18 พ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ

เมื่ออาหารกลายเป็นยา

ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่าอาหารคือยากันมาบ้าง และในฐานะเภสัชกรที่เห็นคนไข้มาเยอะ ผมขอยืนยันเลยว่าจริง วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องอาหารที่ฮิตสุดๆ อย่าง "คีโตเจนิคไดเอท" (Ketogenic Diet) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "คีโต" ครับ
หลายคนรู้จักคีโตในฐานะเครื่องมือลดน้ำหนักที่ทรงพลัง แต่รู้ไหมครับว่า อาหารไขมันสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำชนิดนี้ ไม่ได้ส่งผลแค่รูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังส่งผลลึกซึ้งไปถึงสมองและสุขภาพจิตของเราด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Psychiatry ได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ (Systematic Review and Meta-analysis) เพื่อดูความเชื่อมโยงระหว่างคีโตเจนิคไดเอทกับอาการทางจิตเวช โดยเฉพาะอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลครับ ผลลัพธ์ที่ได้น่าสนใจมาก และผมจะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ
คีโตทำงานกับสมองเราได้อย่างไร?
ก่อนจะไปดูผลวิจัย ผมขอพาไปดูเบื้องหลังที่น่าทึ่งกันก่อนครับ ลองนึกภาพตามผมนะครับ ปกติสมองเราใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นน้ำมันหลักในการขับเคลื่อน แต่พอเราทำคีโต คือการจำกัดคาร์โบไฮเดรตอย่างเข้มงวด ร่างกายเราก็เหมือนรถที่น้ำมันหมดถังครับ ร่างกายที่แสนฉลาดจึงต้องหาเชื้อเพลิงสำรอง นั่นคือ "คีโตนบอดี้" (Ketone Bodies) ซึ่งเป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่ตับสร้างขึ้นมาแทน และนี่แหละครับคือจุดที่คีโตส่งผลต่อสมองเราแบบเต็มๆ
1. สมองได้ "น้ำมันเครื่องใหม่" ที่สะอาดกว่าคีโตนบอดี้ โดยเฉพาะ เบต้า-ไฮดรอกซีบิวทิเรต (Beta-hydroxybutyrate: BHB) ไม่ได้เป็นแค่เชื้อเพลิงสำรองนะครับ แต่มันคือน้ำมันเกรดพรีเมียมที่ช่วยให้โรงไฟฟ้าของเซลล์สมอง (ไมโทคอนเดรีย) ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมยังช่วยลดขยะหรือภาวะเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ที่เป็นตัวการทำให้เซลล์เสื่อมได้ด้วย
2. สวิตช์สงบและตื่นตัวในสมอง: BHB มีบทบาทคล้ายผู้คุมกฎในสมองครับ มันจะช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทสำคัญ 2 ตัว คือ GABA (ตัวที่ทำให้สมองสงบ ผ่อนคลาย) และ กลูตาเมต (Glutamate) (ตัวที่ทำให้สมองตื่นตัว) โดยมันจะช่วย เพิ่ม GABA และ ลดกลูตาเมต การปรับสมดุลนี้คล้ายกับการทำงานของยาที่ใช้รักษาโรคลมชักและอารมณ์แปรปรวนเลยนะครับ เหมือนร่างกายเรามียาธรรมชาติที่ช่วยให้ใจเรานิ่งขึ้น
3. ดับไฟในสมอง ทุกวันนี้เราทราบกันดีว่า การอักเสบในสมอง (Neuroinflammation) เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าและปัญหาทางจิตเวชอื่นๆ คีโตนบอดี้ก็เหมือน "นักดับเพลิง" ที่ทรงพลังครับ มันมีคุณสมบัติเป็น สารต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) ที่ช่วยลดการอักเสบในสมองได้ เมื่อไฟดับลง สมองก็ทำงานได้ดีขึ้น อารมณ์ก็ดีขึ้นตามไปด้วยครับ
จากงานวิเคราะห์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมข้อมูลจาก 50 การศึกษาและผู้เข้าร่วมกว่า 41,000 คน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นค่อนข้างชัดเจนในประเด็นของอาการซึมเศร้าครับ
• ภาพรวม: การวิเคราะห์แบบรวบรวมข้อมูล (Pooled analysis) จากการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (Randomized Clinical Trials: RCTs) พบว่า คีโตเจนิคไดเอทมีความสัมพันธ์กับการ ลดลงของอาการซึมเศร้าในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
• ยิ่งคีโตเข้มข้น ยิ่งเห็นผล: ผลลัพธ์จะยิ่งชัดเจนขึ้นในกลุ่มที่จำกัดคาร์โบไฮเดรตอย่างเข้มงวด (Very low-carbohydrate diets: คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 10% ของพลังงานรวม) โดยแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ใหญ่และมีนัยสำคัญในการช่วยให้อาการซึมเศร้าดีขึ้น
• การยืนยันทางชีวเคมีคือหัวใจ: สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ การศึกษาที่ มีการตรวจวัดระดับคีโตนในเลือด เพื่อยืนยันว่าผู้เข้าร่วมอยู่ในภาวะคีโตซิสจริง พบว่ามีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนและใหญ่กว่ามากในการช่วยลดอาการซึมเศร้า ซึ่งตอกย้ำว่าการเข้าสู่ภาวะคีโตซิสคือกุญแจสำคัญ ไม่ใช่แค่การลดคาร์โบไฮเดรตเฉยๆ
แต่สำหรับ "ความวิตกกังวล" ผลยังไม่ชัดเจนนัก
ในทางกลับกัน สำหรับ "ความวิตกกังวล" (Anxiety) นั้น ผลการวิเคราะห์จาก RCTs กลับพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญ ระหว่างคีโตเจนิคไดเอทกับการเปลี่ยนแปลงของอาการวิตกกังวล
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษาเชิงกึ่งทดลอง (Quasi-experimental studies) ก็ยังแสดงให้เห็นว่าอาการวิตกกังวลมีแนวโน้มดีขึ้นภายในกลุ่มที่ทำคีโต ซึ่งนักวิจัยระบุว่าอาจเป็นผลจากการทำตามโปรโตคอลอย่างเคร่งครัด หรืออาจมีอคติจากการออกแบบการศึกษาเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ผลลัพธ์สำหรับความวิตกกังวลยังคงผสมผสานและต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมครับ
ข้อควรระวังและคำแนะนำจากเภสัชกร
แม้ว่าผลวิจัยจะน่าตื่นเต้น แต่ในฐานะเภสัชกร ผมต้องย้ำว่า คีโตเจนิคไดเอทไม่ใช่ "ยาวิเศษ" ที่เหมาะกับทุกคนครับ
1. ปรึกษาแพทย์และเภสัชกรเสมอ: หากคุณกำลังรับประทานยาทางจิตเวช หรือมีโรคประจำตัว การเปลี่ยนรูปแบบการรับประทานอาหารครั้งใหญ่ เช่น การทำคีโต ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักโภชนาการอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลต่อระดับยาในเลือดได้
2. ความถูกต้องของข้อมูล: งานวิจัยนี้ไม่ได้สรุปว่าคีโตเจนิคไดเอทรักษาอาการซึมเศร้าได้ แต่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ และประโยชน์ในการช่วยลดอาการ ซึ่งอาจใช้เป็นทางเลือกเสริม (Adjunctive Therapy) ควบคู่ไปกับการรักษาหลัก เช่น การใช้ยาและการทำจิตบำบัด
3. ความสม่ำเสมอคือสิ่งสำคัญ: ผลวิจัยเน้นย้ำว่า การที่อาการซึมเศร้าดีขึ้นอย่างชัดเจนนั้น มักเกิดขึ้นเมื่อมีการยืนยันว่าร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิสจริง นั่นหมายความว่า การทำคีโตต้องทำอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
คีโตเจนิคไดเอทกำลังก้าวข้ามจากการเป็นแค่เทรนด์ลดน้ำหนัก ไปสู่การเป็นเครื่องมือทางโภชนาการที่มีศักยภาพในการดูแลสุขภาพสมองและจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ อาการซึมเศร้า
ท้ายที่สุด ในฐานะเภสัชกร ผมอยากจะบอกว่า นี่คือสัญญาณที่ดีมากๆ ที่แสดงให้เห็นว่าการดูแลตัวเองแบบองค์รวมไม่ได้มีแค่การกินยาตามหมอสั่งเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งที่เราเลือกใส่เข้าไปในร่างกายทุกวันด้วยครับ อาหารที่เรากินก็คือยาที่เราเลือกเอง
หากคุณกำลังสนใจเรื่องนี้ ผมขอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน และเริ่มต้นด้วยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อให้การเดินทางสู่สุขภาพที่ดีทั้งกายและใจของคุณเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ
อ้างอิง: "Reinhard Janssen-Aguilar et al, Ketogenic Diets and Depression and Anxiety, JAMA Psychiatry (2025). DOI: 10.1001/jamapsychiatry.2025.3261
โฆษณา