่เป็นการวาง รากฐานสำหรับยุคใหม่ของการดูแลสุขภาพจิต ที่จะเปลี่ยนการวินิจฉัยจากเดิมที่แพทย์วินิจฉัยตาม "อาการ" ที่ผู้ป่วยเล่า ไปสู่การวินิจฉัยตามกลไกทางสมองที่ผิดปกติ ทำให้แพทย์สามารถเลือกยาหรือวิธีการรักษาที่ใช่สำหรับผู้ป่วยแต่ละคนตั้งแต่แรก โดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกอีกต่อไป
คุณ Williams ได้ย้ำว่า "นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราจะทำการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (Randomized Controlled Trials) ที่ใหญ่ขึ้น เพื่อเปรียบเทียบ Guanfacine กับการรักษามาตรฐาน และขยายผลไปยังไบโอไทป์อื่นๆ ของภาวะซึมเศร้าด้วย" วิสัยทัศน์ของพวกเขาคือ อนาคตที่การดูแลสุขภาพจิตตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวัดผลทางสมองที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้แต่ละคนได้รับการรักษาที่ถูกต้องสำหรับกลไกที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม
ในฐานะเภสัชกร ผมรู้สึกตื่นเต้นกับงานวิจัยนี้มากครับ มันแสดงให้เห็นว่าการแพทย์แม่นยำไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรคมะเร็งหรือโรคทางกายเท่านั้น แต่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าของจิตเวชอย่างสิ้นเชิง
การตระหนักว่าซึมเศร้าไม่ใช่โรคเดียว แต่เป็นกลุ่มอาการที่ซับซ้อน จะเป็นแรงผลักดันให้เราทุกคนเรียกร้องและสนับสนุนการวิจัยเพื่อการดูแลสุขภาพจิตที่แม่นยำและ เฉพาะบุคคลมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
แหล่งอ้างอิง
1. Hack, L. M. et al. (2025). A stratified precision medicine trial targeting α2A-adrenergic receptor agonism as a treatment for the cognitive biotype of depression. Nature Mental Health. DOI: 10.1038/s44220-025-00510-7.
2. Fadelli, I. (2025, November 5). Precision medicine intervention found to ease symptoms of a depression biotype. Medical Xpress.
3. Arnsten, A. F. T. (2020). Guanfacine's mechanism of action in treating prefrontal cognitive deficits. Pharmacology Biochemistry and Behavior, 192, 172901.
4. Rush, A. J., et al. (2006). Acute and longer-term outcomes in depressed outpatients requiring one or several treatment steps: a STAR*D report. The American Journal of Psychiatry, 163(11), 1905-1917.
โฆษณา