14 พ.ย. เวลา 15:07 • การตลาด

Gillette 'ผู้ชายที่ดีที่สุด' คืออะไร? แคมเปญที่กล้าชนกับความเป็นพิษของผู้ชาย'

ใครๆ ก็รู้จัก Gillette ใช่ไหมคะ? แบรนด์มีดโกนหนวดระดับโลกที่เป็นสัญลักษณ์ของ "ความเป็นชาย" มาอย่างยาวนาน ด้วยสโลแกนสุดคลาสสิกที่ว่า "The Best A Man Can Get" 👑
แต่ในปี 2019 แบรนด์นี้กล้าที่จะทำสิ่งที่บ้าบิ่นด้วยการเปิดตัวแคมเปญ "We Believe: The Best Men Can Be" ค่ะ! 🤯
แคมเปญนี้ออกมาในช่วงที่กระแส #MeToo กำลังมาแรง และมีการพูดถึงปัญหา "Toxic Masculinity" (ความเป็นพิษของผู้ชาย) อย่างกว้างขวาง Gillette ตัดสินใจที่จะ "ตีความ" สโลแกนเดิมใหม่ โดยถามคำถามที่โคตรท้าทายว่า "ผู้ชายที่ดีที่สุดควรจะเป็นแบบไหนในยุคนี้?"
เกิดอะไรขึ้นในแคมเปญที่ทำให้โลกแตก?
วิดีโอโฆษณาของ Gillette แสดงภาพสถานการณ์ต่างๆ ที่สะท้อนปัญหา Toxic Masculinity เช่น การกลั่นแกล้งกัน , การล่วงละเมิดทางเพศ, และการเลี้ยงลูกชายให้แสดงอารมณ์ไม่ได้ จากนั้นก็แสดงภาพผู้ชายที่ "ดีกว่าเดิม" ที่เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์เหล่านั้น และแสดงความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตัวเอง
แล้วแคมเปญนี้ถึงทำให้เกิดดราม่า?
การท้าทาย "ฐานลูกค้าเดิม": ลูกค้าผู้ชายจำนวนมากที่ยึดติดกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของ Gillette รู้สึกว่าแบรนด์ "ตัดสิน" และ "โจมตี" พวกเขา พวกเขาเห็นว่าแบรนด์กำลังนำวาระทางสังคมที่อ่อนไหวมาใช้ในการขายสินค้า ซึ่งนำไปสู่การ "บอยคอต" และการประณามแคมเปญนี้อย่างรุนแรงในโซเชียลมีเดีย 🤬
การเปลี่ยน Brand Purpose ที่ "รุนแรง" เกินไป: การเปลี่ยนจากโฆษณาที่เน้นความเท่และสมบูรณ์แบบของร่างกายมาเป็นการพูดถึง "ปัญหาทางสังคม" เป็นการเปลี่ยนจุดยืนแบรนด์ที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาเกินไป จนทำให้ลูกค้าบางส่วนตามไม่ทัน และรู้สึกแปลกแยก 💔
ความกล้าที่จะ "สูญเสีย" เพื่อ "จุดยืน": ถึงแม้จะโดนบอยคอต แต่ Gillette ก็ยืนยันในจุดยืนของตัวเอง โดยระบุว่าพวกเขาต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ นี่คือการแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ยอมเสี่ยงต่อยอดขายในระยะสั้นเพื่อแลกกับการสร้าง "Brand Purpose" และ "ความหมาย" ที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว🏆
ผลลัพธ์คืออะไรคะ?
แคมเปญนี้ทำให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับการยกย่องจากกลุ่มที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและนักการตลาดจำนวนมากในฐานะตัวอย่างของ "Purpose-Driven Marketing" ที่กล้าหาญ แม้ว่ายอดขายในระยะแรกจะได้รับผลกระทบ แต่ในระยะยาว Gillette ได้สร้าง "ความแตกต่าง" และ "ความหมาย" ที่ทำให้แบรนด์ก้าวข้ามจากการเป็นแค่มีดโกนไปสู่การเป็น "ผู้นำทางความคิด" ในสังคมได้สำเร็จค่ะ
👑 สรุปให้:
แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคนี้ต้องกล้าที่จะมีจุดยืน" และ Gillette สอนให้เรารู้ว่า การตลาดที่ทรงพลังคือการยอมเสี่ยงต่อ "การถูกเกลียด" เพื่อแลกกับการสร้าง "ความผูกพัน" กับกลุ่มลูกค้าที่เชื่อมั่นในสิ่งเดียวกัน! จงอย่ากลัวที่จะสร้าง "การเปลี่ยนแปลง" นะคะ ✨
#การตลาด #Gillette #PurposeDrivenMarketing #ToxicMasculinity #BrandPurpose #SocialImpact #MarketingCampaign #WeBelieve #กลยุทธ์แบรนด์
ใครๆ ก็รู้จัก Gillette ใช่ไหมคะ? แบรนด์มีดโกนหนวดระดับโลกที่เป็นสัญลักษณ์ของ "ความเป็นชาย" มาอย่างยาวนาน ด้วยสโลแกนสุดคลาสสิกที่ว่า "The Best A Man Can Get" 👑
แต่ในปี 2019 แบรนด์นี้กล้าที่จะทำสิ่งที่บ้าบิ่นด้วยการเปิดตัวแคมเปญ "We Believe: The Best Men Can Be" ค่ะ! 🤯
แคมเปญนี้ออกมาในช่วงที่กระแส #MeToo กำลังมาแรง และมีการพูดถึงปัญหา "Toxic Masculinity" (ความเป็นพิษของผู้ชาย) อย่างกว้างขวาง Gillette ตัดสินใจที่จะ "ตีความ" สโลแกนเดิมใหม่ โดยถามคำถามที่โคตรท้าทายว่า "ผู้ชายที่ดีที่สุดควรจะเป็นแบบไหนในยุคนี้?"
เกิดอะไรขึ้นในแคมเปญที่ทำให้โลกแตก?
วิดีโอโฆษณาของ Gillette แสดงภาพสถานการณ์ต่างๆ ที่สะท้อนปัญหา Toxic Masculinity เช่น การกลั่นแกล้งกัน , การล่วงละเมิดทางเพศ, และการเลี้ยงลูกชายให้แสดงอารมณ์ไม่ได้ จากนั้นก็แสดงภาพผู้ชายที่ "ดีกว่าเดิม" ที่เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์เหล่านั้น และแสดงความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตัวเอง
แล้วแคมเปญนี้ถึงทำให้เกิดดราม่า?
การท้าทาย "ฐานลูกค้าเดิม": ลูกค้าผู้ชายจำนวนมากที่ยึดติดกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของ Gillette รู้สึกว่าแบรนด์ "ตัดสิน" และ "โจมตี" พวกเขา พวกเขาเห็นว่าแบรนด์กำลังนำวาระทางสังคมที่อ่อนไหวมาใช้ในการขายสินค้า ซึ่งนำไปสู่การ "บอยคอต" และการประณามแคมเปญนี้อย่างรุนแรงในโซเชียลมีเดีย 🤬
การเปลี่ยน Brand Purpose ที่ "รุนแรง" เกินไป: การเปลี่ยนจากโฆษณาที่เน้นความเท่และสมบูรณ์แบบของร่างกายมาเป็นการพูดถึง "ปัญหาทางสังคม" เป็นการเปลี่ยนจุดยืนแบรนด์ที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาเกินไป จนทำให้ลูกค้าบางส่วนตามไม่ทัน และรู้สึกแปลกแยก 💔
ความกล้าที่จะ "สูญเสีย" เพื่อ "จุดยืน": ถึงแม้จะโดนบอยคอต แต่ Gillette ก็ยืนยันในจุดยืนของตัวเอง โดยระบุว่าพวกเขาต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ นี่คือการแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ยอมเสี่ยงต่อยอดขายในระยะสั้นเพื่อแลกกับการสร้าง "Brand Purpose" และ "ความหมาย" ที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว🏆
ผลลัพธ์คืออะไรคะ?
แคมเปญนี้ทำให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับการยกย่องจากกลุ่มที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศและนักการตลาดจำนวนมากในฐานะตัวอย่างของ "Purpose-Driven Marketing" ที่กล้าหาญ แม้ว่ายอดขายในระยะแรกจะได้รับผลกระทบ แต่ในระยะยาว Gillette ได้สร้าง "ความแตกต่าง" และ "ความหมาย" ที่ทำให้แบรนด์ก้าวข้ามจากการเป็นแค่มีดโกนไปสู่การเป็น "ผู้นำทางความคิด" ในสังคมได้สำเร็จค่ะ
👑 สรุปให้:
แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคนี้ต้องกล้าที่จะมีจุดยืน" และ Gillette สอนให้เรารู้ว่า การตลาดที่ทรงพลังคือการยอมเสี่ยงต่อ "การถูกเกลียด" เพื่อแลกกับการสร้าง "ความผูกพัน" กับกลุ่มลูกค้าที่เชื่อมั่นในสิ่งเดียวกัน! จงอย่ากลัวที่จะสร้าง "การเปลี่ยนแปลง" นะคะ ✨
#การตลาด #Gillette #PurposeDrivenMarketing #ToxicMasculinity #BrandPurpose #SocialImpact #MarketingCampaign #WeBelieve #กลยุทธ์แบรนด์
โฆษณา