13 พ.ย. เวลา 03:38 • สิ่งแวดล้อม
วัดไผ่โรงวัว

เมื่อข้อมูลขัดแย้งกัน เราจะตั้งหลักอย่างไรดี

ตอนที่ 5/12
ช่วงวันที่น้ำเต็มทุ่งอยุธยา–ปทุมฯ–อ่างทอง
พี่ป้อมได้อ่านหลายคอมเมนต์ที่สะท้อน “ความไม่เชื่อใจ” ต่อข้อมูลรัฐ และ “ความกังวล” ของประชาชนที่อยู่ปลายน้ำ
— โดยเฉพาะคอมเมนต์ที่ถามว่า
“ทำไมเขื่อนเก็บน้ำไว้ 85–90% แล้วไม่พร่องน้ำตั้งแต่แรก?”
ตอนอ่านครั้งแรก พี่ป้อมรู้สึก เข้าใจความโกรธ ความเหนื่อย และความกังวลของเขาทันที เพราะคนที่อยู่ใต้เขื่อน คือคนที่ต้องรับน้ำทุกครั้งที่สถานการณ์บีบคั้น
และหลายปีที่ผ่านมาก็แทบไม่มีใครออกมาชี้แจงให้ประชาชนรู้สึกว่า “เรารู้เท่าทันสถานการณ์เหมือนกัน”
แต่พอเริ่มตั้งหลักและไล่อ่านข้อมูลจริงทั้งหมดอย่างละเอียด พี่ป้อมพบว่า…
1) เขื่อน “เก็บน้ำสูง” ไม่เท่ากับ “ไม่บริหาร”
ในช่วงต้นฤดูฝน เขื่อนหลักทั่วประเทศจะมีเกณฑ์กักเก็บน้ำขั้นต่ำ เพื่อรองรับความเสี่ยงของภัยแล้ง
แต่เมื่อเข้ากลางฤดูฝน
“การบริหารจะเปลี่ยนเป็นแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์”
อิงข้อมูลจาก:
  • ปริมาณฝนคาดการณ์ 7–15 วันล่วงหน้า
  • ระดับน้ำไหลเข้า–ไหลออกจริง
  • ความสามารถระบายน้ำของลำน้ำท้ายน้ำ
  • ความพร้อมของ “ทุ่งรับน้ำ” ทั้ง 13 ทุ่ง
เพราะฉะนั้น การเห็นตัวเลขเก็บน้ำ 85–90% จึงไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่าหน่วยงาน “ไม่พร่องน้ำ”
แต่สะท้อนว่า เขื่อนกำลังถือระดับกักเก็บตามเกณฑ์ความปลอดภัย ณ เวลานั้น
เพื่อรอการตัดสินใจเชิงรุกตามพยากรณ์ฝนรายชุด
2) เวลาจริงของการตัดสินใจ มักไม่ใช่เวลาที่ประชาชนเห็น
นี่คือช่องว่างสำคัญที่สุด คือประชาชนเห็นน้ำท่วม “หลังเหตุเกิด”
แต่ผู้จัดการน้ำต้องตัดสินใจ “ก่อนเหตุเกิด 3–7 วัน”
ความรู้สึกคล้ายตอนอ่านคอมเมนต์ของเพื่อนท่านหนึ่งที่บอกว่า
“ชาวบ้านเห็นจากข่าว แต่เขื่อนเห็นจากแบบจำลองที่ประชาชนไม่เคยได้เห็น”
พอได้อ่านข้อความแบบนี้ พี่ป้อมคิดทันทีว่า
นี่คือสาเหตุที่ทำไมเราต้องมีระบบสื่อสารความเสี่ยง (Risk Communication) ที่ดีกว่านี้
ไม่ใช่แค่รายงานข่าว “วันนี้น้ำเท่าไหร่” แต่ต้องบอกประชาชนว่า “ในอีก 5–7 วันจะเกิดอะไร และเหตุผลของการตัดสินใจคืออะไร”
3) การตั้งคำถาม เป็นความหวัง ไม่ใช่การโจมตี
หลายคอมเมนต์ถามแรง พูดตรง บางทีก็ประชด
ตอนอ่าน พี่ป้อมรู้สึกถึง “ความคั่งค้างในใจ” ของคนที่ต้องรับน้ำทุกปี
แทนที่จะโต้กลับ พี่ป้อมเลือกตอบด้วยความรู้ที่ตรวจสอบได้ และใช้โทนที่ทำให้การสนทนายัง “เดินหน้าต่อได้”
เพราะปัญหาน้ำของประเทศไทย
ไม่สามารถแก้ด้วยการโต้กันเฉพาะหน้า
แต่ต้องอาศัยการเข้าใจร่วมกันทีละประเด็น
4) เราทุกคนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกัน
ตอนที่พี่ป้อมเขียนตอบว่า
“หลังสถานการณ์นี้ผ่านไป เรามาเป็นเพื่อนคุยกันต่ออีกนะครับ”
พี่ป้อมไม่ได้เขียนเพียงเพื่อมารยาท
แต่ตั้งใจจริงว่า การคุยกันช่วงน้ำหลากครั้งนี้
คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจที่ต่อเนื่อง
เพราะสุดท้ายแล้ว คนลุ่มบน ลุ่มกลาง ลุ่มล่าง
อยู่ในลำน้ำเดียวกัน
— ไม่มีใครหลีกความเชื่อมโยงนี้ได้เลย
5) ความรู้ ไม่ได้มีหน้าที่เอาชนะใคร แต่ใช้เพื่อประสานกัน
ในทุกคอมเมนต์ พี่ป้อมพยายามให้ความรู้โดยไม่สั่งสอน
ใช้โทน “คุยกันแบบเพื่อน”
และเปิดทางให้คนอ่านรู้สึกว่า “เขามีพื้นที่ในการตั้งคำถาม”
เพราะความรู้ที่ดี จะไม่มีวันทำให้ใครอับอาย
แต่จะทำให้ทุกคนขยับเข้าใกล้ความจริงร่วมกัน
บทส่งท้ายตอนที่ 5
การคุยเรื่องน้ำท่วมทุ่งในปีนี้ ไม่ใช่เรื่องน้ำอย่างเดียว
แต่คือเรื่อง “ความเชื่อใจที่ถูกสึกกร่อน”
และ “ความหวังว่าจะมีระบบที่ดีขึ้น”
พี่ป้อมเชื่อว่า การตอบทุกคอมเมนต์อย่างสุภาพ แม่นข้อมูล
และมองเห็นใจคนปลายน้ำ
จะค่อย ๆ สร้างสะพานที่เชื่อมคนทั้งลุ่มน้ำเข้าหากัน
และการสนทนานี้ จะเป็นรากเล็ก ๆ ของการจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วมในอนาคตครับ 🌧️🌾💛
โฆษณา