3 ชั่วโมงที่แล้ว • ไลฟ์สไตล์

จดหมายฉบับสุดท้าย จาก Warren Buffett

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนจดหมายอำลาผู้ถือหุ้นของ Berkshre Hathaway ด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เป็นจดหมายที่พูดถึงสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตลาด หุ้น หรือผลตอบแทนทางการเงิน หากแต่มุ่งสะท้อน “ความหมายของชีวิต” จากคนที่เดินทางมาจนถึงปลายทางแห่งเส้นทางอาชีพในวัยเก้าสิบห้าปี
เขาเริ่มต้นด้วยการย้อนความทรงจำว่า “ตอนหนุ่ม ผมเกือบตาย” ประโยคสั้น ๆ ที่ฟังดูเหมือนเกร็ดเล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้วเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดที่สำคัญ เพราะมันทำให้เขาเข้าใจว่า เวลา คือทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต และไม่สามารถซื้อเพิ่มได้เหมือนหุ้นในตลาด ความมั่งคั่งทางการเงินอาจเพิ่มขึ้นได้ไม่สิ้นสุด แต่ความมั่งคั่งทางเวลาไม่สามารถสะสมได้เลย นั่นคือเหตุผลที่เขาเชื่อว่ามนุษย์ควรใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ทำสิ่งที่รัก และอยู่กับคนที่เคารพและไว้วางใจ มากกว่าหมกมุ่นอยู่กับราคาหุ้นหรือความสำเร็จในระยะสั้น
บัฟเฟตต์กล่าวต่อว่า “จงตัดสินใจเสียตั้งแต่วันนี้ว่าอยากให้คำไว้อาลัยของคุณกล่าวถึงอะไร แล้วใช้ชีวิตให้สมกับคำนั้น” เป็นคำแนะนำที่สะท้อนปรัชญาแบบการเริ่มต้นจากปลายทาง เป็นการคิดจากจุดจบที่เราอยากไปถึง แล้วใช้ชีวิตให้คู่ควรกับเป้าหมายนั้น เขาไม่ได้พูดถึงแค่การตายอย่างสง่างาม แต่หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายตลอดทางด้วย
ซึ่งสำหรับนักลงทุนแล้ว ประโยคนี้อาจแฝงความหมายว่า อย่าลงทุนเพียงเพื่อทำกำไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ให้คิดถึงภาพผลลัพธ์ระยะยาวในอีก 20 ปี ว่าอยากให้มันสะท้อนตัวตนแบบไหน อยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่สร้างประโยชน์อะไรให้โลก และอยากให้ชื่อของเรายืนอยู่ตรงจุดใดในวงจรระยะยาวของตลาด
ในอีกช่วงหนึ่งของจดหมาย เขาเขียนว่า “Kindness is costless but also priceless.” ความเอื้อเฟื้อไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนใดๆ แต่มีคุณค่าที่ไม่อาจประเมินได้ นี่คือหนึ่งในประโยคที่คนในเบิร์กเชียร์จดจำมากที่สุด เพราะตลอดชีวิตการทำงานของเขา บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ ความสุภาพ และความจริงใจต่อผู้คนมากกว่าความเฉียบแหลมทางการเงิน เขามองว่าผู้จัดการที่ดีที่สุดไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด แต่คือคนที่มีคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจมากที่สุด
ธุรกิจจะยืนยาวได้จึงไม่ได้วัดกันด้วยขนาดของกำไร แต่ด้วยจริยธรรมที่ถูกปลูกฝังไว้ในวัฒนธรรมองค์กร และในฐานะนักลงทุน บัฟเฟตต์เตือนเราว่าบริษัทที่มีผู้นำซื่อสัตย์และเอื้อเฟื้อ มักจะมี “คูเมืองจริยธรรม” ที่แข็งแรงกว่าบริษัทที่เติบโตด้วยความโลภหรือเล่ห์กล
ในตอนท้ายของจดหมาย เขาเล่าด้วยความเรียบง่ายว่า “ในวัยเก้าสิบห้า ผมเดินช้า อ่านหนังสือยากขึ้น แต่ยังคงไปออฟฟิศทุกวัน เพราะผมรักสิ่งที่ทำ” ประโยคเหล่านี้แสดงถึงความสุขสงบของคนที่ได้ทำสิ่งที่ตนเองรักมาตลอดทั้งชีวิต และตอนนี้ก็พร้อมจะถอยออกอย่างสง่างาม เขายอมรับว่าตัวเองถึงเวลาวางพู่กันลง หลังจากวาดภาพชีวิตอันยาวนานด้วยแรงบันดาลใจ ความซื่อสัตย์ และความสุขที่แท้จริง
สิ่งที่บัฟเฟตต์สื่อผ่านจดหมายอำลาฉบับนี้ไม่ใช่เพียงคำลาจากตำแหน่ง แต่เป็นบทสรุปของปรัชญาชีวิตทั้งชีวิต เขาเตือนเราว่าอย่าใช้ชีวิตเพื่อตัวเลขในบัญชีอย่างเดียว เพราะสุดท้ายความมั่งคั่งทางใจคือสิ่งที่คงอยู่ยาวนานกว่าทรัพย์สินเงินทอง ความกรุณาและความซื่อสัตย์คือผลตอบแทนที่ทบต้นได้จริงในระยะยาว และจงใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากให้คนพูดถึง แม้เมื่อเราไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว นี่อาจเป็น “การลงทุนสุดท้าย” ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ การลงทุนในความหมายของชีวิตนั่นเอง
โฆษณา