Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เนื้อติดมัน
•
ติดตาม
17 พ.ย. เวลา 01:00 • ข่าวรอบโลก
“สนามหลวง” ประวัติศาสตร์บ้านเมืองของคนไทย
ลานโล่งกว้างทางทิศเหนือของพระบรมมหาราชวัง ที่มีชีวิตและเรื่องราวที่น่าจดจำ ยาวนานมาหลายร้อยปี ตั้งอยู่ทางด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวังกับพระราชวังบวรสถานมงคล
🍃
เมื่อแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ พื้นที่แห่งนี้เป็นท้องทุ่ง มีสัณฐานคล้ายรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีพื้นที่เพียงครึ่งเดียวของสนามหลวงในปัจจุบัน
🍃
ท้องทุ่งแห่งนี้ถูกเรียกขานว่า “ทุ่งพระเมรุ” ด้วยเป็นสถานที่ประกอบพระเมรุมาศเพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ทรงศักดิ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า ตามแบบอย่างเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา
ทุ่งพระเมรุได้ใช้ในงานพระราชพิธีครั้งแรกในการถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิ สมเด็จพระชนกาธิบดี (ทองดี) พระปฐมบรมมหาชนกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1)
🍃
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ครั้งเกิดสงคราม "อานามสยามยุทธ" ระหว่างสยามกับเวียดนาม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการทำนาปลูกข้าวในพื้นที่ทุ่งพระเมรุ เพื่อข่มขวัญเวียดนามว่าสยามมีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์พร้อมทำศึก ขนาดในกำแพงเมืองยังปลูกข้าว อย่างไรเสีย กองทัพและชาวเมืองก็ไม่อดเสบียงแน่นอน
🍃
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกท้องทุ่งแห่งนี้เสียใหม่ว่า “ท้องสนามหลวง” ตามประกาศว่าด้วยท้องสนามหลวงและสนามชัย เมื่อปี 2398 ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า
ด้วยทรงเห็นว่า “ที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้น คนอ้างการซึ่งนานๆ มีครั้งหนึ่งแลเป็นการอวมงคล มาเรียกเป็นชื่อตำบลว่า ทุ่งพระเมรุ นั้นหาชอบไม่ ตั้งแต่นี้สืบไปที่ท้องนาหน้าวัดมหาธาตุนั้นให้เรียกว่า ท้องสนามหลวง”
🍃
ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงท้องสนามหลวงครั้งใหญ่ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ท้องสนามหลวงเกิดขึ้นด้วยการยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (ตำแหน่งมหาอุปราช) และแต่งตั้งมกุฎราชกุมาร ตามแบบอย่างการสืบสันตติวงศ์ในยุโรป จึงมีพระราชดำริว่า “...สถานที่ต่าง ๆ ในวังหน้าที่ไม่เป็นสิ่งสำคัญจะลงทุนบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใด ควรรักษาไว้แต่ที่เป็นสิ่งสำคัญ...”
🍃
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อป้อมเขื่อนเพ็ชรด้านตะวันออกของพระราชวังบวรสถานมงคลถึงบริเวณเขตพระราชฐานชั้นกลาง ปรับพื้นที่สนามม้าวังหน้าผนวกรวมเข้ากับพื้นที่ท้องสนามหลวง หากแต่การปรับปรุงยังคงค้างอยู่ ทำให้ท้องสนามหลวงในเวลานั้นมีรูปลักษณ์คล้ายกับผีเสื้อเป็นเวลานานกว่า 10 ปี
🍃
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากยุโรปในปี 2440 โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนราชดำเนิน และทรงให้ความเห็นชอบในคำกราบบังคมทูลของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้บังคับบัญชากรมโยธาธิการในขณะนั้น ที่ทรงเสนอให้ปรับปรุงพื้นที่ท้องสนามหลวง
โปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระราชวังบวรสถานมงคลเพิ่มเติมจากเดิมเข้าไปถึงพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน เพื่อขยายอาณาบริเวณของท้องสนามหลวงต่อไปทางทิศเหนือให้กว้างใหญ่ขึ้น พร้อมขยายพื้นที่ด้านทิศตะวันออก โดยผนวกพื้นที่ถนนจักรวรรดิวังหน้าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของท้องสนามหลวง ไปจนจรดถนนราชดำเนินใน และดำเนินการปรับรูปลักษณ์ของท้องสนามหลวงจากที่เคยมีลักษณ์คล้ายผีเสื้อให้เป็นรูปวงรี เป็นมุมโค้งมนสมมาตรกันทั้ง 4 ด้าน
🍃
การปรับปรุงในครั้งนั้นได้กำหนดให้มีการถมดิน เกลี่ยให้เรียบร้อยเสมอกัน ทำรั้วรอบสนามเป็นขอบเขต ใช้เวลาในการปรับปรุงทั้งสิ้น 6 เดือน จึงแล้วเสร็จ สิ้นค่าใช้จ่าย 12,810 บาท และได้พระราชทานค่าดูแลรักษาปีละ 700 บาท
