20 พ.ย. เวลา 10:30 • ประวัติศาสตร์

🏛️ "คาลัคมุล" อาณาจักรงูยักษ์ที่หายสาบสูญ และสมบัติที่ถูกซ่อนไว้ใต้ปิรามิด

ในปี ค.ศ. 1931 (พ.ศ. 2473-2474) กลุ่มคนเก็บยางไม้เดินทางลึกเข้าไปในป่าทึบของเม็กซิโกเพื่อหาวัตถุดิบทำหมากฝรั่ง แต่สิ่งที่พวกเขาพบกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบครั้งสำคัญ นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันที่ร่วมเดินทางได้พบกับซากปรักหักพังอันยิ่งใหญ่ของนครมายาโบราณที่ถูกลืมเลือน ซึ่งซ่อนตัวอยู่กลางผืนป่าอันเงียบสงัด
นครแห่งนี้คือศูนย์กลางของราชวงศ์คานูล (Kaanul dynasty) หนึ่งในมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของชาวมายา ตั้งอยู่ลึกในคาบสมุทรยูคาทาน ใกล้ชายแดนเม็กซิโก-กัวเตมาลาในปัจจุบัน
ชาวมายาโบราณเรียกเมืองนี้ว่า Oxte’Tun หรือ “สถานที่แห่งศิลาสามก้อน” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อ แต่สะท้อนถึงแนวคิดจักรวาลวิทยาอันศักดิ์สิทธิ์ “ศิลาสามก้อน” หมายถึงเตาไฟสามเส้าแห่งการสร้างโลก จุดกำเนิดของจักรวาลและการก่อตั้งเมือง เป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงระหว่างความเชื่อและการจัดระเบียบสังคม
ปัจจุบัน เมืองนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ คาลัคมุล (Calakmul) ซึ่งแปลว่า “เนินเขาคู่” หรือ “เนินดินสองลูกที่อยู่ติดกัน” อันหมายถึงมหาพีระมิดคู่ที่ตั้งตระหง่านเป็นแกนกลางของเมือง โดยเฉพาะโครงสร้างที่ 2 (Structure II) พีระมิดที่สร้างขึ้นก่อนและเชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของภูเขาในตำนาน “Witz” ที่ชาวมายาเคารพบูชา เมื่อเวลาผ่านไป กษัตริย์แห่งคาลัคมุลได้ต่อเติมและขยายโครงสร้างนี้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและความรุ่งเรืองของอาณาจักร
🐍 คู่แค้นตลอดกาล: งูยักษ์ ปะทะ ทิคาล
คาลัคมุล อาณาจักรงูยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชาวมายา เข้าสู่ยุคทองในช่วงศตวรรษที่ 7 และครึ่งแรกของศตวรรษที่ 8 โดยเฉพาะภายใต้การปกครองของสองกษัตริย์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุค ยูคนูม เชน ที่ 2 (Yuknoom Cheen II) และผู้สืบทอด ยูคอม ยิชอัค คาค (Yukom Yich’ak K’ak’) ซึ่งเป็นที่รู้จักในพระนาม “อุ้งเท้าเสือจากัวร์” (Jaguar Paw) พระนามนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงราชวงศ์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งและอำนาจทางการเมือง
นครคาลัคมุลได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรกับนครรัฐเล็กๆ หลายแห่ง เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการคานอำนาจกับคู่แข่งตลอดกาลอย่างทิคาล (Tikal) ซึ่งตั้งอยู่ในกัวเตมาลาตอนเหนือ ความสัมพันธ์เหล่านี้ยังช่วยให้คาลัคมุลสามารถควบคุมเส้นทางการค้าสำคัญที่เชื่อมต่อทั้งแนวเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกของภูมิภาคเมโสอเมริกาได้
ชัยชนะในสงครามหลายครั้งทำให้คาลัคมุลถูกจารึกไว้ในฐานะมหาอำนาจที่สามารถเอาชนะทิคาลได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แล้วดุลอำนาจก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในปี ค.ศ. 695 (พ.ศ. 1238) กษัตริย์ “อุ้งเท้าเสือจากัวร์” นำทัพเข้าสู่สมรภูมิกับ กษัตริย์จาซอว์ ชาน คาวิอิล ที่ 1 (Jasaw Chan K’awiil I) แห่งทิคาล ผลลัพธ์คือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของคาลัคมุล ซึ่งถูกบันทึกไว้บนทับหลังไม้ในวิหารของทิคาล โดยจารึกระบุว่า กษัตริย์จาซอว์ “ได้โค่น ‘หินเหล็กไฟและโล่’ (flint-and-shield) แห่งยูคอม ยิชอัค คาคลงแล้ว”
🍂 ถูกป่ากลืนกิน: การล่มสลายและการปล้นสะดม
หลายศตวรรษหลังจากยุคทอง อาณาจักรแห่งงูยักษร์และจักรวรรดิมายาอันทรงพลังเริ่มเสื่อมถอยลง สงครามระหว่างนครรัฐทวีความรุนแรง ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอว่าอาจมีภัยแล้งครั้งใหญ่ที่ซ้ำเติมสถานการณ์ ความชอบธรรมทางการเมืองและศาสนาค่อยๆ จางหาย เมืองที่เคยรุ่งเรืองจึงถูกทิ้งร้างทีละแห่ง
หลักฐานชิ้นสุดท้ายของคาลัคมุลปรากฏในปี ค.ศ. 909 (พ.ศ. 1452) เมื่อมีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้น ก่อนที่นครแห่งนี้จะถูกป่าทึบกลืนกินและซ่อนเร้นอยู่อย่างเงียบงันนานกว่า 10 ศตวรรษ
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1931 (พ.ศ. 2473-2474) ไซรัส ลองเวิร์ธ ลันเดลล์ (Cyrus Longworth Lundell) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันที่เดินทางไปพร้อมกลุ่มชิเคิลรอส (chicleros) หรือคนเก็บยางไม้สำหรับทำหมากฝรั่ง ได้พบซากปรักหักพังของคาลัคมุลโดยบังเอิญ เขาไม่รู้เลยว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าซากของหนึ่งในอาณาจักรมายาที่ทรงพลังที่สุด
ลันเดลล์ได้จัดทำรายงานพร้อมภาพถ่ายและแผนที่ ส่งต่อไปยัง ซิลวานัส จี. มอร์ลีย์ (Sylvanus G. Morley) ผู้อำนวยการโครงการวิจัยของสถาบันคาร์เนกีแห่งวอชิงตันที่ชิเชนอิตซา ไม่นานหลังจากนั้น มอร์ลีย์ได้นำทีมสำรวจครั้งแรกเข้าสู่คาลัคมุล และประทับใจกับขนาดของเมืองและอนุสาวรีย์แกะสลักที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ในปี ค.ศ. 1934 (พ.ศ. 2477) มีการจัดคณะสำรวจอีกครั้ง นำโดย คาร์ล รัปเพิร์ต (Karl Ruppert) และ จอห์น เอช. เดนิสัน (John H. Denison) ซึ่งได้ร่างแผนผังโดยละเอียดฉบับแรกของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ขึ้น
แม้จะสร้างความประทับใจในช่วงแรก คาลัคมุลกลับไม่ได้รับการสำรวจอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นที่รู้จักเฉพาะในหมู่คนเก็บยางไม้เท่านั้น
สถานการณ์เลวร้ายลงในช่วงทศวรรษ 1960–1980 (พ.ศ. 2503-2532) เมื่อความต้องการโบราณวัตถุมายาเพิ่มสูงขึ้นในตลาดนักสะสมและพิพิธภัณฑ์ นครที่โดดเดี่ยวกลางป่าแห่งนี้จึงถูกปล้นสะดมอย่างหนัก ศิลาจารึก (stelae) ที่เคยอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์หลายชิ้น (ซึ่งบันทึกภาพราชวงศ์มายาในเครื่องอาภรณ์อันวิจิตรในวันขึ้นครองราชย์) ถูกเลื่อยออกไป เหลือเพียงด้านหลังที่ว่างเปล่าหรือมีรายละเอียดที่น้อยกว่า และบางชิ้นถูกทำลายด้วยการขีดเขียนจากนักท่องเที่ยว
🎨 สมบัติที่ซ่อนอยู่ และจิตรกรรมฝาผนัง
ในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) นักวิจัยชื่อ อีริก ฟอน ยูว์ (Eric von Euw) ได้เริ่มทำบัญชีจารึกและบันทึกรูปภาพบนอนุสาวรีย์ของคาลัคมุล แต่การขุดค้นเชิงระบบยังไม่เกิดขึ้นจริง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) ภายใต้การนำของนักโบราณคดี วิลเลียม เจ. โฟลาน (William J. Folan)
การพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับคาลัคมุลเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) เมื่อ รามอน การ์รัสโก วาร์กัส (Ramón Carrasco Vargas) เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าโครงการโบราณคดี ภายใต้การนำของเขา ทีมนักโบราณคดี นักบูรณะ และผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาได้ร่วมกันเปิดเผยภาพเมืองในยุครุ่งเรืองอีกครั้ง การค้นพบครั้งนั้นเผยให้เห็นทั้ง พีระมิดที่ทาสีสด, อาคารขนาดมหึมาที่สร้างซ้อนกัน, พระราชวัง, ศิลาจารึก, และ สุสานของกษัตริย์และราชินี ที่บรรจุสิ่งของล้ำค่าไว้ภายใน
หนึ่งในสิ่งที่สร้างความตื่นตะลึงมากที่สุดจากการขุดค้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา คือการค้นพบภาพจิตรกรรมฝาผนัง (murals) ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม ภายในโครงสร้างที่ 1 (Structure I) ในห้องที่ถูกปิดตาย ภาพเหล่านี้แสดงฉากชีวิตประจำวันที่มีชีวิตชีวา เช่น ผู้หญิงกำลังเตรียมอาหาร และ ผู้คนกำลังแลกเปลี่ยนสินค้า
สิ่งนี้ถือว่าหาได้ยากมากในศิลปะมายา เพราะส่วนใหญ่เน้นการแสดงภาพชนชั้นสูงและพิธีกรรมทางศาสนา การที่ภาพเหล่านี้ถูกฉาบปิดทับไม่นานหลังจากวาดเสร็จ ทำให้มันยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างงดงามและสมบูรณ์
👑 การค้นพบสุสาน 'อุ้งเท้าเสือจากัวร์'
ในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ทีมโบราณคดีที่นำโดยวาร์กัสได้ค้นพบสุสานที่ไม่ธรรมดาภายในโครงสร้างที่ 2 ของคาลัคมุล สุสานแห่งนี้ประกอบด้วยโลงศพไม้สีสันสดใส จารึกด้วยอักษรไฮโรกลิฟ และออกแบบเป็นโครงสร้างโค้งมนที่ชวนให้นึกถึงถ้ำศักดิ์สิทธิ์ในมหาพีระมิด ซึ่งชาวมายาเชื่อว่าเป็นประตูสู่ชีวิตหลังความตาย
ภายในสุสานพบโครงกระดูกของชายผู้ทรงอำนาจ ถูกห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์และผ้าหลายชนิด พร้อมเครื่องเซ่นสังเวยที่สะท้อนความมั่งคั่งและความเชื่อทางศาสนา เช่น หน้ากากหยกสำหรับงานศพ และภาชนะหรูหราหลายชิ้น บางชิ้นถูกสร้างขึ้นใน “สไตล์โคเด็กซ์” (codex style) ซึ่งเลียนแบบหนังสือกระดาษเปลือกไม้ที่เต็มไปด้วยอักษรไฮโรกลิฟและภาพประกอบ
แผ่นจารึกที่พบในสุสานระบุชัดเจนว่าผู้ครอบครองคือ ยูคอม ยิชอัค คาค หรือที่รู้จักกันในพระนาม “อุ้งเท้าเสือจากัวร์” กษัตริย์ผู้พ่ายแพ้ในสงครามครั้งสำคัญกับทิคาลเมื่อปี ค.ศ. 695 (พ.ศ. 1238)
ในปี ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) คาลัคมุลได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เพื่อยกย่องความสำคัญทั้งทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดโดยกองทัพเม็กซิโก ตำรวจ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า พร้อมระบบกล้องวงจรปิด เพื่อป้องกันการลักลอบขุดค้นและการตัดไม้ผิดกฎหมาย
