10 พ.ย. เวลา 10:06 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 44 ย้ายเข้าอุทยาน

หลังจากหยวนกุ้ยเฟยมาเยี่ยมญาติกลับไปแล้วได้สั่งเอาไว้ให้ทั่นชุนคัดลอกบทกวีที่แต่งกันในวันนั้น กุ้ยเฟยเองจะนำมาเรียบเรียง คัดแยกข้อดีหรือบกพร่อง และยังสั่งให้จารึกป้ายศิลาไว้ในสุทัศนอุทยาน 大观园 (ต้ากวนหยวน) เพื่อเป็นอนุสรณ์สืบไป
เจี่ยเจิ้ง 贾政 จึงสั่งให้คัดสรรช่างสลักหินฝีมือดีมาสลักอักษรในอุทยาน เจี่ยเจิน 贾珍 มอบหมายให้เจี่ยหยง 贾蓉 เจี่ยเฉียง 贾蔷 กำกับดูแลงานสลักหินนี้ แต่เนื่องจากเจี่ยเฉียงยังต้องกำกับงานหนังสือและงานแสดงของนักแสดงอีกสิบสองนาง ไม่ค่อยมีเวลาว่าง จึงได้เรียกเจี่ยชาง 贾菖 เจี่ยหลิง 贾菱 เจี่ยผิง 贾萍 มาช่วยกำกับงานสลักหินด้วย วันวันมีงานลงชาดเคลือบไขบนอักษรจนล้นมือ
กล่าวถึงศาลจักรพรรดิหยก 玉皇庙 (วี่หวงเมี่ยว) และอารามธรรม 达摩庵 (ต๋าหมออัน) ส่งสามเณรสิบสองรูป นักพรตน้อยสิบสองรูปมาอยู่ที่สุทัศนอุทยานเมื่อครารับเสด็จเจ้าจอม เจี่ยเจิ้งกำลังดำริว่าจะส่งนักบวชน้อยเหล่านี้ไปอยู่ที่อื่น
ข่าวนี้ไปเข้าหูนางหยางสื้อ 杨氏 ผู้เป็นมารดาของเจี่ยฉิน 贾芹 พวกนางอาศัยอยู่ที่ถนนสายหลัง นางหยางสื้อ อยากจะของานจากเจี่ยเจิ้งให้บุตรดูแลไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานเล็กหรือใหญ่ จะได้มีเงินรายได้มาเจือจุนครอบครัว นางหยางสื้อจึงขึ้นรถมาหาพี่เฟิ่ง พี่เฟิ่งเห็นว่าเจี่ยฉินปกติเป็นคนคารมคมคาย จึงรับปาก แล้วหาช่องทาง โดยไปแจ้งแก่หวางฮูหยินว่า
“สามเณรและนักพรตน้อยเหล่านี้ไม่ควรส่งไปอยู่ที่อื่น หากกุ้ยเฟยเสด็จมาอีก ก็ต้องลำบากไปหามาประกอบพิธีใหม่ ข้ามีความเห็นว่า ส่งพวกเขาไปอยู่ที่วัดลูกกรงเหล็ก 铁槛寺 (วัดเถี่ยเจี้ยน) อันเป็นวัดประจำตระกูล แต่ละเดือนเพียงให้คนนำเงินไม่กี่ตำลึงไปซื้อเสบียงก็พอ หากต้องใช้งาน ก็เรียกหาได้ทันที”
(ที่มาของชื่อวัดลูกกรงเหล็ก 铁槛寺 (วัดเถี่ยเจี้ยน) มีกล่าวถึงในบทหลัง ๆ )
หวางฮูหยินจึงนำความไปหารือกับเจี่ยเจิ้ง เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า