🍃
โปรดเกล้าฯ ให้ปลูกต้นมะขามเรียงคู่เป็น 2 แถวรายรอบเพื่อความร่มรื่นสวยงาม การปลูกต้นไม้รอบสนามหลวงนี้ ได้แบบอย่างมาจากสนามที่เรียกว่า “Alun Alun” เหนือ-ใต้พระราชวังหรือ Kraton ของสุลต่านเมืองย็อกยาการ์ตาและเมืองโซโล ในเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกปรับปรุงให้สวยงามในช่วงเวลายุคอาณานิคม และในสมัยโบราณใช้สำหรับสุลต่านออกพระราชพิธีสนามเช่นเดียวกัน จึงนำแบบอย่างมาปรับปรุงสนามหลวงเป็นที่ประกอบพิธีหลวงมาโดยตลอด
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) นอกจากจะโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สนามหลวงเพื่อประกอบพระราชพิธีต่างๆ แล้ว ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นสนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ และสนามแข่งรถยนต์อีกด้วย
🍃
จากบทความของ อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ได้รวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์สนามหลวงไว้ ระบุว่า :
กลุ่มคนที่เคยมีบทบาทจัดกิจกรรมในท้องสนามหลวง ได้แก่สมาชิกแห่ง ‘สโมสรน้ำเค็มศึกษา’ ซึ่งเป็นกลุ่มข้าราชการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ไปศึกษาวิชาความรู้ ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อเดินทางกลับสยามจึงรวมตัวก่อตั้งสโมสรขึ้น ประธานสโมสรคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา ในยุคนั้น คำว่า ‘น้ำเค็ม’ ใช้เรียกกลุ่มคนที่เคยเดินทางไปเมืองนอกหรือต่างประเทศมาแล้ว นั่นเพราะการไปต่างประเทศจะต้องเดินทางรอนแรมไปกับเรือเดินสมุทรกลางท้องทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่น้ำเค็ม
🍃
ปลายปี 2440 มีการจัดงานมหกรรมที่สนามหลวง และสมาชิกแห่งสโมสรน้ำเค็มศึกษาได้จัดให้มีการแข่งม้าหน้าพระที่นั่งในสนามหลวง ถือเป็นการจัดแข่งม้าครั้งแรกของประเทศสยาม
🍃
ย้อนไปในปี 2425 เคยมีการจัดงานฉลองสมโภชพระนครครบรอบ 100 ปี สนามหลวงได้รับการบูรณะประดับตกแต่ง มีขบวนช้างม้าขบวนแห่แหนครึกโครม ทั้งยังเป็นพื้นที่จัดงานแสดงสินค้าแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก หรือ “National Exhibition” ระหว่างวันที่ 26 เมษายน ถึงวันที่ 1 มิถุนายน ทำให้มีคนนำข้าวของแปลกๆ และสินค้าต่างๆ เข้ามาร่วมจัดแสดง ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ กระทั่งชาวบ้านทั่วไป
🍃
บริเวณท้องสนามหลวงยังเคยจัดกิจกรรมหนึ่งที่เรียกว่า “ยุทธภูมิบุปผชาติ” หรือ “สงครามบุปผชาติ” สืบเนื่องจากในปี พ.ศ. 2442 สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถซึ่งไปเรียนวิชาการทหารที่รัสเซียเสด็จกลับสยามเป็นการชั่วคราว จึงมีการจัดงานรับเสด็จเมื่อวันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม ร.ศ. 118 ในงานนี้ได้ประดับประดาสนามหลวงงดงามวิจิตรพิสดาร พร้อมทั้งตกแต่งจักรยานสองล้อด้วยดอกไม้ แล้วให้เล่นขี่จักรยานขว้างปากระดาษสายรุ้งกัน เป็นการทำสงครามดอกไม้ที่รับอิทธิพลมากจากงานเทศกาลคล้ายๆ กันในทวีปยุโรป
🍃
เหตุการณ์สำคัญของสนามหลวงนั้น ได้เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมทางการเมืองเสมอมา นับตั้งแต่ทศวรรษ 2470 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในปี 2475 งานฉลองรัฐธรรมนูญ ครั้งแรกก็ได้จัดขึ้นที่สนามหลวงในวันที่ 10 ธันวาคม 2475
กิจกรรมที่เป็น ‘เสน่ห์’ ของสนามหลวงคือ ‘ไฮด์ปาร์ค’ สืบเนื่องจากในปี 2498 จอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศรอบโลกด้วยการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา และเมื่อกลับมายังเมืองไทยก็ได้นำเอาบรรยากาศประชาธิปไตยแบบที่เห็นในอังกฤษเข้ามา โดยเปิดให้ประชาชนปราศรัยแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีต่อสาธารณชนได้ที่สนามหลวง เรียกกันว่า ‘ไฮด์ปาร์ค’ มีที่มาจากชื่อของสวนสาธารณะ Hyde Park ในกรุงลอนดอนซึ่งคนมักไปชุมนุมปราศรัยทางการเมือง
🍃
บุคคลผู้ขึ้นกล่าวไฮปาร์คเวทีสนามหลวงมิได้จำกัดเฉพาะนักการเมือง นักคิดปัญญาชน หรือดาวไฮปาร์คขาประจำ แต่ใครๆ ก็มีสิทธิ์ขึ้นพูดอภิปรายปัญหาได้ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย กิจกรรมไฮด์ปาร์คดำเนินมาได้ราวๆ 1 ปี ก็มีอันต้องยกเลิกไปจากสนามหลวง เพราะมีการกล่าวโจมตีรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามหนักหน่วง
🍃
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 การพระราชพิธีต่างๆ เกี่ยวกับการศาสนาตกไปเป็นภารกิจของรัฐบาล พระราชพิธีซึ่งเคยถือปฏิบัติสืบต่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น พระราชพิธีสนามต่างๆ พระราชพิธีพิรุณศาสตร์ พระราชพิธีตรียัมพวาย พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ก็ถึงกับหยุดชะงักลง บางพระราชพิธีสูญสิ้นไป ไม่นำมาปฏิบัติต่อไปอีก และบางพระราชพิธีได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ โดยใช้ท้องสนามหลวงเป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญๆ
🍃
เช่น การฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นใหม่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี 2503 โดยกำหนดพระราชพิธีขึ้น ณ ท้องสนามหลวง
บทบาทที่หลายคนยังจดจำได้ดีคือ การเป็นที่ตั้งของ “ตลาดนัดสนามหลวง” ในปี 2491 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการทำมาหากินของประชาชน หลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 2484-2488) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นตลาดนัดสุดสัปดาห์ที่ใหญ่ที่สุด ก่อนจะย้ายไปยังสวนจตุจักรในปี 2525
นอกจากนี้ พื้นที่แห่งนี้ยังได้กำเนิดตลาดหนังสือสนามหลวงซึ่งเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 2500 ถือได้ว่าเป็นตลาดหนังสือแห่งแรกและแห่งเดียวของไทยในยุคนั้น แต่ละร้านมีหมายเลขประจำซุ้ม แบ่งชัดเจนว่าขายหนังสือประเภทใด และในฤดูว่าว ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ก็มีประเพณีแข่งว่าว ซึ่งผู้ใหญ่และเด็กต่างพากันมาเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน
ในมุมมืดของสนามหลวง นอกจากเป็นแลนด์มาร์คทางการเมือง ยังเป็นแหล่งรวมของ “คนจร” ทั้งที่เป็นคนไร้บ้าน (คนเร่ร่อน) และคนจากต่างจังหวัดที่มาทำธุระในกรุงเทพฯ แต่ไม่อยากเสียเงินแพงๆ ไปเช่าโรงแรมนอน ก็สามารถเช่าเสื่อนอนในบริเวณสนามหลวงได้ ไปจนถึง “ผีขนุน” หรือหญิง/ชายขายบริการทางเพศ ที่ออกมาหาลูกค้าในยามค่ำคืน
สนามหลวงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี 2520 การเข้ามาใช้พื้นที่ อันเป็นการกระทำผิดกฎหมาย อาจเข้าข่ายการบุกรุกโบราณสถานได้ นอกจากนี้ สนามหลวงยังอยู่ภายใต้ระเบียบกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการใช้ การบำรุง และการดูแลรักษาพื้นที่ท้องสนามหลวง อีกด้วย
🍃
ในปี 2553 สนามหลวงถูกใช้เป็นพื้นที่การชุมนุมซึ่งมีเป้าหมายในการโค่นรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และถูก “ล้อมรั้ว” ในปีเดียวกันเมื่อทาง กรุงเทพมหานคร (กทม.) ในยุคสมัยของผู้ว่าฯ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ลงมือจัดระเบียบอย่างจริงจัง ตั้งแต่การห้ามนำรถมาจอด ห้ามคนไร้บ้านอยู่อาศัย ส่วนผู้ค้าแผงลอยที่เคยมาอาศัยพื้นที่สนามหลวงค้าขายก็ได้รับคำแนะนำให้ไปหาพื้นที่ค้าขายในบริเวณใกล้เคียง
🍃
ในประเด็นเรื่องการห้ามใช้พื้นที่สนามหลวงนั้น เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมือง เคยเข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเสนอให้รัฐบาลเพิกถอนการขึ้นทะเบียนโบราณสถานสนามหลวง และยกเลิกระเบียบที่ไม่จำเป็นในการดูแลสนามหลวง โดยให้เปลี่ยนพื้นที่นี้เป็นสวนสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชน.
ข้อมูลจาก :
[1] หนังสือตำนานงานโยธา (2325-2556). สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร, 2557
[2]
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=3796201977082834&id=726502237386172&set=a.727308097305586
[3]
https://www.sarakadeelite.com/pic-talks/sanam-luang-in-the-past/
[4]
https://thematter.co/thinkers/sanam-luang-in-history/124112
[5]
https://lek-prapai.org/home/view.php?id=5327
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
เรื่องเล่า
บันทึก
2
3
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย