13 พ.ย. เวลา 09:28 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 45 วรรณกรรมประโลมโลก

《รำพึงสารทราตรี 秋夜即事》
绛芸轩里绝喧哗,桂魄流光浸茜纱。
苔锁石纹容睡鹤,井飘桐露湿栖鸦。
抱衾婢至舒金凤,倚槛人归落翠花。
静夜不眠因酒渴,沉烟重拨索烹茶。
ศาลาหยุนแดงสุขสบายไม่วายวุ่น
แขละมุนอาบผ้าสีที่หน้าต่าง
มอสนุ่มคลุมศิลา กระเรียนมาพักค้าง
ถงข้างสระหยดน้ำรดกาเปียกปอน
สาวหอบผ้าห่มมามีลายหงส์
พิงลูกกรงทิ้งบุปผาแซมผมร่อน
กระหายสุราราตรีไม่รู้นอน
น้ำยังร้อนชงชามาบรรเทา
(ศาลาหยุนแดง 绛芸轩 (เจี้ยงหยุนเซวียน) ที่พักเดิมของเป่าวี่)
《รำพึงเหมันต์ราตรี 冬夜即事》
梅魂竹梦已三更,锦罽鷞衾睡未成。
松影一庭唯见鹤,梨花满地不闻莺。
女儿翠袖诗怀冷,公子金貂酒力轻。
却喜侍儿知试茗,扫将新雪及时烹。
ยามสามแล้วเหมยหลับไหลไผ่สู่ฝัน
แต่ฉันยังตื่นใต้ผ้าห่มบุขนห่าน
ใต้เงาสนฝูงกระเรียนอยู่เต็มลาน
ขาดนกขานแม้กลีบสาลี่เกลื่อนพสุธา
สาวขุดเขียวหนาวเกินขับกาพย์กลอน
คุณชายชุดเพียงพอน คออ่อนเชิงสุรา
ยังดีที่สาวใช้รู้ในวิธีชิมชา
หิมะแรกโปรยมาชงชาชวนชิม
(鷞 นกน้ำชนิดหนึ่ง นำขนมาบุที่นอน)
(梨花 ดอกสาลี่มีสีขาว ในฤดูหนาวไม่มีดอกสาลี่บาน และนกร้องขับขาน กลีบดอกสาลี่ที่ร่วงเต็มพื้นคือเกล็ดหิมะ)
(สาวใช้ในชุดเขียว 女儿翠袖 เล่าขานว่า สาวใช้ในชุดเขียวของเจิ้งคังเฉิง 郑康成 สมัยฮั่น ทุกคนเก่งกาพย์กลอน)
(ทดสอบชา 试茗 การดื่มชาเป็นศิลปะ ชนิดของชาและน้ำ อุณหภูมิและเวลาประกอบกัน จึงใช้คำว่า 试 ทดสอบ ; 茗 คือชา)
บทกวีรำพึงสี่ฤดูของเป่าวี่นี้ มีผู้แสวงหาผลประโยชน์เห็นว่าเป็นผลงานของคุณชายอายุสิบสองสิบสามปีแห่งจวนหยง จึงคัดลอกออกไปแสวงหาผลประโยชน์ หนุ่มเสเพลบางคนชื่นชอบสำนวนจึงคัดลอกไว้บนพัดหรือบนผนัง ท่องสู่กันฟังติดหูจนมีคนพากันมาเสาะหาบทกวีลายอักษรภาพเขียนและบทความ เป่าวี่ภาคภูมิใจ วันวันวุ่นวายกับเรื่องนี้
เป่าวี่อยู่อย่างสุขสบายในอุทยานนานวันเข้า สงบเกินไปไม่เป็นสุข วันหนึ่งพลันเกิดหงุดหงิด นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ ขัดใจทุกสิ่งอย่าง พวกสาวสาวในอุทยานเหมือนอยู่พ้นโลก ย่อมไม่เข้าใจความคิดเป่าวี่ที่หงุดหงิดเพราะติดอยู่ในอุทยาน ต้องการจะออกไปซุกซนภายนอก
หมิงเอียน 茗烟 คนสนิทเห็นดังนี้ อยากเอาใจเป่าวี่ คิดไปคิดมา ทุกอย่างเป่าวี่ก็เล่นจนเบื่อแล้ว ยังคงมีอีกอย่างที่ยังไม่ลอง จึงไปยังร้านหนังสือซื้อหนังสือนิยายประโลมโลกทั้งเก่าใหม่ เช่นเรื่องลับของเจ้าเฟยเอี้ยน 赵飞燕 เจ้าเหอเต๋อ 赵合德 อู่เจ๋อเทียน 武则天 หยางวี่หวน 杨玉环 สาวงามในประวัติศาสตร์ และเรื่องประเภทนี้อีกมากมายมาให้เป่าวี่ เป่าวี่ดีใจเหมือนได้แก้ว แต่หมิงเอียนว่า
“ห้ามนำเข้าไปไว้ในอุทยาน ใครเห็นแล้วเป็นเรื่อง ข้าคงรับไว้ไม่ไหว”
เป่าวี่มีหรือจะยอมฟัง ลังเลอยู่ครู่ ก็เลือกเอาที่เนื้อหาละมุนละไมหน่อยเอาไว้ที่หัวเตียงไว้อ่านตอนไม่มีใครเห็น ส่วนที่หยาบโลนนัก แอบเก็บไว้ที่ห้องหนังสือนอกอุทยาน
วันหนึ่งกลางเดือนสาม หลังอาหารเช้า เป่าวี่หยิบเอาหนังสือเรื่อง 《บันทึกพบนางฟ้า 会真记》 ไปนั่งอ่านใต้ต้นท้อเชิงสะพานประตูน้ำหอมซาบซ่าน 沁芳闸 (ชิ่นฟางจ๋า)
(บันทึกพบนางฟ้า 会真记 เขียนขึ้นสมัยถังเรียก อิงอิงจ้วน 莺莺传 มีบทกวีว่าด้วยพบนางฟ้าจึงเรียก บันทึกพบนางฟ้า นับจากสมัยหยวนมาเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น บันทึกหอตะวันตก 西厢记 คือเรื่องเดียวกัน)
พออ่านถึงตอน “กลีบแดงร่วงเป็นหอบ 落红成阵” ลมพลันพัดมาหอบใหญ่ ดอกท้อร่วงคลุมแดงทั่วทั้งตัวทั้งหนังสือและเกลื่อนพื้น เป่าวี่ปัดออกแล้วกลัวย่ำกลีบดอกแหลกกับพื้น จึงกอบใส่เสื้อแล้วเอาไปทิ้งน้ำ กลีบดอกท้อลอยล่องบนผิวน้ำไหลออกนอกประตูน้ำไป
พอเดินกลับมา เห็นบนพื้นยังมีกลีบดอกท้ออีกจำนวนมาก รีรีรอรออยู่พลันได้ยินเสียงคนด้านหลังว่า
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เป่าวี่หันมาดูพบว่าเป็นไต้วี่คอนจอบดอกไม้ 花锄 ไว้บนบ่า บนจอบแขวนถุงผ้า อีกมือถือไม้กวาด เป่าวี่ยิ้มว่า
“มาได้จังหวะพอดี เจ้าช่วยกวาดเอากลีบดอกไม้พวกนี้ไปทิ้งน้ำที”
ไต้วี่ว่า “ทิ้งน้ำไม่ได้ น้ำที่นี่ใสสะอาด พอไหลออกไปข้างน้อยก็มีบ้านคน กลีบดอกไม้ไปรกที่นั่นคงถูกย่ำแหลกเช่นกัน ข้าขุดหลุมฝังดอกไม้ไว้ที่หัวมุมโน่น เรากวาดใส่ถุงผ้านี่ไปทิ้งที่นั่น นานวันเข้ากลีบดอกก็สลายตัวเอง ไม่หมดจดกว่าหรือ”
เป่าวี่ฟังแล้วยิ้มไม่หุบว่า “ข้าเก็บหนังสือ แล้วมาช่วยเจ้า”
ไต้วี่ว่า “หนังสืออะไร”
เป่าวี่พอได้ยินถาม ร้อนใจรีบซ่อนแล้วว่า
“แบบเรียน 《ทางสายกลาง 中庸 จงยง》《มหาศาสตร์ 大学 ต้าเสวีย》”
ไต้วี่ว่า “ไม่ต้องมาหลอกข้า เอามาให้ดูเสียดีดี”
เป่าวี่ว่า “น้องสาว สำหรับเจ้าข้าไม่กลัวหรอก เจ้าเห็นแล้วห้ามเอาไปบอกคนอื่น เป็นหนังสือดีจริงๆ เจ้าอ่านแล้ววางไม่ลง ข้าวยังไม่อยากกิน”
แล้วส่งหนังสือให้ไต้วี่ดู
ไต้วี่วางจอบและไม้กวาด รับหนังสือมาพลิกดูจากต้นจนจบ ยิ่งอ่านยิ่งชอบ ไม่ถึงชั่วมื้อข้าว อ่านจบทั้งสิบหกตอน รู้สึกว่าวาทศิลป์กินใจนัก หอมหวานดาลฤดี อ่านแล้วยังท่องจำติดใจ
เป่าวี่ถามว่า “น้องสาว เจ้าว่าดีหรือไม่”
ไต้วี่ผงกศีรษะยิ้มรับ
เป่าวี่เลียนคำในบันทึกหอตะวันตกว่า
“ร่างกายข้าอมโรคและโศกศัลย์ 多愁多病的身
ส่วนเจ้านั้น โฉมสคราญล่มบ้านเมือง 倾国倾城的貌”
ไต้วี่ฟังแล้วอดไม่ได้หน้าแดงถึงใบหู สองคิ้วตั้งชันจะขมวดก็มิใช่ สองตาจะจ้องก็มิเชิง ใบหน้าแดงแฝงแววโกรธ ชี้เป่าวี่ว่า
“เจ้านี่สมควรตาย พูดจาเหลวไหล อยู่ดีไม่ว่าดี เอาบทกวีประโลมโลกมาให้อ่าน กล่าววาจาน่าอับอายเหยียดหยามข้า ข้าจะฟ้องท่านน้าชาย น้าหญิง”
พอกล่าวคำว่า “เหยียดหยาม” ขอบตานางก็แดง หันหลังเดินหนี เป่าวี่รีบดักหน้าเอาไว้ว่า
“น้องคนดี เมตตาละเว้นข้าเถิด หากข้ามีเจตนาเหยียดหยามเจ้าจริง พรุ่งนี้ขอให้ตกน้ำถูกตะพาบยักษ์ 鼋 คาบไปกินกลายเป็นเต่าใหญ่ 大忘八 รอวันเจ้าได้เป็น “คุณหญิงชั้นที่หนึ่ง” ถึงแก่ชราภาพกลับสรวงสวรรค์ ข้าจะช่วยเจ้าแบกป้ายสุสานไปชั่วกัลป์”
ไต้วี่ได้ฟังหัวเราะคิกคัก มือหนึ่งขยี้ตาแล้วยิ้มว่า
“ถูกขู่จนหงอปานนี้ยังมีหน้ามาเหลวไหล เจ้าเป็นเพียง
ต้นกล้าที่ไม่ออกผล 苗而不秀
ดีบุกเลียนหัวทวนเงิน 银样镴枪头 (ท่าดีทีเหลว)”
เป่าวี่ยิ้มว่า “เจ้ายังมาว่าข้า ข้าจะไปฟ้องเหมือนกัน”
ไต้วี่ยิ้มว่า “เจ้าคุยนักว่าเจ้าเพียงผ่านตาก็ท่องได้ ข้าก็พอผ่านตาสามารถจำได้สิบแถว”
เป่าวี่เก็บหนังสือขึ้นแล้วยิ้มว่า
“เอาละ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นแล้ว รีบเอาดอกไม้ไปฝังกัน”
เพิ่งฝังดอกไม้เสร็จ สีเหยินก็เดินมาว่า
“หาที่ไหนก็ไม่พบ มาอยู่กันที่นี่เอง ท่านนายใหญ่ฝั่งโน้นไม่สบาย พวกคุณหนูข้ามไปเยี่ยมกันหมดแล้ว เหล่าไท่ไท่ให้มาตามท่านไปด้วย รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”
เป่าวี่รีบเก็บหนังสือ บอกลาไต้วี่ แล้วตามสีเหยินกลับห้องมาเปลี่ยนชุด
เป่าวี่ไปแล้ว พวกสาวสาวก็ไปกันหมด เหลือไต้วี่อยู่ลำพัง คิดจะกลับห้อง พอผ่านหัวมุมกำแพงลานหอมสาลี่ 梨香院 ได้ยินเสียงซ้อมดนตรีหวานเจื้อยแจ้วมาจากหลังกำแพง ไต้วี่รู้ว่าเป็นการซ้อมของสิบสองสาวนักแสดง แม้จะไม่ตั้งใจฟัง แต่สองวรรคชัดเจนเข้าหูไม่ตกหล่นสักคำว่า
“原来是姹紫嫣红开遍,
似这般都付与断井颓垣。
เป็นบุปผางามแย้มไร้ใครเชย
กระไรเลยดังกำแพงแลงปรัก”
เป็นท่อนหนึ่งจากเรื่อง 《ศาลาโบตั๋น 牡丹亭》 ไต้วี่ฟังแล้วสะเทือนอารมณ์ จึงหยุดเท้าเงี่ยหูตั้งใจฟังเสียงเพลงร้องต่อว่า
“良辰美景奈何天,
赏心乐事谁家院。
ทัศนียภาพตระการงามยิ่งนัก
เก็บกักไว้ในลานให้ใครชม”
ฟังสองวรรคหลังแล้ว ไต้วี่ต้องก้มหน้าทอดถอนใจ คิดในใจว่า
“ที่แท้ละครก็มีบทความงามเช่นนี้ เสียดายที่ผู้ชมเพียงดูสนุกแต่อาจไม่ซาบซึ้งความหมาย”
คิดแล้วก็เสียใจไม่น่าฟุ้งซ่านทำให้ฟังสะดุด จึงฟังต่อ เพลงร้องว่า
“则为你如花美眷,似水流年……
แม้เธอจะงดงามปานมาลี
หากเดือนปีดังวารีรี่ไหล……”
สองวรรคนี้ทำให้ไต้วี่หวั่นไหว ถัดไปยังมีว่า
“你在幽闺自怜
เจ้าอยู่ในเรือนเหงาเศร้าหัวใจ”
ฟังแล้วยืนไม่อยู่ต้องนั่งลงบนหินริมผา ตรองคำที่ว่า “แม้งดงามปานมาลี หากเดือนปีดังวารี”
พลันนึกถึงบทกวีที่อ่านวันก่อนว่า
“水流花谢两无情
วารีไหลดอกไม้โรยต่างไร้ใจ”
ยังมีบทอื่นว่า
“流水落花春去也,天上人间
สายน้ำไหลดอกไม้ร่วงล่วงวสันต์
ช่างต่างกันดังสวรรค์แลพิภพ”
และยังมีที่เพิ่งอ่านใน 《บันทึกหอตะวันตก 西厢记》 ว่า
“花落水流红,闲愁万种
วารีรี่แดงด้วยกลีบมาลีร่วง
ลอยทั้งปวงพันหมื่นทุกข์ขื่นขม”
ตรองรวมกันแล้วพลันเจ็บปวดใจ อดไม่ได้ต้องหลั่งน้ำตา
พลันมีใครเดินมาตบหลังทักว่า
“ท่านมาทำอะไรที่นี่คนเดียว”
(จบบทที่ยี่สิบสาม)
ไต้วี่สะดุ้งตกใจหันกลับไปดูเห็นว่าเป็นเซียงหลิง 香菱 ไต้วี่จึงว่า
“เจ้าเด็กโง่นี่เอง ทะลึ่งตึงตังทำข้าตกใจ เจ้าไปที่ไหนมา”
เซียงหลิงหัวเราะคิกคักว่า
“ข้ามาหาคุณหนูของข้า แต่หาไม่เจอ จื่อเจวียน 紫鹃 ของท่านก็ตามหาท่านอยู่ เห็นว่าคุณนายรองเหลียน (พี่เฟิ่ง) ส่งใบชามาให้ ท่านควรกลับไปดู”
ว่าแล้วก็ดึงมือไต้วี่ พาลุกเดินกลับเรือนเซียวเซียง
พี่เฟิ่งส่งใบชาชั้นดีเก็บใหม่มาให้สองกระปุก ไต้วี่กับเซียงหลิงนั่งลงคุยกันเรื่องงานเย็บปักถักร้อย อันนี้ดี อันนั้นมีตำหนิ แล้วเล่นหมากล้อมกันหนึ่งกระดาน อ่านหนังสือ แล้วเซียงหลิงก็ลากลับ
ตอนก่อนหน้า : ย้ายเข้าอุทยาน
ตอนถัดไป : รู้หน้าไม่รู้ใจ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา