เมื่อวาน เวลา 06:33 • สิ่งแวดล้อม
เขื่อนสิริกิติ์

💙 EP3/6 — ทำไม “คลองบายพาสบางบาล–บางไทร” ต้องเกิดจริงในทศวรรษนี้

เพื่อน ๆ ครับ… ถ้า EP1/6 ทำให้เราเห็นว่า
“ปี 2568 คือปีที่ระบบทั้งหมดถูกทดสอบพร้อมกัน”
และถ้า EP2/6 ชี้ให้เห็นว่า
“เมือง–polder–คลองล่าง คือจุดที่แพ้น้ำมากที่สุด”
EP3/6 นี้จะทำให้เราเห็นสิ่งสำคัญสุดท้ายในระบบ:
“คลองบางบาล–บางไทร คือโครงสร้างล่างเพียงชิ้นเดียว
ที่สามารถลดแรงดันน้ำให้เจ้าพระยา–อยุธยา–ปทุม–นนทบุรี–กทม. ได้จริง”
ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก
แต่ด้วยข้อมูลกราฟ–พายุ–ภูมิประเทศ–ไฮดรอลิกส์–ภาคประชาชน
แบบที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาต้องการมาหลายทศวรรษ
🟦 1) คลองบางบาล–บางไทร คือ “ท่อหลัก” ของการระบายน้ำจาก C2/C13 ลงสู่อ่าวไทย
พื้นที่บางบาล–บางไทรตั้งอยู่ในตำแหน่ง “คอคอดของเจ้าพระยา”
เป็นจุดที่
ลุ่มน้ำแบน
น้ำไหลช้า
รองรับน้ำจาก 30 ลุ่มน้ำย่อย
เป็นจุดรวม side-flow ที่มากถึง 75% ในปี 2568
จุดนี้คือ Hydraulic Bottleneck ของทั้งลุ่มน้ำ
ถ้าไม่มีคลองบายพาส
น้ำจาก C2 (นครสวรรค์) และ C13 (สิงห์บุรี–อ่างทอง)
จะเข้าสู่ช่วงน้ำกดน้ำที่ยาวขึ้นทุกปี
ทำให้ระดับน้ำเมืองล่างสูงขึ้น “แม้เขื่อนบนจะช่วยเต็มที่แล้ว”
🟩 2) ปี 2568 ยืนยันชัดว่า bottleneck อยู่ตอนล่าง ไม่ใช่ที่เขื่อน
ดูจาก 6 พายุปีนี้:
พายุลูก 1–5 = เติมน้ำตอนบน
พายุลูก 6 “คัลแม๊ก” = เทน้ำลงล่างโดยตรง
ผลคือ
น้ำล่างพุ่ง 75% ใน 48 ชั่วโมง
และทำให้ระดับเจ้าพระยาสูงถึงจุดที่
ประตูน้ำเปิดไม่ได้
คลองล่างไหลออกช้ากว่าปกติ
Polder เมืองต้องรับแรงต้านทั้งสองด้าน
สถานีสูบต้องทำงานต่อเนื่อง
เมืองล่างระบายออกแทบไม่ได้เลย
นี่คือรูปแบบน้ำท่วมยุคใหม่:
น้ำล้นล่าง แม้เขื่อนบนไม่ใช่สาเหตุ
คลองบางบาล–บางไทรคือ โครงสร้างเดียวที่รับน้ำตอนล่างไปลงอ่าวได้เร็วที่สุด
🟧 3) คลองใหม่จะช่วย “ตัดยอดน้ำ” ช่วงพายุต่อเนื่องแบบปี 2568
ในปีนี้ น้ำจากพายุลูกที่ 4–5–6 (รากาซา–บัวลอย–คัลแม๊ก)
เข้ามาต่อเนื่องในช่วง 23 ก.ย.–9 พ.ย.
น้ำหลากจากพื้นที่ทุ่ง—คลอง—ลุ่มน้ำย่อย
ไหลลงเจ้าพระยาแบบ “ไม่มีที่พัก”
คลองใหม่สามารถทำงานได้แบบนี้:
✔ ลดระดับน้ำสูงกว่าตลิ่งในอยุธยา 10–30 ซม.
