17 พ.ย. เวลา 23:53 • ประวัติศาสตร์

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง:EP.3 คนหิวโหยแห่งสมรภูมิ: แวร์เดิงและซอมม์

(The Hungry Men of the Battlefield: Verdun and the Somme)
ความตายที่เดินได้
ถ้าคุณเป็นทหารที่ถูกส่งเข้าสู่แนวรบด้านตะวันตก ในปีคริสตศักราช 1916...คุณจงรู้ไว้เถิดว่า คุณไม่ใช่ทหารที่กำลังจะไปสู้รบอีกต่อไป... แต่คุณคือ "คนหิวโหยแห่งสมรภูมิ"
คุณหิวโหย... ไม่ใช่แค่อาหาร... แต่คุณหิวโหย อากาศบริสุทธิ์ ที่ไม่มีกลิ่นแก๊สพิษและเนื้อเน่า... คุณหิวโหย ความเงียบ ที่ไม่มีเสียงปืนใหญ่ดังในโสตประสาท... และคุณหิวโหย ความยุติธรรม... เพราะคุณรู้ว่าคุณไม่ได้ต่อสู้เพื่อชัยชนะอีกแล้ว... คุณกำลังต่อสู้เพียงเพื่อ มีชีวิตรอดไปอีกหนึ่งชั่วโมง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งในตอนนี้... ไม่ใช่เรื่องราวของการเดินทัพอย่างรวดเร็วของกองทัพอีกต่อไป... แต่มันคือ สงครามแห่งความสิ้นเปลือง... ที่ซึ่งแม่ทัพนายกอง พยายามจะเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการ ฆ่าคนของฝ่ายตรงข้ามให้ตายมากกว่าคนของตนเอง... มันคือการแข่งกันว่าใครจะเหลือทหารยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย
และไม่มีสมรภูมิใด ที่จะแสดงให้เห็นถึงความบ้าคลั่งนี้ได้ชัดเจนเท่า แวร์เดิง และ ซอมม์
1: โรงบดเนื้อที่แวร์เดิง (Verdun: The Meat Grinder)
แวร์เดิง คือการเดิมพันที่บ้าบิ่นของกองทัพเยอรมันในปีคริสตศักราช 1916...
นายพล เอริค ฟอน ฟัลเคินไฮน์ เสนาธิการทหารบกเยอรมัน... ไม่เชื่อว่าเยอรมนีจะสามารถบุกทะลวงแนวรบได้... แต่เขาเชื่อว่าเขาสามารถ "ทำให้ฝรั่งเศสเลือดไหลจนหมดตัว" ได้
เป้าหมายของเขาไม่ใช่การยึดป้อมปราการแวร์เดิง... ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส... แต่เป็นการ บังคับให้ฝรั่งเศสส่งทหารมาปกป้องที่นี่เรื่อยๆ เพื่อให้ทัพเยอรมันสามารถ ฆ่า พวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟัลเคินไฮน์ ต้องการให้ "สมองของฝรั่งเศสแตก"
ยุทธการแวร์เดิงเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีคริสตศักราช 1916 และดำเนินไปตลอด สิบเดือน
เยอรมนีเริ่มต้นด้วยการระดมยิงปืนใหญ่... ที่หนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงตอนนั้น... มีการประมาณว่ากระสุนปืนใหญ่กว่า 40 ล้านลูก ถูกยิงเข้าสู่พื้นที่ขนาดเล็กนี้... มันทำให้แผ่นดินแวร์เดิงกลายเป็น ภูมิทัศน์ดวงจันทร์ ที่เต็มไปด้วยปล่องภูเขาไฟ... ไม่มีต้นไม้เหลืออยู่... ทุกอย่างกลายเป็นโคลนและซากศพที่ปนเปื้อน
ทหารฝรั่งเศสถูกส่งเข้าสู่ "โรงบดเนื้อ" นี้อย่างไม่ขาดสาย ผ่านเส้นทางลำเลียงเดียวที่เรียกว่า "ถนนศักดิ์สิทธิ์" (Voie Sacrée)
ที่แวร์เดิง... ทหารไม่ได้สู้รบกับมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น... แต่สู้กับ ความบ้าคลั่ง ที่รายล้อมพวกเขา... ทหารเยอรมันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน... พวกเขายังคงต้องรักษาพื้นที่ที่ยึดมาได้ภายใต้การโต้กลับอย่างรุนแรง...
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงที่นี่... ฝรั่งเศส สูญเสียทหารไปกว่า 377,000 นาย และ เยอรมนี สูญเสียไปกว่า 337,000 นาย... การแลกเปลี่ยนความสูญเสียเป็นไปตามที่ฟัลเคินไฮน์ต้องการ... แวร์เดิง ถูกยึดคืนมาได้... แต่ต้องแรกด้วยราคาที่ไม่อาจประเมินค่าได้…
2: บทเรียนที่ไม่ได้เรียนรู้ – ความหวังที่ซอมม์ (The Somme: Unlearned Lessons)
ในขณะที่ฝรั่งเศสกำลังจมดิ่งอยู่ที่แวร์เดิง... ฝ่ายพันธมิตร... โดยเฉพาะอังกฤษ... พยายามจะลดแรงกดดันด้วยการเปิดแนวรบใหม่
ในวันที่ 1 กรกฎาคมปีคริสตศักราช 1916... พวกเขาเปิดฉาก ยุทธการที่ซอมม์ (The Battle of the Somme)
นี่คือหนึ่งในเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญ และโง่เขลาที่สุดในประวัติศาสตร์การทหาร...
ทัพอังกฤษเชื่อว่าพวกเขาได้ทำทุกอย่างเพื่อรับประกันชัยชนะแล้ว... พวกเขาระดมยิงปืนใหญ่เข้าใส่แนวรบเยอรมันเป็นเวลา เจ็ดวันเต็ม... โดยมีการยิงกระสุนมากกว่า 1จุด5 ล้านลูก... นายพลอังกฤษเชื่อว่า การระดมยิงนี้ได้ทำลายลวดหนาม และทำลายสนามเพลาะของเยอรมนีจนหมดสิ้น
แต่ความจริงกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...
เมื่อการยิงปืนใหญ่หยุดลง... ทหารอังกฤษที่ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่เพิ่งได้รับการฝึกฝน... ก็ถูกสั่งให้ เดิน ข้ามพื้นที่ไร้ผู้คนอย่างช้าๆ... ในแถวที่ดูเป็นระเบียบ... เนื่องจากผู้บังคับบัญชาคิดว่าพวกเขาเพียงแค่เดินเข้าไปยึดพื้นที่ที่ว่างเปล่าแล้วเท่านั้น
แต่ปืนใหญ่ของอังกฤษส่วนใหญ่ ไม่สามารถทำลายลวดหนามของเยอรมันได้... และที่แย่กว่านั้น... ทหารเยอรมันได้ลงไปหลบอยู่ใน บังเกอร์ลึก ที่สร้างมาอย่างดี... เมื่อการยิงปืนใหญ่จบลง... ทหารเยอรมันก็รีบขึ้นมาประจำตำแหน่ง... พร้อมกับ ปืนกลหนัก ของพวกเขา
ใน วันแรก ของยุทธการที่ซอมม์... อังกฤษสูญเสียทหารไปกว่า 57,470 นาย... เป็นตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตต่อวัน สูงที่สุด ในประวัติศาสตร์ของกองทัพอังกฤษ... มากกว่า 19,000 นาย เสียชีวิตในวันเดียว...
ซอมม์ไม่ใช่ชัยชนะ... มันเป็น พิธีกรรมบูชายัญ ขนาดใหญ่ที่ดำเนินไปตลอดห้าเดือน... อังกฤษสูญเสียกว่า 420,000 นาย, ฝรั่งเศสสูญเสีย 200,000 นาย, และเยอรมนีสูญเสีย 465,000 นาย...
นี่คือบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุด: แม้จะรู้ว่าต้องเจอกับปืนกล... แต่แม่ทัพก็ยังสั่งให้ทหาร เดิน เข้าไปตาย
3: ความป่าเถื่อนของเทคโนโลยี – การทำลายความเป็นมนุษย์
ลองคิดถึงผลกระทบทางจิตวิทยาของอาวุธสมัยใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงสงครามนี้... มันได้ทำลาย ความหมาย ของการสู้รบไปอย่างสิ้นเชิง
ก๊าซพิษ (Poison Gas): คลอรีน, ฟอสจีน, มัสตาร์ด... พวกมันไม่ได้ถูกออกแบบมา
เพื่อชนะสงคราม... แต่เพื่อ สร้างความสยองขวัญ... เป็นอาวุธที่ไม่ได้ต้องการฆ่าอย่างรวดเร็ว... แต่ต้องการให้เหยื่อ ทรมานช้าๆ ด้วยการสำลักเนื้อปอดของตัวเอง... มันได้ทำลายข้อตกลงพื้นฐานของความขัดแย้ง... และความน่ากลัว ของมันก็หนักหน่วงยิ่งกว่าตัวอาวุธเอง...
รถถัง (The Tank): แม้ว่าจะเปิดตัวครั้งแรกที่ซอมม์ในปีคริสตศักราช 1916... แต่ในระยะแรกมันยังไม่มีประสิทธิภาพ... มันเป็นเพียงสัญญาณเตือน... ว่า ยุคของมนุษย์ในสนามเพลาะกำลังจะสิ้นสุดลง... แต่ในขณะนี้... มันยังไม่เร็วพอที่จะช่วยทหารที่กำลังจะตายได้...
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการสูญเสีย ตัวตน ของทหาร... พวกเขาไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงเรียงนามอีกต่อไป... พวกเขาเป็นเพียง ส่วนหนึ่งของสถิติ... ถูกขุดลงไปในหลุมศพหมู่ ที่เต็มไปด้วยโคลนและปูนขาว...
นักประวัติศาสตร์ชื่อ Paul Fussell เรียกสงครามครั้งนี้ว่า "การทำลายจินตนาการด้านโรแมนติก"... ทุกอย่างที่เคยสวยงามและมีเกียรติเกี่ยวกับการทำสงคราม... ได้ตายลงในสนามเพลาะ
บทสรุป: ความว่างเปล่าของความสูญเสีย
ตลอดทั้งปีคริสตศักราช 1916... มหาอำนาจยุโรปได้แลกเปลี่ยนชีวิตทหารไปหลายล้านคน... เพื่อแลกกับ ดินแดนที่วัดได้เพียงไม่กี่กิโลเมตร... ดินแดนที่ไม่มีใครอยากครอบครอง... เพราะมันเต็มไปด้วยกระสุนที่ยังไม่ระเบิด... และซากศพ
ที่แวร์เดิงและซอมม์... การต่อสู้จบลงด้วย ชัยชนะทางยุทธวิธีที่ไร้ความหมาย ของ
ฝ่ายพันธมิตร... แต่ในภาพรวมของสงครามแห่งความสิ้นเปลืองนี้... ทุกคนต่างก็ พ่ายแพ้...
ความสูญเสียเหล่านี้ ได้ทิ้งรอยแผลเป็นทางจิตวิญญาณไว้กับคนรุ่นนั้นอย่างลบไม่ออก... มันได้สร้าง "คนรุ่นที่หายสาบสูญ" (The Lost Generation)... ที่ซึ่งความเชื่อในพระเจ้า, ในรัฐบาล, ในเกียรติยศ, และในความรุ่งโรจน์ของมนุษย์ได้พังทลายลงไปพร้อมกับสนามเพลาะ
ซึ่งในตอนนี้... สงครามก็ยังคงดำเนินต่อไป... แม้ว่าโลกที่เคยรู้จักจะไม่เหลืออยู่แล้วก็ตาม...
และในตอนหน้า เราจะข้ามพรมแดนไปยัง แนวรบด้านตะวันออก ที่กว้างใหญ่ไพศาล... ซึ่งความตายมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน: ความหนาวเหน็บ, ความอดอยาก, และ การล่มสลายของจักรวรรดิ... โดยเฉพาะการมาถึงของปี 1917... ปีที่โลกของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จะพลิกผันอีกครั้งด้วยการถอนตัวของรัสเซีย และการเข้าสู่สงครามของอเมริกา…
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมักถูกมองว่า เป็นเรื่องของตัวเลขความสูญเสียที่ใหญ่โต... แต่คุณคิดไมว่าอะไรคือ สิ่งที่มนุษย์สูญเสียไปอย่างถาวร ในสนามเพลาะเหล่านั้น?
โฆษณา