11 พ.ย. เวลา 04:07 • หนังสือ
ประเทศไทย

ทฤษฎีสมคบคิด ศิลปะของความกลัวและความไม่แน่นอน (psychological)

เมื่อความหวาดระแวงกลายเป็นการสร้างเรื่องราว เพื่อทำลาย “คนที่เราไม่เข้าใจ”
3
ในโลกของเราไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลลับหรือแผนการระดับโลกเพื่อให้ “ทฤษฎีสมคบคิด” เกิดขึ้นได้ —บางครั้งมันเริ่มขึ้นง่าย ๆ แค่ในกลุ่มเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือในชุมชนเล็ก ๆ ที่ผู้คนรวมตัวกันด้วยสิ่งหนึ่งเดียวคือ “ความกลัว”
1
ความกลัวในจิตใต้สำนึก: จุดเริ่มต้นของการแต่งเรื่อง
1
นักจิตวิทยาอย่าง Sigmund Freud เคยกล่าวว่า “สิ่งที่เรากลัว มักสะท้อนสิ่งที่เราปฏิเสธในตัวเอง”
เมื่อคนบางกลุ่มพบเจอบุคคลที่ มีความสามารถ มีพลัง หรือได้รับการยอมรับ มากกว่า พวกเขาอาจรู้สึก “ถูกคุกคามโดยไม่รู้ตัว”
ความกลัวนี้ไม่แสดงออกตรง ๆ แต่ถูกแปรรูปเป็น “การสร้างเรื่อง” เพื่อควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
จิตใต้สำนึกของคนกลุ่มนั้นจะเริ่มสร้าง “ทฤษฎีสมคบคิดขนาดย่อม” —
“เขาต้องทำอะไรบางอย่างแน่ ๆ ถึงได้ดีขนาดนั้น”
“เขาไม่จริงใจหรอก ดูสิ เขาคงมีจุดประสงค์แอบแฝง”
สิ่งเหล่านี้เป็น กระบวนการให้เหตุผลปลอม (rationalization) ที่ช่วยให้ผู้พูดรู้สึกปลอดภัย และไม่ต้องเผชิญหน้ากับความอิจฉา ความด้อยค่า หรือความกลัวในตนเอง
กลไกของ “กลุ่มคนที่สร้างเรื่อง”: พลังของความร่วมมือทางอารมณ์
ในมุมของ Social Psychology เมื่อบุคคลรู้สึกไม่มั่นคง เขาจะหากลุ่มที่คิดเหมือนกัน เพื่อยืนยันว่าความคิดของตัวเอง “ถูกต้อง”
นี่คือสิ่งที่ Henri Tajfel อธิบายใน Social Identity Theory —
การแบ่ง “เรา” กับ “เขา” ช่วยให้เรารู้สึกมีตัวตน และมีอำนาจ
กลุ่มคนที่นินทาหรือว่าร้ายใครสักคน จึงไม่ได้ทำเพราะเกลียดเพียงอย่างเดียว
แต่เพราะ มันทำให้พวกเขารู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
ความกลัวถูกแปรเป็นพลังของความผูกพัน — “เราคือคนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเขา”
1
ผลคือ เกิดวงจรของ Conspiracy in Micro-Society — ทฤษฎีสมคบคิดในระดับชีวิตประจำวัน
การนินทากลายเป็น “ศิลปะของการสร้างเรื่องเล่า” เพื่อปกป้องอัตตาของตนเอง
ศิลปะของความกลัว : มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ “ต้องการความหมาย”
เมื่อเราไม่เข้าใจใคร เรามักแต่งเรื่องให้เขามีมิติที่เรารับมือได้
นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยา Michael Shermer เรียกว่า patternicity —
สมองพยายามหาความเชื่อมโยง แม้ในสิ่งนี้ไม่มีอยู่จริง
ผู้คนที่รวมตัวกันพูดร้ายผู้อื่น มักเป็นคนที่ไม่สามารถยอมรับ “ความจริงที่ตนไม่สามารถควบคุมได้”
ดังนั้นจิตใจจึงเลือกทางลัด: สร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อให้โลกง่ายลง
เบื้องหลังบุคลิกของผู้สร้างสมคบคิดรายย่อย
จากการศึกษาเชิงจิตวิทยา (Douglas et al., 2017) พบว่า
ผู้ที่มักสร้างหรือเชื่อทฤษฎีสมคบคิด มักมีลักษณะร่วมบางอย่าง เช่น
• Self-Uncertainty สูง → ไม่มั่นใจในตัวเอง ต้องการหาผู้ร้ายภายนอกเพื่ออธิบายความรู้สึกด้อยในใจ
• External Locus of Control → เชื่อว่าทุกสิ่งในชีวิตถูกกำหนดโดยคนอื่น ไม่ใช่ตนเอง
• Need for Uniqueness → ต้องการรู้สึกว่าตัวเอง “พิเศษกว่า” หรือ “รู้มากกว่าคนทั่วไป”
• Projection → เอาความกลัว ความอิจฉา และความต้องการของตัวเอง ไปโยนใส่คนอื่น
ในระดับสังคมเล็ก ๆ คนประเภทนี้มักจะกลายเป็น “ตัวจุดไฟ” ของกลุ่ม
พูดให้ดูเหมือน “ห่วงใย” แต่จริง ๆ คือกำลังวางกรอบให้ผู้อื่นเชื่อในเรื่องแต่งของตัวเอง
เมื่อศิลปะและสังคมสะท้อนกัน: การนินทาคือภาพจำลองของทฤษฎีสมคบคิด
ศิลปะสะท้อนมนุษย์ — และมนุษย์เองก็เป็นศิลปินในการสร้าง “เรื่องราว”
ทฤษฎีสมคบคิดในวงสังคมเล็ก ๆ จึงเหมือนการแสดงเชิงศิลป์ที่ซ่อนอยู่ในชีวิตจริง
ทุกคนมีบทบาท: ผู้แต่งเรื่อง ผู้เชื่อ ผู้สงสัย และผู้ตกเป็นเป้าหมาย
แต่สิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุดคือ
ยิ่งเรื่องนั้นแพร่ไปมากเท่าไร ความจริงก็ยิ่งเลือนหาย
และในที่สุด ผู้สร้างเรื่องก็อาจกลายเป็น “เหยื่อของเรื่องเล่าของตนเอง” เพราะความกลัวไม่ได้หายไป — มันเพียงแค่เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ให้พูดถึงเท่านั้น
🪞 บทสรุป: ศิลปะแห่งความกลัวในใจคน
ทฤษฎีสมคบคิดไม่ได้อยู่ในห้องลับของรัฐบาล
แต่มันเริ่มขึ้นในวงสนทนาทั่วไป — ทุกครั้งที่เรากลัวใครบางคนมากพอ
จนต้องสร้างเรื่องเพื่อทำให้เขาดูเลวร้ายกว่าความเป็นจริง
ในมุมหนึ่ง มันคือ “ศิลปะของการควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้”
แต่ในอีกมุม มันคือ “การสูญเสียตัวตน” ของผู้ที่ปล่อยให้ความกลัวกำกับความคิดของตน
ทฤษฎีสมคบคิดคือการมองว่า “สิ่งที่เห็น” ไม่ใช่ “สิ่งที่จริง ให้เป็นจริง” — ซึ่งอาจมีอำนาจลึกลับอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกเสมอ
นักเขียน Rawroot.
#จิตวิทยาพัฒนาตนเอง #ศิลปะการใช้ชีวิต #ทฤษฎีสมคบคิด #ความรู้รอบตัว #พัฒนาตัวเอง #หนังสือน่าอ่าน #วิชาชีพ #psychological #artist
โฆษณา