เป็นความต่างของ “ประตูน้ำเปิดได้” กับ “เปิดไม่ได้”
✔ เร่งระบายน้ำจาก C13 ลงแม่น้ำได้ 300–500 ลบ.ม./วินาที
หมายถึงลดเวลาท่วมจาก 10 วัน เหลือ 4–6 วัน
✔ ลดแรงดันที่จะกดกลับเข้าสู่ปทุม–นนท์–กทม.
คือช่วยกทม.โดยตรง แม้จะอยู่เหนือขึ้นมาเป็นร้อยกิโลเมตร
✔ ช่วยให้ Polder อยุธยาทำงานได้เร็วขึ้น
ไม่ต้องปิดประตูนานจนคนด้านนอกเดือดร้อน
➡️ คลองนี้ทำหน้าที่เหมือน “ปอดของลุ่มน้ำ”
ที่ช่วยหายใจในช่วงพายุต่อเนื่อง
🟨 4) คลองบายพาสบางบาล–บางไทร = ฟื้น floodplain ธรรมชาติที่หายไป
ย้อนดูข้อมูลใช้ที่ดิน 30 ปีหลังสุด:
ทุ่งรับน้ำหายไป 6–8 แสนไร่
ถนน–ทางด่วน–หมู่บ้านตัดทางน้ำหลายสาย
คลองตื้นเขินกว่า 20–40%
โรงงานและนิคมขยายเต็มพื้นที่ลุ่มต่ำ
floodplain ธรรมชาติที่เคยทำหน้าที่ “พักน้ำก่อนเข้าสู่แม่น้ำใหญ่”
วันนี้หายไปแล้ว
คลองใหม่จะทำหน้าที่ แทน floodplain ที่สูญหาย
ด้วยคุณสมบัติ:
✔ เป็นพื้นที่รับน้ำกว้าง
✔ รับน้ำล้นตลิ่ง
✔ เป็นจานพักน้ำก่อนเข้าคลองหลัก
✔ ลดแรงน้ำไปที่เมือง
✔ ทำให้ปริมาณน้ำเข้าสู่เจ้าพระยา “เรียบลง”
🟥 5) ถ้าไม่มีคลองใหม่ เมืองล่างจะเสียเปรียบขึ้นทุกปี
นี่คือข้อเท็จจริงจากข้อมูล 2568:
● ฝนตอนล่างมาเร็วขึ้น 2–4 สัปดาห์
● side-flow เพิ่มขึ้น 30–50%
● backwater effect รุนแรงขึ้นเพราะน้ำทะเลหนุน
● ประตูน้ำล่างออกแบบตามสภาพอากาศ 30–40 ปีก่อน
● การขยายเมืองรุก floodplain มากขึ้น
ผลลัพธ์คือ
ปี 2570–2580 เมืองล่างจะรับน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้เขื่อนใหญ่จะทำงานดี
คลองใหม่จึงไม่ใช่ “ความอยากทำของหน่วยงาน”
แต่เป็น “ความจำเป็นของระบบ”
⭐ บทสรุป EP3/6 — คลองบางบาล–บางไทร คือโครงสร้างที่ทำให้ลุ่มน้ำไทยมีอนาคต
ปี 2568 ทำให้เราเห็นชัดว่า:
✔ เขื่อนช่วยซื้อเวลา
✔ เมืองล่างคือจุดแพ้น้ำ
✔ พื้นที่รับน้ำลดลง
✔ ประตูน้ำล่างตันเร็ว
✔ พายุต่อเนื่องทำระบบล้น
✔ ฝนล่าง 75% ควบคุมไม่ได้
ดังนั้น
คลองบางบาล–บางไทร คือ “กุญแจ” ที่ทำให้ภาคล่างปลอดภัย
และทำให้ทั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยากลับมา “หายใจได้” ในยุค climate extreme
ถ้าจะมีโครงสร้างหนึ่งที่ประเทศควรทำใน 10 ปีนี้
ผมเชื่อว่า…
ต้องเป็น “คลองบายพาสบางบาล–บางไทร” ครับ
โฆษณา