“เจ้าเตือนข้ามาก็ดีแล้ว เช่นนั้นเอาตามนี้”
แล้วให้คนไปตามเจี่ยเหลียน
เจี่ยเหลียนกำลังกินข้าวอยู่กับพี่เฟิ่ง พอมีคนมาตามก็วางชามข้าวจะลุกเดินไปหา พี่เฟิ่งฉวยมือไว้ ยิ้มว่า
“รอเดี๋ยว ฟังข้าก่อน หากเป็นเรื่องอื่นก็แล้วไป แต่หากเป็นเรื่องสามเณรกับนักพรตน้อย ท่านทำตามที่ข้าว่า”
แล้วก็บอกเรื่องที่จะให้ช่วยพูด
เจี่ยเหลียนสั่นหัวยิ้มว่า “ข้าไม่สนใจ เจ้ามีปัญญาก็ไปพูดเอง”
พี่เฟิ่งชันคอตั้งตรงวางตะเกียบลง แสยะยิ้มมองเจี่ยเหลียนว่า
“ท่านพูดจริงหรือพูดเล่น”
เจี่ยเหลียนยิ้มว่า “หยุนเอ๋อ 芸儿 ลูกชายซ้อห้าที่ระเบียงตะวันตกมาขอข้าสองสามเที่ยวแล้ว ขอดูแลงานนี้ ข้ารับปากไปแล้วบอกให้รอ อยู่ๆ เจ้าจะมาตัดหน้าไปง่ายๆ ได้หรือ”
พี่เฟิ่งยิ้มว่า “ท่านวางใจ ท่านแม่เปรยๆ อยู่ว่า จะให้ปลูกต้นสนต้นไป่ในสวนหัวมุมตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้หอยังจะให้ปลูกไม้ดอกไม้พุ่ม รอท่านอนุมัติ ข้ารับรองว่าจะให้หยุนเอ๋อรับงานนี้”
เจี่ยเหลียนว่า “เช่นนั้นก็ได้”
แล้วยิ้มลดเสียงกระซิบว่า
“ข้าถามหน่อย เมื่อคืนข้าจะเปลี่ยนท่า ทำไมเจ้าต้องกระบิดกระบวนด้วย”
พี่เฟิ่งฟังแล้วหน้าแดงว่า “เชอะ” หัวเราะแล้วครางในลำคอ ก้มหน้ากินข้าวต่อ
เจี่ยเหลียนจึงเดินจากไป พอพบเจี่ยเจิ้ง เจี่ยเจิ้งก็พูดถึงเรื่องสามเณรกับนักพรตน้อยตามคาด เจี่ยเหลียนจึงพูดตามที่พี่เฟิ่งบอกว่า
“ฉินเอ๋อ 芹儿 ดูท่าทีมีแวว งานนี้มอบหมายให้เขาทำ จัดการตามระเบียบ เบิกเงินเดือนละครั้งก็ใช้ได้แล้ว”
เจี่ยเจิ้งไม่ค่อยใส่ใจเรื่องปลีกย่อย ฟังเจี่ยเหลียนว่าก็ตกลงตามนั้น
เจี่ยเหลียนกลับมาบอกพี่เฟิ่ง พี่เฟิ่งให้คนไปแจ้งข่าวนางหยางสื้อ เจี่ยฉินจึงมาพบเพื่อขอบคุณเจี่ยเหลียนสามีภรรยา พี่เฟิ่งแสดงน้ำใจโดยให้เบิกเงินล่วงหน้าไปได้สามเดือน ให้เขียนใบเบิก เจี่ยเหลียนวาดตราประทับ แล้วจ่ายป้ายประกบตุ้ยไผ 对牌 ให้ไปเบิกที่คลัง ได้เงินสดมาสามร้อยตำลึง เจี่ยฉินหยิบเงินก้อนหนึ่งมอบให้คนดูแลตาชั่งบอกว่าเป็น “ค่าน้ำชา” แล้วนำเงินกลับไปหารือกับแม่ที่บ้าน
