เมื่อปัญหาน้ำไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือ “โครงสร้างการทำงานของรัฐ

ตอนที่ 9/12
ช่วงสามวันที่ผ่านมา ระหว่างที่น้ำเอ่อท่วมทุ่งและล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ พี่ป้อมมีโอกาสเข้าไปอ่านและคุยกับเพื่อนใหม่–เพื่อนเก่าบนเฟซบุ๊กหลายคน บางคำถามเป็นเชิงเทคนิค บางคำถามเป็นข้อสงสัยเชิงระบบ และบางคำถามสะท้อนความรู้สึกคั่งค้างที่พี่น้องประชาชนมีต่อ “รัฐไทยและการจัดการน้ำ” ในภาพรวม
ตอนหนึ่งที่พี่ป้อมตั้งใจตอบมากเป็นพิเศษ คือคำถามที่โยงไปสู่ สทนช. (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) และ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561
คำถามไม่ได้ถามแค่เรื่องน้ำ
แต่ถามว่า…
“ทำไมแก้ปัญหาไม่ได้สักที?
หน่วยงานเยอะขนาดนี้ ตกลงใครรับผิดชอบอะไร?
ถ้ากฎหมายยังเป็นแบบนี้ มันจะเปลี่ยนได้จริงหรือ?”
พี่ป้อมอ่านแล้วหยุดคิดก่อนตอบนานมาก เพราะนี่ไม่ใช่คำถามใหม่ แต่เป็นคำถามที่ประชาชนถามซ้ำมาเป็นสิบปี
และพี่ก็ไม่อยากตอบแบบทำให้ใครรู้สึกผิดหวัง หรือรู้สึกว่าปัญหามันไม่มีทางออก
ในฐานะคนทำงานด้านนโยบาย พี่ป้อมจึงเลือกตอบแบบ “อธิบายความจริง โดยไม่ทำร้ายความรู้สึกของใคร” ดังนี้
1. พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ไม่ได้ผิด แต่ถูกออกแบบไม่ครบ
พ.ร.บ.น้ำปี 2561 มีเจตนาดีมาก คือให้มี “หน่วยงานกลางด้านน้ำ” เพื่อแก้ปัญหางานซ้ำซ้อน
แต่ข้อจำกัดคือ…
• ไม่ได้ลดจำนวนหน่วยงาน
ทุกกรมยังอยู่ครบ
กรมชลประทาน
กรมทรัพยากรน้ำ
กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
กรมเจ้าท่า
กรมควบคุมมลพิษ
กรมป่าไม้
ฯลฯ
• มี “แผนรวม” แต่ไม่มี “อำนาจบังคับใช้แผน”
กำหนดกรอบได้ แต่บังคับให้หน่วยงานทำเหมือนกันไม่ได้ทั้งหมด
จึงเกิดช่องว่างระหว่าง
“แผนบนกระดาษ” กับ “งานบนภาคสนามจริง”
• ไม่มีพื้นที่สำหรับ “ประชาชนและท้องถิ่น” ในการมีส่วนร่วมแบบมีอำนาจ
นี่คือจุดอ่อนสำคัญที่สุด
2. สทนช. ถูกคาดหวังสูง แต่มีข้อจำกัดในการ “สั่งงาน”
สิ่งที่ประชาชนจำนวนมากเข้าใจคือ
สทนช. เป็น “แม่งานเรื่องน้ำ” ของทั้งประเทศ
แต่ในทางกฎหมายจริง
สทนช. เป็น “หน่วยงานประสานและจัดทำแผน”
ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติ
ไม่ได้มีเครื่องจักร
ไม่ได้มีบุคลากรในพื้นที่
ไม่ได้มีฝ่ายบังคับบัญชาทางปฏิบัติการ
เวลาน้ำท่วม–แล้ง หน่วยที่ลงมือจริงคือ
กรมชลประทาน
กรมทรัพยากรน้ำ
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ท้องถิ่น
อปท.
ผู้ว่าราชการจังหวัด ฯลฯ
ดังนั้น เมื่อพี่ป้อมถูกถามว่า
“ทำไมไม่แก้ทั้งระบบทีเดียว?”
พี่ป้อมต้องคิดก่อนตอบเสมอ เพราะความจริงคือ…
👉 ปัญหาน้ำของไทย ไม่ใช่แค่เรื่องวิศวกรรม
แต่เป็นเรื่อง โครงสร้างอำนาจหน้าที่ของรัฐ
3. สิ่งที่พี่ป้อมพยายามสื่อ คือ “อย่าโทษหน่วยใดหน่วยหนึ่ง”
เวลาน้ำท่วมหนัก ความไม่พอใจพุ่งไปที่หน่วยงานเดียวเสมอ
ปีนี้หลายคนตำหนิสทนช.
บางคนตำหนิกช.
บางคนตำหนิผู้ว่าฯ
บางคนตำหนิรัฐบาล
แต่ข้อเท็จจริงที่พี่ป้อมพยายามตอบอย่างสุภาพที่สุดคือ…
• ระบบบริหารจัดการน้ำของไทย “ซับซ้อนเกินกว่าจะมีคนผิดคนเดียว”
มีทั้งเรื่องกฎหมาย งบประมาณ โครงสร้างหน่วยงาน
และวัฒนธรรมการทำงานราชการ
• ทุกกรมพยายามทำงานของตัวเองอย่างดีที่สุด
แต่ขาด “เวทีรวม” ที่บังคับให้นั่งทำงานร่วมกันจริง
• เมื่อเกิดวิกฤติ ประชาชนเห็นเพียง “ปลายเหตุ”
แต่โครงสร้างที่เป็นปัญหา ซ่อนอยู่ “ต้นเหตุ” และ “กลางเหตุ”
พี่ป้อมตอบแบบนี้เพราะอยากให้ทุกคนรู้ว่า
การแก้ปัญหาน้ำต้องแก้ทั้งระบบ ไม่ใช่โยนความผิดให้ใครคนใดคนหนึ่ง
4. บทสนทนากับเพื่อนใหม่บางคน พี่ป้อมจำไว้เลยว่า…
“หมดสถานการณ์นี้แล้ว เราจะยังเป็นเพื่อนกันอีกนะครับ”
เพราะบางคนอธิบายด้วยอารมณ์
บางคนเล่าประสบการณ์ส่วนตัว
บางคนเสียหายจากน้ำมาแล้วหลายครั้ง
พี่ป้อมต้องระมัดระวังมากว่า
อย่าให้คำอธิบายของเรา ไปตัดใจหรือทำให้เขารู้สึกว่าเรากำลังปกป้องรัฐ
ในทุกประโยค พี่ป้อมจึงตั้งใจให้…
✔ ข้อมูลครบ
✔ เคารพความเจ็บปวดของผู้ได้รับผลกระทบ
✔ ไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่ม
✔ ไม่จำนนต่อปัญหา
นี่คือสิ่งที่พี่ป้อมอยากให้คนอ่านทุกคนรู้ว่า
เราคุยกันด้วยความตั้งใจจริง ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใครเลย
5. แล้วเราควรเดินไปทางไหนต่อ? — พี่ป้อมเสนอแบบ “กลางที่สุด”
(1) แยกเรื่อง “งานเทคนิค” ออกจาก “งานนโยบาย”
เพราะวิศวกรสามารถแก้เรื่องน้ำท่วม–แล้งได้
แต่พวกเขาแก้ “โครงสร้างอำนาจของรัฐ” ไม่ได้
(2) แก้ พ.ร.บ.น้ำ ให้ชัดเจนเรื่องอำนาจ สทนช. และการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น
(3) นำแนวคิด Function-Based Clusters (FBC) มาจัดระบบงานน้ำจริง
รื้อแบ่งภารกิจแบบเดิม
จัดใหม่ตาม “ฟังก์ชันของพื้นที่” เช่น
ป่า–ต้นน้ำ–เกษตร–เมือง–ลุ่มต่ำ–ชายฝั่ง
(4) ทำให้ข้อมูลน้ำเป็น “การสื่อสารสาธารณะ” ไม่ใช่เอกสารราชการ
สรุป: ตอนที่ 9 คือ “ชวนมองระบบ ไม่ใช่มองคน”
พี่ป้อมอยากให้ผู้อ่านใน Blockdit เห็นว่า
เบื้องหลังคอมเมนต์สั้น ๆ บนเฟซบุ๊ก
มีความระมัดระวัง ความหวังดี และความพยายามสื่อสารอย่างเป็นธรรมอยู่เสมอ
ในวันที่น้ำท่วมทุ่ง
เราอาจจะเห็นเพียง “น้ำที่ไหล”
แต่เบื้องหลังนั้นมี “โครงสร้างการตัดสินใจ”
ที่ต้องเปลี่ยน หากเราอยากเห็นประเทศนี้ดีขึ้นจริง ๆ
โฆษณา