🏡 บทเรียนจากการล่มสลายและการปล้นสะดม
เรื่องราวการล่มสลายและการถูกปล้นสะดมของ คาลัคมุล (Calakmul) อาณาจักรมายาโบราณในเม็กซิโก สะท้อนกลับมายังประวัติศาสตร์ไทยอย่างเจ็บปวด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับคาลัคมุลไม่ต่างจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ อยุธยา และอาณาจักรโบราณอื่นๆ ในภูมิภาคนี้
ทั้งคาลัคมุลและอยุธยาเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด ก่อนจะถูกทิ้งร้างและปล่อยให้ธรรมชาติเข้ามากลืนกิน แต่สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือการปล้นสะดมในยุคหลัง ที่ทำให้โบราณวัตถุซึ่งควรเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และรากเหง้าของชาติ ถูกกระจัดกระจายไปอยู่ในมือนักสะสมทั่วโลก
ศิลาจารึกที่ถูกเลื่อยออกไป เศียรพระที่ถูกตัด และโบราณวัตถุที่สูญหาย ล้วนเป็นเครื่องเตือนใจว่า การปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ แต่คือความรับผิดชอบร่วมกันของสังคมไทย เพื่อรักษา “ความทรงจำของชาติ” ไม่ให้สูญหายไปเหมือนที่คาลัคมุลเคยเผชิญ
💬 ชวนคิดชวนคุย
เรื่องราวการปล้นสะดมโบราณสถานอย่างคาลัคมุล (หรืออยุธยา) ทำให้คุณรู้สึกอย่างไรกับการที่เราเห็นโบราณวัตถุของชาติเราไปจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศบ้างครับ?
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Folan, W. J., et al. (2017). Calakmul: New Data from an Ancient Maya Capital in Campeche, Mexico. Latin American Antiquity. https://doi.org/10.2307/971834
2. Penn Museum. (2003–2012). Calakmul Epigraphic Research Project. University of Pennsylvania Museum of Archaeology and Anthropology. https://www.penn.museum/research/project.php?pid=8
3. UNESCO World Heritage Centre. (2002). Ancient Maya City and Protected Tropical Forests of Calakmul, Campeche. UNESCO. https://whc.unesco.org/en/list/1061/
4. Vance, E. (2016). In Search of the Lost Empire of the Maya. National Geographic Magazine. https://www.nationalgeographic.com/magazine/article/maya-empire-snake-kings-dynasty-mesoamerica
5. Owen, J. (2012). Tomb of Maya Queen Found—"Lady Snake Lord" Ruled Centipede Kingdom. National Geographic. https://www.nationalgeographic.com/adventure/article/121004-tomb-maya-warrior-queen-science-archaeology
6. Gibbens, S. (2017). Ancient Maya King Found in 'Centipede Dynasty' Tomb. National Geographic. https://www.nationalgeographic.com/history/article/ancient-maya-king-tomb-spd
7. Wikipedia contributors. (n.d.). Calakmul. In Wikipedia. https://en.wikipedia.org/wiki/Calakmul
🙏 สนับสนุนการสร้างสรรค์เนื้อหา
หากคุณชื่นชอบและอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพื้นที่ความรู้ดีๆ แบบนี้ สามารถสนับสนุนผมได้ผ่านช่องทาง...
โฆษณา