13 พ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ยาจิตเวชทำน้ำหนักขึ้น? เภสัชกรชวนรู้จักยาเมทฟอร์มิน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ผมเชื่อว่า เราทุกคนต่างรู้ดีว่าการรักษาโรคทางอารมณ์เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจและกำลังใจอย่างสูง และยาที่แพทย์เลือกใช้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นได้ก็คือ ยาจิตเวชกลุ่ม Second-Generation Antipsychotics (SGAs) ซึ่งต้องยอมรับว่ายาเหล่านี้ "เอาอยู่" ในการควบคุมอาการ
แต่...มันก็มีเรื่องที่ทำให้เราหนักใจอยู่ไม่น้อยใช่ไหมครับ
ผลข้างเคียงสำคัญที่มาพร้อมกับยาดีๆ เหล่านี้ก็คือ ภาวะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของสุขภาพกายในระยะยาวด้วย เพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากๆ เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และอื่นๆ อีกเพียบ
ลองคิดดูสิครับ...ผู้ป่วยต้องกินยาเพื่อรักษาใจ แต่กลับต้องมาเสี่ยงกับโรคทางกาย แล้วถ้าผู้ป่วยทนไม่ไหวจนต้อง หยุดยาเอง ล่ะ? นั่นคือหายนะเลยใช่ไหมครับ
1
วันนี้ผมเลยอยากจะมาแนะนำ "ยาเมทฟอร์มิน (Metformin)" ที่เดิมทีเป็นยาเบาหวาน แต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นพระเอกที่เข้ามาช่วยดูแลสุขภาพกายของผู้ป่วย ให้พวกเขาสามารถกินยาจิตเวชได้อย่างสบายใจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ
เมื่อยาดี...แต่ผลข้างเคียงก็หนักใจ ทำไมยาจิตเวชถึงทำให้น้ำหนักขึ้น?
ยาจิตเวชกลุ่ม SGAs บางตัว เช่น Olanzapine หรือ Clozapine ถูกจัดเป็น "ตัวท็อป" ที่ทำให้น้ำหนักขึ้นมากที่สุด น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้มักจะมาแบบไม่ทันตั้งตัวในช่วง 6 เดือนแรกของการรักษา
แล้วทำไมยาถึงทำแบบนั้น?
กลไกมันซับซ้อนนิดหน่อย แต่ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คือ ยาเหล่านี้ไปยุ่งกับระบบสมองของเรา ทำให้ ความอยากอาหารพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะพวกแป้งและน้ำตาล แถมยังไปทำให้ ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน อีกด้วย
ลองนึกภาพว่าอินซูลินคือ "กุญแจ" ที่เปิดประตูให้เซลล์นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน แต่พอร่างกายดื้อ กุญแจก็ไขไม่เข้า น้ำตาลเลยถูกเก็บสะสมเป็นไขมันแทน นี่แหละครับคือที่มาของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
1
นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิจัยต้องออกมาเน้นย้ำว่าเราไม่ได้มองแค่สุขภาพจิต แต่เรากำลังมองสุขภาพกายของคนทั้งคน เพราะหากปล่อยให้ปัญหาน้ำหนักเกินลุกลาม มันจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพไปตลอดชีวิตเลยนะครับ
รู้จักเมทฟอร์มิน: ไม่ได้มีดีแค่รักษาเบาหวาน แต่เป็นเพื่อนซี้คนใหม่ของคนไข้จิตเวช
หลายคนอาจจะรู้จัก เมทฟอร์มิน ในฐานะยาที่คนเป็นเบาหวานต้องกิน แต่ตอนนี้วงการแพทย์ได้ค้นพบแล้วว่า ยาตัวนี้มีประโยชน์มากกว่านั้นมาก โดยเฉพาะการช่วยควบคุมน้ำหนัก
เมทฟอร์มินทำงานอย่างไร?
เมทฟอร์มินเป็นยาที่ฉลาดมากครับ มันไม่ได้ไปกระตุ้นอินซูลินโดยตรง แต่ไปช่วย ปรับสมดุลโรงงานน้ำตาลในร่างกายของเราแทน
1. บอกตับให้เบาลง: เมทฟอร์มินจะไปบอกให้ตับ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตน้ำตาลของเรา "ลดการผลิตน้ำตาล" เข้าสู่กระแสเลือดลง
2. ลับคมกุญแจอินซูลิน: มันช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น เหมือนเป็นการลับคมกุญแจที่เคยทื่อให้กลับมาไขประตูได้ง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ดี ไม่ต้องเก็บเป็นไขมัน
3. ผลพลอยได้คืออิ่มง่ายขึ้น: มีรายงานว่ายาตัวนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารในบางรายอีกด้วย ถือเป็นผลพลอยได้ที่ดีมากๆ เลยครับ
หลักฐานที่เชื่อถือได้: ผลลัพธ์จากงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก (MOBILITY Study)
สิ่งที่ทำให้เมทฟอร์มินกลายเป็นมาตรฐานการดูแลใหม่ไม่ใช่แค่การคาดเดา แต่มาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคืองานวิจัยที่ชื่อว่า MOBILITY Study
งานวิจัยนี้ถือเป็น การศึกษาที่ใหญ่ที่สุดและยาวนานที่สุด ในกลุ่มเยาวชนอายุ 8–19 ปี ที่เป็นโรคไบโพลาร์และมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ซึ่งกำลังใช้ยา SGAs โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 1,565 คน
แล้วผลลัพธ์ที่ได้คืออะไร?
นักวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้รับ เมทฟอร์มิน ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม (อาหารและการออกกำลังกาย) มีการเปลี่ยนแปลงของ ดัชนีมวลกาย ที่ดีกว่ากลุ่มที่ปรับพฤติกรรมอย่างเดียวอย่างชัดเจน
นักวิจัยสรุปอย่างหนักแน่นว่าผลกระทบต่อการลดน้ำหนักอาจไม่มาก แต่สำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ ประโยชน์ของเมทฟอร์มินมีมากกว่าความเสี่ยง และแนะนำให้แพทย์เริ่มสั่งจ่ายเมทฟอร์มินให้กับเยาวชนที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ทันทีที่เริ่มใช้ยา SGAs
ที่สำคัญอีกอย่างคือ เมทฟอร์มินเป็นยาที่ ราคาถูกและเข้าถึงง่าย มากกว่ายาควบคุมน้ำหนักรุ่นใหม่ๆ อย่าง Ozempic ทำให้เป็นทางเลือกที่ทำได้จริงสำหรับทุกคน
ใช้ 'เมทฟอร์มิน' อย่างไรให้ปลอดภัยและได้ผล ข้อควรรู้จากเภสัชกร
ในฐานะเภสัชกร ผมขอยืนยันว่าเมทฟอร์มินเป็นยาที่ทนต่อร่างกายได้ดี และจากการศึกษาใหญ่ก็ไม่พบรายงานผลข้างเคียงร้ายแรงใดๆ
แล้วผลข้างเคียงที่พบบ่อยล่ะ?
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคือ ปัญหาทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ ท้องอืด หรือท้องเสีย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการใช้ยาเท่านั้น ไม่ต้องตกใจครับ เรามีวิธีจัดการง่ายๆ คือ
• กินพร้อมอาหาร: การกินยาพร้อมอาหารจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้มาก
• เปลี่ยนเป็นสูตรออกฤทธิ์นาน: หากอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ยาเมทฟอร์มินชนิดออกฤทธิ์นาน (Extended-release) ซึ่งจะช่วยลดผลข้างเคียงได้ดีขึ้น
สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะย้ำคือ
1. ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ: การใช้เมทฟอร์มินเพื่อควบคุมน้ำหนักจากยาจิตเวชเป็นการใช้ยาแบบ นอกข้อบ่งใช้ (Off-label use) ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามซื้อมากินเองเด็ดขาดนะครับ
2. ไม่ใช่ยาวิเศษ: เมทฟอร์มินเป็นเพียง "ตัวช่วย" ที่ดีเยี่ยม แต่การดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนต้องทำควบคู่ไปกับ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สุขภาพกายและใจต้องไปด้วยกัน
การรักษาโรคไบโพลาร์ในเยาวชนเป็นภารกิจที่ต้องใช้ความเข้าใจและความทุ่มเทอย่างสูง การที่ผู้ป่วยสามารถใช้ยาจิตเวชได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงเรื่องน้ำหนักที่อาจบั่นทอนสุขภาพกายและใจ ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
เมทฟอร์มิน ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งจากงานวิจัยระดับโลกอย่าง MOBILITY Study
ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเห็นภาพและเข้าใจถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น หากท่านหรือคนที่ท่านรักกำลังประสบปัญหานี้ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการใช้เมทฟอร์มินร่วมในการรักษา เพื่อให้ลูกหลานของเรามีทั้งสุขภาพจิตที่ดีและสุขภาพกายที่แข็งแรงไปพร้อมๆ กันครับ
แหล่งอ้างอิง (References)
[1] Metformin as a new standard of care to manage weight gain side effect of certain bipolar medications. University of Cincinnati. (2025, November 12).
[2] Melissa P DelBello et al, Metformin for overweight and obese children and adolescents with bipolar spectrum and related mood disorders treated with second-generation antipsychotics: a randomised, pragmatic trial, The Lancet Psychiatry (2025 ). DOI: 10.1016/s2215-0366(25)00273-1
[3] Dayabandara, M. (2017). Antipsychotic-associated weight gain: management strategies and impact on treatment adherence. Neuropsychiatric Disease and Treatment, 13, 1259–1271.
โฆษณา