13 พ.ย. เวลา 23:52 • สิ่งแวดล้อม
กรมอุตุนิยมวิทยา

เมื่อกฎหมายไม่ใช่คำตอบเดียว และการสื่อสารคือ ‘สะพาน’ ที่เราต้องสร้างร่วมกัน

ตอนที่ 10/12 บทเรียนที่เราเห็นจากเฟซบุ๊กตลอด 10–12 พ.ย. 2568
ตลอดสามวันที่ผมนั่งตอบคอมเมนต์—ทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ และคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน—ผมคิดซ้ำหลายครั้งว่า
“ทำไมเรื่องน้ำจึงกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนตีความกันต่างกันขนาดนี้ ทั้งที่ดูเหมือนเรากำลังพูดถึงสิ่งเดียวกัน?”
และนี่คือข้อสรุปที่ผมพอจะจับเป็นคำได้ในคืนนี้ครับ
1. กฎหมายไม่ได้ผิด—แต่เราใช้กฎหมายไม่ครบเครื่อง
มีหลายคนสะท้อนเรื่อง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ และบทบาทของ สทนช. ว่าไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำได้จริง
ผมเข้าใจความรู้สึกนั้น เพราะประชาชนสัมผัส “ผลลัพธ์” ก่อนเสมอ
แต่ในฐานะคนที่ทำงานกับข้อมูลและระบบบริหารน้ำ ผมอยากเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า:
กฎหมายให้ “กรอบ” ได้จริง แต่ให้ “ผลลัพธ์” ไม่ได้ ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังทำงานแบบแยกส่วน
สทนช. มีกลไกการบูรณาการบนกระดาษครบ แต่ยังไม่สามารถ “บังคับ” ให้ทุกหน่วยต้องเดินในกรอบเดียวกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามจริงจึงเป็นเหมือน วงออเคสตร้าที่มีโน้ตดี แต่ยังไม่มีวาทยกรที่ทุกคนยอมฟัง
นี่ไม่ใช่การตำหนิใคร แต่เป็น “ข้อเท็จจริงเชิงระบบ” ที่เราต้องกล้าพูดกัน
2. ความรู้เรื่องน้ำยังไม่แพร่กระจายเท่าที่ควร
ผมพบว่าคนจำนวนมากพร้อมจะเข้าใจ แต่เขา ไม่เคยถูกให้ข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น
ทำไมเขื่อนต้องพร่องน้ำล่วงหน้า
ทำไมการปล่อยน้ำต้องสมดุลตาม “น้ำเข้า–น้ำออก”
ทำไมทุ่งเจ้าพระยาต้องปล่อยน้ำเข้าทุ่งในเวลาเฉพาะ
ทำไมบางพื้นที่เดือดร้อน ทั้งที่ตัวเลขน้ำ “ดูเหมือน” จะจัดการได้
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ ถ้าไม่มีใครอธิบาย ก็จะกลายเป็นช่องว่างของความเข้าใจ
และในช่องว่างนั้น—ความโกรธ ความสับสน และความหวาดระแวง จะเติบโตเร็วที่สุด
นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมต้องตอบคอมเมนต์อย่างระมัดระวัง
ทุกถ้อยคำมีน้ำหนัก
ทุกพื้นที่คือพื้นที่อ่อนไหว
ทุกคนมีความเดือดร้อนของตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก
3. การบริหารน้ำ = การบริหารความไว้วางใจ
น้ำไม่ได้ไหลตามเส้นแบ่งหน่วยงาน
แต่มนุษย์กลับแบ่งงานกันตามเส้นของกฎหมาย
ช่องว่างนี้เองคือปัญหา
ผมเริ่มเชื่อมากขึ้นว่า
วิกฤตของน้ำในไทย ไม่ได้เกิดจากฝนอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ความไม่เชื่อใจ” ของผู้คนต่อระบบ
ในหลายคอมเมนต์—ผมเห็นทั้งความหวังและความเหนื่อยล้า
พอผมตอบด้วยข้อมูล เมื่อเขาเข้าใจมากขึ้น เขาจะใจเย็นลง
และเมื่อเขาใจเย็นลง เขาพร้อมฟังมากขึ้น
นี่แหละครับ…
Trust Dynamics ของการจัดการน้ำในยุคที่ข้อมูลกระจายเร็วกว่าเรือผลักดันน้ำหลายเท่า
4. สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเฟซบุ๊กตลอดสามวันนี้
ประชาชนต้องการ “ความจริง” ไม่ใช่ “คำอธิบายทางการ”
คนไม่ได้ต้องการความเห็นตรงกัน แต่ต้องการความรู้สึกว่าเขาได้รับฟังอย่างแท้จริง
การบริหารน้ำต้องเริ่มจากการบริหารบทสนทนาให้ได้ก่อน
วิศวกร–นักวิชาการ–นักการเมือง ต้องพูดให้คนทั่วไปเข้าใจ ไม่ใช่พูดให้กันเองเข้าใจ
ถ้าเราไม่กล้าพูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องเข้าใจง่าย—เราจะแก้ปัญหาน้ำไม่ได้เลย
5. ปิดท้าย: ผมจะยังตอบทุกคอมเมนต์ และยังเป็นเพื่อนกันหลังสถานการณ์นี้จบ
มีหลายคนที่ผมบอกไว้ว่า
“หลังน้ำลด เราจะยังเป็นเพื่อนกันนะครับ”
และผมพูดจริงครับ
เพราะผมเชื่อว่า
การจัดการน้ำของประเทศ จะเดินหน้าได้ก็ต่อเมื่อคนที่เห็นต่าง ยังพูดคุยกันได้
และยังให้เกียรติกันอยู่
แม้จะเจอความเหนื่อย ความโกรธ หรือความกลัวของสถานการณ์ก็ตาม
ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันคิด ช่วยกันถาม ช่วยกันโต้แย้งอย่างสุภาพ
ขอบคุณคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ไว้วางใจให้ผมอธิบาย
และขอบคุณพลังใจจากเพื่อนใหม่–เพื่อนเก่า ที่ทำให้สามวันนี้มีความหมายมากครับ
11–12 พฤศจิกายน
ณ วันที่ทุ่งเจ้าพระยากำลังรับน้ำ
และเรากำลังเรียนรู้ไปพร้อมกันว่า—
“น้ำ” ไม่เคยเป็นปัญหาของใครคนเดียว
แต่เป็นสมการที่ต้องแก้ร่วมกันทั้งสังคมครับ 🌿
โฆษณา