เจี่ยฉินว่าจ้างรถจำนวนหนึ่งไปรอที่ประตูข้างของจวนหยง แล้วตามพวกนักบวชน้อยทั้งยี่สิบสี่รูปมาขึ้นรถไปส่งยังวัดลูกกรงเหล็กนอกเมือง
กล่าวถึงหยวนกุ้ยเฟยตรวจ 《นิราศสุทัศนอุทยาน》 อยู่ในวัง นึกถึงทัศนียภาพของอุทยาน พลันคิดว่าหลังจากตนกลับมาแล้ว เจี่ยเจิ้งคงปิดตายอุทยานไม่ให้ใครเข้าไปอีก นับว่าน่าเสียดาย พวกพี่น้องสตรีในบ้านก็นับว่ามีความสามารถเชิงกวี ควรให้พวกนางได้ไปอาศัยอยู่ในนั้น ชื่นชมพืชพรรณไม้ที่สู้อุตส่าห์ปลูกไว้ไม่เสียเปล่า
ยังมีเป่าวี่ที่เติบโตมาท่ามกลางพวกนาง นิสัยแตกต่างจากพี่น้องบุรุษอื่น ก็ควรให้เข้าไปอยู่ด้วย หากปล่อยไว้ข้างนอกโดยลำพัง แม่เฒ่าเจี่ยกับหวางฮูหยินคงไม่พอใจ คิดแล้วจึงให้ขันทีเซี่ยจง 夏忠 นำบัญชาไปยังจวนหยงว่า
“อย่าได้ปิดอุทยาน ให้พวกเป่าไชได้เข้าไปอาศัย อีกทั้งให้เป่าวี่ได้เข้าออกอุทยานร่วมทำการศึกษา”
เจี่ยเจิ้งกับหวางฮูหยินรับพระบัญชา พอขันทีเซี่ยจงกลับไปแล้ว ก็มาแจ้งแม่เฒ่าเจี่ยให้ส่งคนเข้าไปปัดกวาดจัดเตรียมสถานที่
ผู้อื่นได้ข่าวยังคงเฉย มีเพียงเป่าวี่ที่ลิงโลดออกนอกหน้า มาคอยรบเร้าแม่เฒ่าเจี่ยว่าอยากได้สิ่งนั้น อยากได้สิ่งนี้ พลันมีสาวใช้มาแจ้งว่า
“นายท่านขอให้เป่าวี่ไปพบ”
เป่าวี่นิ่งอึ้งไปครึ่งวัน สีหน้าสลดลงเกาะแม่เฒ่าเจี่ยบิดไปบิดมา เป็นตายไม่ยอมไปพบ แม่เฒ่าเจี่ยจึงปลอบว่า
“หลานรัก เจ้าไปเถิด ข้าอยู่นี่ เขาไม่ทำอะไรเจ้าหรอก คงเป็นที่เจ้าเขียนบทความได้ดี กุ้ยเฟยอนุญาตให้เจ้าเข้าไปอยู่ในอุทยาน เขาจึงอยากสั่งความเจ้าไม่ให้เข้าไปซุกซน เขาว่าอย่างไร เจ้าก็ตอบรับคงไม่มีอะไร”
แล้วก็เรียกหม่อมอสองนางมากำชับว่า
“พวกเจ้าไปกับเป่าวี่ อย่าให้พ่อเขาขู่เอา”
หม่อมอเฒ่ารับคำ เป่าวี่จึงค่อยๆ เดินมา แต่ละก้าวย่างเท้าไม่ถึงสามนิ้ว
เจี่ยเจิ้งกับหวางฮูหยินนั่งคุยกันอยู่ในห้อง หน้าห้องมีพวกสาวใช้ จินช่วนเอ๋อ 金钏儿 ไฉ่หยุน 彩云 สิ้วหลวน 绣鸾 สิ้วเฟิ่ง 绣凤 ยืนกันอยู่ใต้ชายคาระเบียง พอเห็นเป่าวี่มา ก็พากันเม้มปากหัวเราะ
จินช่วนเอ๋อดึงตัวเป่าวี่ไว้พูดเสียงต่ำว่า
“ปากข้าเพิ่งทาชาดทั้งหอมทั้งหวาน ท่านจะลองชิมดูไหม”
ไฉ่หยุนผลักจินช่วนเอ๋อออกไป ยิ้มว่า
“คนเขาใจคอไม่ดีอยู่ เจ้ายังมากวนเขา ตอนนี้นายท่านอารมณ์ดี ท่านรีบเข้าไปเถิด”
เป่าวี่ก้าวเข้าประตูไป เจี่ยเจิ้งกับหวางฮูหยินอยู่ห้องด้านในถัดไปอีก น้าหญิงเจ้า 赵姨娘 แหวกม่านให้ เป่าวี่เอียงตัวเดินเข้าไปเห็นเจี่ยเจิ้งกับหวางฮูหยินนั่งหันหน้าหากันคุยกันอยู่บนเตียงผิง บนพื้นมีเก้าอี้อยู่แถวหนึ่ง หยิงชุน ทั่นชุน ซีชุน เจี่ยหวน สี่คนนั่งอยู่ด้วย พอเห็นเป่าวี่เข้ามา ทั่นชุน ซีชุน เจี่ยหวนก็พากันลุกขึ้น
เจี่ยเจิ้งเหลือบตาขึ้นมองเป่าวี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า เห็นรูปร่างงามสง่าสะดุดตา พอหันมาดูเจี่ยหวน รูปร่างเตี้ยหยาบกร้านไม่ชวนมอง พลันคิดถึงเจี่ยจู 贾珠 (เจี่ยจู พี่ชายคนโตของเป่าวี่ พ่อของเจี่ยหลาน ป่วยตายไปก่อนหน้า) แล้วหันมามองหวางฮูหยิน ตอนนี้ก็เหลือบุตรชายที่นางให้กำเนิดอยู่เพียงคนเดียวนี้ จึงได้รักดังแก้วตา มาคิดถึงตัวเอง บัดนี้หนวดเคราก็หงอกขาวแล้ว ปกติตนมักเข้มงวดดุว่าเป่าวี่อยู่ทุกวี่วัน ตอนนี้จึงรู้สึกผ่อนคลายลงแปดเก้าส่วน นิ่งคิดอยู่ครึ่งวันจึงกล่าวว่า
“กุ้ยเฟยทรงดำริว่า เจ้าเตร็ดเตร่อยู่ภายนอกทั้งวันอาจเกียจคร้านการเรียน จึงจำกัดบริเวณเจ้าให้เข้าไปร่วมเรียนกับพวกพี่สาวน้องสาวของเจ้าในอุทยาน เจ้าต้องตั้งใจศึกษา อย่าได้ปล่อยปละละเลยอย่างเคย”
เป่าวี่รัวลิ้นรับคำ “ขอรับ”
หวางฮูหยินดึงเป่าวี่ไปนั่งข้างตัว น้องทั้งสามจึงค่อยนั่งลงดังเดิม หวางฮูหยินเอามือลูบคอเป่าวี่ถามว่า
“ยาเม็ดก่อนหน้านี้ กินหมดหรือยัง”
เป่าวี่ตอบว่า “ยังเหลืออีกหนึ่งเม็ด”
หวางฮูหยินว่า “พรุ่งนี้เอาไปอีกสิบเม็ด ทุกวันก่อนนอน ให้สีเหยินจัดให้เจ้ากินแล้วค่อยเข้านอน”
เป่าวี่ว่า “เหล่าไท่ไท่กำชับไว้ สีเหยินจัดให้ข้ากินก่อนนอนทุกวัน”
เจี่ยเจิ้งถามว่า “ใครคือ สีเหยิน”
หวางฮูหยินว่า “เป็นสาวใช้”
เจี่ยเจิ้งว่า “สาวใช้จะเรียกอะไรก็เรียกไป ใครตั้งชื่อให้พิลึกเช่นนี้”
หวางฮูหยินเห็นเจี่ยเจิ้งไม่พอใจ จึงช่วยเป่าวี่กลบเกลื่อนว่า
“เหล่าไท่ไท่เป็นคนตั้ง”
เจี่ยเจิ้งว่า “เหล่าไท่ไท่ไม่รู้จักคำพวกนี้ ต้องเป็นเป่าวี่”
เป่าวี่เห็นว่าปิดไม่มิด จึงลุกขึ้นกล่าวว่า
“วันก่อนนั้น ข้าอ่านบทกวีเขียนไว้ว่า  
“花气袭人知昼暖 สุคนธามาลัยแทงใจสื่อไออุ่น” นางแซ่ฮวา 花 (มาลัย) ข้าจึงตั้งชื่อนาง สีเหยิน 袭人 (แทงใจ) จากบทกวี”
หวางฮูหยินว่า “เจ้ากลับไปเปลี่ยนชื่อเสีย อย่าให้นายท่านขัดใจด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้”
เจี่ยเจิ้งว่า “อันที่จริงก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเปลี่ยน เพียงแต่นี่แสดงว่าเป่าวี่เรื่องจริงจังไม่ใส่ใจ มัวหมกมุ่นบทกวีประโลมโลก”
แล้วแผดเสียงตวาดว่า
“เดรัจฉานไม่อาไหน ยังไม่ไปอีก”
หวางฮูหยินรีบบอกเป่าวี่ว่า “ไป ไป เหล่าไท่ไท่รอกินข้าวอยู่”
เป่าวี่ค่อยค่อยถอยออกมาจากห้อง หันมายิ้มแล้วแลบลิ้นให้จินช่วนเอ๋อ ก่อนจะนำสองเหล่าหม่อมอแวบหายไปดังควัน พอมาถึงโถงระเบียง เห็นสีเหยินยืนพิงประตูอยู่ พอเห็นเป่าวี่รอดปลอดภัยกลับมา ก็ยิ้มแล้วยิ้มอีกถามว่า
“เรียกท่านไปทำไม”
เป่าวี่ว่า “ไม่มีอะไร กลัวข้าจะไปซุกซนในอุทยาน จึงเรียกไปกำชับ”
พูดไปเดินไป จนมาพบแม่เฒ่าเจี่ยแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
พอเห็นไต้วี่มานั่งอยู่ด้วย เป่าวี่ก็ถามว่า
“เจ้าจะเลือกไปอยู่เรือนไหน”
ไต้วี่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ พอเป่าวี่ถาม จึงยิ้มว่า
“ข้ากำลังคิดถึงเรือนเซียวเซียง 潇湘馆 ข้าชอบทิวไผ่ที่บังแนวรั้วคดเคี้ยวที่นั่น ดูสงบร่มรื่นกว่าที่อื่น”
เป่าวี่ปรบมือยิ้มว่า “ตรงใจข้า ข้ากำลังจะบอกเจ้าให้เลือกที่นี่อยู่ ข้าเองจะเลือกลานชื่นแดง 怡红院 (หยีหงย่วน) พวกเราจะได้อยู่ใกล้กัน สวยและสงบทั้งสองแห่ง”
เจี่ยเจิ้งส่งคนมาแจ้งแม่เฒ่าเจี่ยว่า
“วันที่ยี่สิบสองเดือนสองเป็นวันดี ให้พวกเด็กๆ ย้ายเข้าอุทยานในวันนั้น ระหว่างนี้ขอให้จัดคนเข้าไปเก็บกวาดตระเตรียม”
เป่าไชอยู่ ลานขิงหอม 蘅芜院 (เหิงหวูย่วน)
ไต้วี่อยู่ เรือนเซียวเซียง 潇湘馆 (เซียวเซียงก่วน)
หยิงชุนอยู่ หอแพรปัก 缀锦楼 (จุ้ยจิ่นโหลว)
ทั่นชุนอยู่ เรือนสารทภิรมย์ 秋爽斋 (ชิวส่วงไจ)
ซีชุนอยู่ ศาลาลมสารท 蓼风轩 (เหลี่ยวเฟิงเซวียน)
หลี่หวานอยู่ บ้านข้าวหอม 稻香村 (เต้าเซียงชุน)
เป่าวี่อยู่ ลานชื่นแดง 怡红院 (หยีหงย่วน)
แต่ละคนมีแม่นมเหล่าหม่อมอ 老嬷嬷 สองคน สาวใช้สี่คน นอกจากแม่นมและสาวใช้ ยังมีบ่าวไพร่คอยปัดกวาดเช็ดถู พอถึงวันที่ยี่สิบสอง ย้ายเข้าไปพร้อมกัน ต้นไม้ใบหญ้าในอุทยานจึงมีชีวิตชีวาไม่เงียบเหงาดังก่อน
หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ในอุทยานแล้ว เป่าวี่พึงใจยิ่งนักดูเสมือนไม่ต้องการสิ่งใดในโลกอีก แต่ละวันอยู่ร่วมกับพี่น้องสาวและสาวใช้ อ่านหนังสือเขียนอักษร ดีดพิณเล่นหมากรุก วาดภาพร่ายบทกวี วาดนกปักหงส์ เด็ดดมชมมาลี ขับกลอนร้องเพลง บอกใบ้ทายคำ สุขใจยิ่งนัก จึงกล้อมแกล้มแต่งกลอนรำพึงสี่ฤดูเอาไว้
《รำพึงวสันต์ราตรี 春夜即事》
霞绡云幄任铺陈,隔巷蟆更听未真。
枕上轻寒窗外雨,眼前春色梦中人。
盈盈烛泪因谁泣,点点花愁为我嗔。
自是小鬟娇懒惯,拥衾不耐笑言频。
มุ้งบางแดงแสงสางจัดปูกาง
ซอยข้างแว่วเสียงเกราะยามหกเคาะ
หมอนยังเย็นนอกหน้าต่างฝนแปะเปาะ
ฤๅวัยเยาว์เฉพาะหน้าเพียงฝันไป
น้ำตาเทียนพรากไหลเพื่อใครกัน
มาลีโศกศัลย์โกรธกันหรือไฉน
น้องน้อยคอยแง่งอนตามแต่ใจ
ห่มผ้าไว้ไม่วายยิ้มยินข้างหู
(สมัยซ่ง หมิง ชิงตอนต้น ยามหกเช้ามีชื่อเรียกว่า ยามหามา 虾蟆更 (หามาเกิง) ย่อว่า 蟆更 สมัยหลังไม่เรียกยามหกกันแล้ว ; หามา 虾蟆 คือคางคก จึงตีความได้อีกว่า เสียงเคาะเกราะยามเหมือนเสียงคางคกร้อง ประกอบกับหมอนยังเย็น จึงสรุปว่ากวียังไม่เข้านอนแม้เช้าแล้ว)
《รำพึงคิมหันต์ราตรี 夏夜即事》
倦绣佳人幽梦长,金笼鹦鹉唤茶汤。
窗明麝月开宫镜,室霭檀云品御香。
琥珀杯倾荷露滑,玻璃槛纳柳风凉。
水亭处处齐纨动,帘卷朱楼罢晚妆。
หน่ายเย็บปักคนงามนอนหลับฝัน
ชิมชากันนกแก้วในกรงทองขาน
แสงคันฉ่องส่องบัญชรดังจันทร์ตระการ
ควันกำยานฟุ้งห้องหอจรุงใจ
จอกอำพันหอมเมรัยค้างใบบัว
ลูกกรงรั้วแก้ว หลิ่วล้อลมไหว
ศาลาวารี พลิ้วไหมขาว สาวสวมใส่
ม้วนม่านไว้ลบแต่งหน้าในราตรี
(齐纨 (ฉีหวาน) ชุดผ้าไหมบางสีขาวเป็นที่นิยมของเหล่าสตรีในดินแดนฉี)
ตอนก่อนหน้า : ทายปริศนาโคม
ตอนถัดไป : วรรณกรรมประโลมโลก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา