Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดร.น้ำใจคุยกับพ่อ
•
ติดตาม
14 พ.ย. เวลา 00:09 • สิ่งแวดล้อม
วัดพนัญเชิงวรวิหาร
บทเรียนสำคัญ จากบทสนทนาช่วงน้ำท่วมทุ่งอยุธยา (10–12 พ.ย. 2568)
ตอนที่ 12/12
สามวันที่ผ่านมาบนเฟซบุ๊กเป็นช่วงเวลาที่เข้มข้นมาก—ทั้งคำถาม ข้อสงสัย ความรู้ ความกังวล และความรู้สึกของประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
พี่ป้อมอ่านทั้งหมดด้วย “ใจที่ต้องการให้ความรู้” และ “ใจที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์” ไปพร้อมกัน
เมื่อย้อนกลับมาดูทุกบทสนทนา จึงพบว่า มีบทเรียนร่วมกันที่มีคุณค่าต่อการจัดการน้ำของประเทศไทยในอนาคต มากกว่าที่คิดไว้ตอนแรก
ต่อไปนี้คือ 9 บทเรียนที่สกัดจากประสบการณ์จริงของการตอบคอมเมนต์แบบระมัดระวังตลอดสามวันนั้น
1) เริ่มต้นที่ภาพใหญ่ก่อนเสมอ — ข้อมูลหนักแน่นช่วยให้บทสนทนาไม่หลุดประเด็น
หลายคนเริ่มต้นด้วยอารมณ์ เพราะเขาเดือดร้อนจริง
สิ่งที่ช่วยให้บทสนทนา “นิ่ง” คือการพากลับมาที่โครงสร้างระดับลุ่มน้ำ upstream–midstream–downstream และการไหลของฝนจากฟ้าลงสู่แม่น้ำ
เมื่อทุกคนเห็นภาพเดียวกัน ความเข้าใจร่วมก็เริ่มต้นทันที
2) งานภาคสนาม + งานอธิบาย = งานนโยบายที่ดี
ฝน–น้ำ–ปริมาณไหลเข้าเขื่อนคือ “ธรรมชาติ”
แต่การตัดสินใจพร่องน้ำ–เก็บน้ำคือ “มนุษย์”
การอธิบายให้ชัดว่าอะไรคือปัจจัยธรรมชาติ และอะไรคือการตัดสินใจเชิงนโยบาย ช่วยลดความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมาก
2
3) การเปิดข้อมูล “ที่ซ่อนอยู่” คือกุญแจของการคลี่คลายความสงสัย
หลายคนถามว่า
“ฝนตกไกลขนาดนั้น มาอยุธยาได้ยังไง?”
“ทำไมพร่องน้ำช้า?”
ทุกคำถามตอบได้ด้วยข้อมูล — ปริมาณน้ำเข้าเขื่อนรายวัน, hydrograph, routing, การคาดการณ์ฝน
เมื่อข้อมูลปรากฏ ความสงสัยลดลงทันที
4) ความสุภาพช่วยให้ “เพื่อนใหม่” เกิดขึ้นได้จริง
แม้บางคอมเมนต์จะมาแบบร้อนแรง แต่เมื่อพี่ป้อมตอบด้วยเหตุผล + ใจเย็น เขากลับมาตอบด้วยความเคารพ
นี่คือพลังของการสื่อสารเชิงบวกที่ทำให้แตกต่างจากการถกเถียงทั่วไปบนโลกออนไลน์
5) กฎหมายจะดีได้ ต้องทำให้ “ระบบพร้อมกันทั้งแผง”
การพูดถึง พ.ร.บ. น้ำ พ.ศ. 2561 หรือบทบาทของ สทนช. ทำให้เห็นความจริงว่า
กฎหมายดีอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีระบบ–โครงสร้าง–ข้อมูล–บุคลากร ที่ทำงานประสานกันได้
นี่คือบทเรียนใหญ่ที่คนจำนวนมากเพิ่งมองเห็นในช่วงน้ำท่วมครั้งนี้
6) ต้องเลิกคิดแบบ “หน้าที่–พื้นที่” ที่ซ้ำซ้อน
หลายคนเปิดใจทันทีเมื่อพี่ป้อมอธิบายว่า
ปัญหาน้ำท่วมวันนี้ส่วนหนึ่งเกิดจาก “โครงสร้างสถาบัน” ที่แบ่งงานตามหน่วยราชการ มากกว่าตามความเป็นจริงของน้ำ
การคิดแบบ Function-Based Clusters (FBC) คือทางออกที่ชัดที่สุด—แม้จะต้องใช้เวลา แต่ต้องเริ่มอธิบายตั้งแต่วันนี้
7) เสียงจากพื้นที่ = ฐานข้อมูลสำคัญที่สุด
ชาวบ้านรู้ว่าฝนเริ่มตกวันไหน
รู้ว่าน้ำล้นเวลานั้น–ตำแหน่งนั้น
รู้ว่าเขื่อนปล่อยน้ำเมื่อไหร่ถึงจะรู้สึกถึงผลกระทบ
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คำอธิบายของพี่ป้อมกลายเป็น “บทสนทนาร่วม” ไม่ใช่การสอนแบบบนลงล่าง
8) สื่อสารภาวะคับขันต้องเริ่มตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปลายเหตุ
หลายคนเพิ่งรู้เรื่องเมื่อ “น้ำถึงหน้าบ้าน”
นี่ทำให้เห็นช่องว่างของการให้ข้อมูลภัยพิบัติ
ข้อเท็จจริงคือเจ้าหน้าที่น้ำทำงานหนัก แต่ข้อมูลไม่ถึงมือประชาชน
บทสนทนาช่วง 10–12 พ.ย. ทำให้เห็นภาพชัดว่า ไทยต้องมีระบบเตือนภัยเชิงรุกที่เป็นเอกภาพกว่านี้
9) จุดร่วมสำคัญที่สุดคือ “ทุกคนอยากให้ประเทศแก้ไขได้จริง”
ไม่ว่ามุมมองไหน—สนับสนุนเขื่อน, ไม่สนับสนุนเขื่อน, เชื่อรัฐ, ไม่เชื่อรัฐ—
สุดท้ายปลายทางเดียวกันคือ
อยากให้บ้านเมืองลดความเสียหาย และให้ความยุติธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบ
และนี่คือรากฐานของความร่วมมือที่แท้จริง
สรุป สามวันนี้สอนพี่ป้อมว่า…
การจัดการน้ำไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือเรื่องใจของคนจำนวนมากที่ไม่ต้องการรู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
การตอบคอมเมนต์อย่างระมัดระวัง ไม่ใช่เพื่อ “ชนะ” แต่เพื่อให้ความรู้และรักษาน้ำใจ
และเมื่อความรู้ + ความเข้าใจ + ความเคารพ มารวมกัน
บทสนทนายาก ๆ ก็กลายเป็นสะพานเชื่อมคนแปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อนใหม่ได้
สังคม
ปรัชญา
วิทยาศาสตร์
2 บันทึก
2
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
บันทึกคุยกับเพื่อนใหม่–เพื่อนเก่าในวันที่น้ำเต็มทุ่ง 10–12 พ.ย. 2568
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย