16 พ.ย. เวลา 09:04 • หนังสือ

รีวิวหนังสือที่ทำให้รู้สึกขอบคุณชีวิตนี้ที่ได้เกิดมาในประเทศไทย : 4 ปี นรกในเขมร

หนังสือเล่มนี้เป็นแนว Memoir หรือ บันทึกความทรงจำของภริยานักการทูตเขมรชื่อ ยาสึโกะ นะกิโต ที่เขียนในระหว่างปี 2518 ถึง 2522 ในช่วงที่เขมรแดงยึดครองประเทศกัมพูชา
ตอนนั้นยาสึโกะ นะอิโต อายุ 42 ปี เธอเป็นผู้หญิงในสังคมชั้นสูงของประเทศญี่ปุ่น แต่งงานกับโศ ทันลัน นักการทูตชาวเขมร มีลูกชายด้วยกัน 2 คน เธอและครอบครัวเคยติดตามสามีไปทำงานประจำสถานทูตหลายประเทศมาแล้ว ทั้งไซง่อน มอสโก โปแลนด์
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นปี 2518 ขณะที่เธอกับครอบครัวอาศัยอยู่บ้านพักของสถานทูตอที่กรุงพนมเปญ เมืองหลวงประเทศกัมพูชา ในปีนั้นกองทัพเขมรแดงได้รับชัยชนะในการปฏิวัติรัฐบาลนายพลลอนนอล ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะหนีออกจากประเทศกัมพูชายกเว้นผู้หญิงที่แต่งงานกับคนเขมร
วันที่ 17 เมษายน 2518 ครอบครัวเธอรวม 5 ชีวิตถูกกวาดต้อนให้ออกจากกรุงพนมเปญพร้อมคนอื่น ๆ โดยถูกหลอกว่าอเมริกาจะมาทิ้งระเบิด ให้ผู้คนรีบออกจากเมืองหลวง
ผู้อพยพหลายร้อยคนนั่งรถบรรทุกทหารเขมรแดงเดินทางออกนอกเมืองหลวงโดยไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าจะไปที่ใด
พวกเธอนั่งรถบรรทุกทหารไปตามถนนอย่างไร้ทิศทาง เจอโรงงานร้างระหว่างก็พากันเข้าพักในคืนแรก พวกเธอไม่อยากไปไกลเมืองหลวงแต่ก็มีทหารเขมรแดงมาไล่ออกจากที่พักให้เดินทางไกลออกไปเรื่อย ๆ
เดินทางมาจนถึงฟาร์มเลี้ยงปลาที่เมืองเปปนู แต่พักอยู่ได้เพียงสัปดาห์เดียวก็ถูกสั่งให้ย้ายต่อ ช่วงนั้น เธอไม่ได้ข่าวว่ามีการโจมตีทางของทหารอเมริกันเลย
เมื่อเดินทางต่อมาถึงภูเขาอุดรทางทิศตะวันตก ทหารให้พักที่นี่ ลูกชายคนโตชื่อโทโมรีอายุ 17 ปีเสียชีวิตเพราะป่วยเป็นไทฟอยด์ หลังออกเดินไม่ถึงเดือน
ต่อมาทหารสั่งให้อพยพออกจากที่เดิม ระหว่างทางหมู่บ้านทุกแห่งที่เดินผ่านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เต็มไปหมด จนถึงหมู่บ้านโทระกัป ทหารเขมรแดงจึงสั่งให้สร้างบ้านอยู่ที่นี่
ระหว่างที่อยู่ที่นี่ มีการปันส่วนอาหารแต่ไม่เพียงพอ อาหารขาดแคลน เธอต้องเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวแลกข้าว ลูกชายคนรองก็ขุดหาหอยมาต้มกิน
วันที่ 23 กรกฎาคม 2518 ลูกชายคนที่สองอายุ 15 ปีที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงก็ตายอีกคน เนื่องจากตกต้นตาลเพราะจะไปตัดใบตาลมามุงหลังคา ตามหลังพี่ชายที่จากไปเมื่อ 2 เดือนก่อน
วันที่ 2 สิงหาคม 2518 หลังจากลูกชายคนที่ 2 ตายไปไม่ถึงเดือน ลูกสาวของสามีเก่า ชื่อตีนี่เป็นหญิงสาว อายุ 22 ปี ก็ป่วยตายตามไปอีกคน
จากครอบครัวเดิมที่มี 5 คนตอนอพยพจากเขมร ตอนนี้เหลือแต่เธอกับสามีสองคน
เธอกับสามีไม่มีเวลาโศกเศร้าเสียใจนาน ก็ถูกทหารเขมรแดงสั่งให้อพยพเดินทางต่อไปอีก จนถึงหมู่บ้านทะเปนทะมอ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในป่าลึกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญมาก เธอรู้สึกสิ้นหวังที่จะได้กลับเมืองหลวง
ทหารเขมรแดงสั่งให้ถางป่าและสร้างบ้านอยู่กันที่นี่ เธอกับสามีสองคนไม่รู้จะสร้างบ้านอย่างไร สามีก็เริ่มป่วย ชาวบ้านในพื้นที่รู้สึกสงสารที่พวกเธอต้องนอนบนพื้นดิน พากันมาช่วยกันขึ้นโครงบ้านให้และใช้ผ้าเต๊นท์มุงหลังคา สามีเธอป่วยท้องเสียและเป็นไข้มาลาเรีย
วันที่ 2 ธันวาคม 2518 สามีก็เสียชีวิตทิ้งเธอไปอีกคน หลังจากอพยพมาได้เพียง 8 เดือน
เธอไม่สามารถอยู่คนเดียวจึงไปขออาศัยอยู่กับครอบครัวหมอในหมู่บ้าน ทำหน้าที่เลี้ยงลูกให้ครอบครัวของเขา
เวลาผ่านไปจนถึงปีใหม่ ปี 2519 แม้ชาวบ้านที่หมู่บ้านนี้จะใจดี แต่เธอรู้สึกอึดอัดที่อยู่ร่วมกับครอบครัวคนอื่น เธอจึงขอออกเดินทางย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ คือหมู่บ้านเมา ใกล้ชายแดนไทย
หมู่บ้านใหม่นี้ เธออาศัยในบ้านหลังใหญ่ที่มีหลายครอบครัว แต่ละครอบครัวใช้ผ้าม่านแบ่งกั้นให้แยกกันเป็นสัดส่วน
เธอเริ่มเป็นฝีที่ขา บางครั้งก็บวมมีหนองเป็นที่น่ารำคาญ ไม่มียารักษา เธอล้างแผลด้วยน้ำในลำคลอง
เธอและชาวบ้านคนอื่น ๆ ถูกบังคับให้ทำงาน เช่น ทำนา นวดข้าว เลี้ยงหม่อน มัดหญ้าคา ถ้าใครไม่ทำงานจะไม่ได้รับปันส่วนอาหาร
เธอโกหกว่าอายุ 50 ปี จึงไม่ต้องทำงานหนัก เขาให้เธอเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นงานสกปรกและมีกลิ่นเหม็นเป็นงานที่เธอไม่ชอบ
อาหารขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป บางครั้งได้กินแต่ข้าวต้มใส่เกลือ ต่อมาเหลือแต่น้ำข้าว จนเหลือแต่น้ำร้อนเฉย ๆ สัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ตามป่าถูกนำมาเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว แม้แต่กิ้งกือ เธอก็ยอมกินเพื่อประทังชีวิตโดยคิดเสียว่ากำลังกินกั้งจากทะเล
เธอได้ยินเสียงอึ่งอ่างร้อง ฮีง-ฮอง-ฮัง ชาวบ้านแปลความหมายว่า ‘ซลัญบอง’ หรือ ฉันรักเธอ
คืนวันที่ 12 มิถุนายน 2521 เวลาผ่านไป 3 ปี เธอยังอยู่ที่หมู่บ้านเมา จู่ ๆ คืนนี้กลายเป็นคืนสังหาร ทหารเขมรแดงสั่ง 19 ครอบครัวของหมู่บ้านนี้ จำนวนคนรวม 157 คน โดยหลอกว่าให้อพยพไปอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งให้ออกเดินทางตอนกลางคืน มีทหารแดงจำนวน 100 นายคุมขึ้นเกวียน 6 เล่ม แต่พวกเขาออกเดินทางเพียงครึ่งชั่วโมง เกวียนเปล่าก็ถูกพากลับมาถึงหมู่บ้านเมา
ตอนเช้า ทหารเอาจอบเสียมที่มีรอยเลือดและเส้นผมเป็นกระจุกมาคืนชาวบ้าน ชาวบ้านไม่รู้เหตุผลที่ทหารสั่งฆ่าคนกลุ่มนี้
ทำให้ยาสึโกะ นะอิโต เริ่มกลัวว่าจะถูกนำไปฆ่าทิ้งเหมือนกัน
เหตุการณ์ตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีข่าวลือว่าจะมีการสั่งประหารชีวิตครั้งที่ 2 -3 โดยจะเลือกพวกที่เป็นข้าราชการ
เพื่อนบ้านที่เหลืออยู่ตอนนี้ของเธอ คือ ครอบครัวของครูเรียงซึ่งเป็นชาวเขมร ครอบครัวนี้มาจากตำบลโทโมโปเคยมีฐานะดี
ครูเรียงชวนเธอให้หนีไปอยู่หมู่บ้านโทโมโปบ้านเดิมพวกเขา แล้วค่อยหาทางหนีไปชายแดนไทย
คืนหนึ่งเธอและครอบครัวครูเรียงพากันแอบหนีออกจากหมู่บ้านเมา ระหว่างทางโชคดีเจอทหารฝ่ายตรงข้ามเขมรแดง พวกเขาช่วยเหลือให้หลบซ่อนจากทหารเขมรแดง
แต่ระหว่างทางเธอตัดสินใจอยู่ที่เมืองศรีโสภณไม่ไปโทโมโป แยกทางจากครอบครัวครูเรียง
เมืองศรีโสภณซึ่งตอนนี้อยู่ในความดูแลของทหารเวียดนามที่อยู่คนละฝ่ายกับเขมรแดง
วันที่ 9 พ.ค. 2522 ครูเรียงมาเยี่ยมเธอที่เมืองศรีโสภณ เธอจึงฝากจดหมายขอความช่วยเหลือและรูปถ่ายไปกับครูเรียง
วันที่ 16 มิ.ย. 2522 มีคนมารับเธอพากลับประเทศญี่ปุ่น เธอนั่งรถจิ๊บทหารจากศรีโสภณไปยังเสียมเรียบ เพื่อจะขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกรุงพนมเปญ
นักข่าวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่อยู่ในประเทศไทยได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือของเธอ จึงประสานงานและออกตามหาเธอในประเทศกัมพูชา หลังจากเขมรแดงหมดสิ้นอำนาจ
ยาสึโกะกลับถึงกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2522
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงซึ่งบันทึกระหว่าง พ.ศ. 2518 ถึง พ.ศ. 2522
ตอนนั้น ฉันทำอะไรอยู่นะในช่วงสี่ปีที่ คุณยาสึโกะ นะอีโต กำลังตกระกำลำบากอยู่ชายแดนเขมรติดบ้านฉัน ถ้าฉันเป็นคุณยาสึโกะ นะอิโต ฉันคงเสียชีวิตตั้งแต่ปีแรกแล้ว
เคล็ดลับการรอดชีวิตของเธอ คือ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เธอไม่เลือกอาหารที่กิน
ตอนนั้นฉันกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ได้ยินข่าวนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวรุนแรงหนีเข้าป่าเพราะกลัวถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์ ฉันและเพื่อน ๆ ก็ถูกยุยงให้กลัวระบอบคอมมิวนิสต์เหมือนกัน
หลังอ่านหนังสือเล่มจบนี้ การได้เห็นคุณยาสึโกะ นะอิโต ต่อสู้เพื่ออยู่รอดตลอด 4 ปีในเหตุการณ์ทำให้ฉันมองเห็นคุณค่าของชีวิต รู้สึกซาบซึ้งกับชีวิตประจำวันธรรมดาและความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีในตอนนี้
และขอบคุณนักเขียนที่ทำให้เห็นว่าความโหดร้ายมีจริง แต่มันไม่สามารถทำร้ายคนที่มีจิตใจเข้มแข็งได้
และท้ายสุด รู้สึกขอบคุณชีวิตนี้ที่ได้เกิดมาในประเทศที่มีแต่ความสงบสุขมาตั้งแต่อดีต ไม่เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลลัทธิใด ไม่เป็นตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ไม่เคยมีผู้นำแบบสุดโต่งแบบประเทศอื่น ถือว่าเป็นประเทศที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง
รักเธอประเทศไทย 😘
อ้อยคราฟต์
โฆษณา