22 พ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ผมแข็งแรงดี ไม่มีความเสี่ยง... คุณมั่นใจแค่ไหน

สวัสดีครับ พบกับผมเภสัชกรเวชกันอีกครั้ง วันนี้ผมจะมาคุยเรื่อง "ความเสี่ยง" ที่หลายคนอาจกำลังชะล่าใจครับ
เชื่อไหมครับว่า มีคนจำนวนมากที่เดินเข้าโรงพยาบาลตรวจสุขภาพ แล้วหมอบอกว่า "คุณความเสี่ยงต่ำครับ ไม่ต้องกินยา กลับบ้านได้" แต่คล้อยหลังเพียง 2 วัน... เขากลับต้องถูกหามส่งห้องฉุกเฉินด้วยอาการ หัวใจวายเฉียบพลัน (Heart Attack)
ฟังดูเหมือนเรื่องสยองขวัญหรือฉากในหนังใช่ไหมครับ? แต่นี่คือเรื่องจริงที่ยืนยันโดยงานวิจัยล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับโลกอย่าง JACC Advances ปี 2025 นี้เอง
วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบภาษาชาวบ้านว่า ทำไมการตรวจคัดกรองแบบเดิมๆ ที่เราใช้กันอยู่ อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป และเราควรดูแลตัวเองอย่างไรครับ
กับดักของคำว่า "ความเสี่ยงต่ำ" และ "ไม่มีอาการ"
ปกติเวลาเราไปตรวจสุขภาพหัวใจ คุณหมอมักจะใช้ 2 วิธีหลักในการประเมินว่าเรามีโอกาสเป็นโรคหัวใจไหม
1. การคำนวณคะแนนความเสี่ยง (Risk Calculators): โดยเอาอายุ, เพศ, ความดัน, คอเลสเตอรอล, การสูบบุหรี่ ฯลฯ มากรอกใส่สูตรคำนวณ (ที่นิยมคือ ASCVD Risk Score)
2. การดูอาการ (Symptoms): ถามว่า "เจ็บหน้าอกไหม? เหนื่อยง่ายไหม?"
ถ้าคะแนนออกมาต่ำ และไม่มีอาการ เราก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "Low Risk" (ความเสี่ยงต่ำ) หมอก็จะบอกว่าสบายใจได้ ยังไม่ต้องกินยาลดไขมัน (Statin) ไม่ต้องตรวจอะไรเพิ่ม
แต่... งานวิจัยชิ้นนี้ตั้งคำถามตัวโตๆ ว่า "มันแม่นจริงเหรอ?"
ตัวเลขที่น่าตกใจ: คน "ความเสี่ยงต่ำ" เกินครึ่ง หัวใจวายโดยไม่รู้ตัว
คณะผู้วิจัยนำโดยคุณหมอ Anna S. Mueller ได้ทำการศึกษาคนไข้ 465 คนที่เพิ่งเกิดอาการหัวใจวายครั้งแรก (First Myocardial Infarction) โดยย้อนกลับไปดูข้อมูลของพวกเขา 2 วันก่อนที่จะเกิดเหตุ
ผลลัพธ์ที่ได้ทำเอาวงการแพทย์ต้องกุมขมับเลยครับ
🤯 เครื่องมือคำนวณความเสี่ยง 'พลาด' เป้า:
หากเราใช้เกณฑ์มาตรฐาน (ASCVD) ประเมินคนไข้เหล่านี้ก่อนเกิดเหตุ 2 วัน มีถึง 45% (เกือบครึ่ง) ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำหรือก้ำกึ่ง ซึ่งตามเกณฑ์แล้ว คนกลุ่มนี้ จะไม่ได้รับคำแนะนำให้กินยาลดไขมัน หรือตรวจหัวใจเพิ่มเติม
ยิ่งไปกว่านั้น หากใช้เครื่องมือคำนวณรุ่นใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า PREVENT (ที่คิดว่าจะแม่นยำกว่า) กลับกลายเป็นว่า 61% ของคนไข้ ถูกจัดเป็นกลุ่มความเสี่ยงต่ำ
😲 ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า:
เรามักคิดว่าก่อนหัวใจจะวาย ต้องมีอาการเจ็บหน้าอกนำมาก่อนเป็นเดือนๆ ใช่ไหมครับ? ผิดถนัดครับ... งานวิจัยพบว่า 60% ของคนไข้ ไม่มีอาการอะไรเลย จนกระทั่ง 48 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนหัวใจวาย
นั่นหมายความว่า คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตปกติ แข็งแรงดี เตะบอลได้ วิ่งได้ จนกระทั่ง "ตู้ม!" เกิดเรื่องขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? (The MI Paradox)
ในฐานะเภสัชกร ผมขออธิบายกลไกนี้ให้เห็นภาพง่ายๆ ครับ
เรามักเข้าใจผิดว่า หลอดเลือดหัวใจต้องตีบตันจนเกือบปิดสนิท (เหมือนท่อประปาตัน) เลือดถึงจะไปเลี้ยงหัวใจไม่ได้ แล้วถึงจะเกิดอาการหัวใจวาย
แต่ความจริงคือ "ระเบิดเวลา" ครับ
หัวใจวายส่วนใหญ่เกิดจาก คราบไขมัน (Plaque) ที่เกาะอยู่ที่ผนังหลอดเลือด มันอาจจะไม่ได้ก้อนใหญ่จนอุดตันทางเดินเลือด (ทำให้เราไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเวลาออกกำลังกาย) แต่คราบไขมันพวกนี้มัน "เปราะบาง" ครับ
วันดีคืนดี คราบไขมันนี้เกิด "ปริแตก" (Rupture) ร่างกายจะรีบส่งเกล็ดเลือดมาซ่อมแซมจนเกิดเป็นลิ่มเลือดขนาดใหญ่ไปอุดตันหลอดเลือดทันที นี่แหละครับคือสาเหตุที่ทำให้คนดูแข็งแรงๆ ล้มฟุบไปทันที โดยที่เครื่องมือคำนวณความเสี่ยงแบบเดิมๆ มองไม่เห็น
แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?
อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับนะครับ งานวิจัยนี้ไม่ได้บอกว่าเครื่องมือเดิมใช้ไม่ได้ผลเลย แต่มันบอกว่า "มันอาจจะไม่พอสำหรับทุกคน" โดยเฉพาะในคนที่อายุน้อย (ต่ำกว่า 66 ปี)
สิ่งที่งานวิจัยนี้และผมอยากแนะนำคือ
✍️ อย่ารอให้มีอาการ: จำไว้เลยครับว่า "ไม่มีอาการ ไม่ได้แปลว่าไม่มีโรค"
การตรวจที่ลึกขึ้นอาจจำเป็น งานวิจัยแนะนำว่า การใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น การตรวจหินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Calcium Score) หรือ CT Scan อาจช่วยให้เห็น "ตัวโรค" (คราบไขมัน) จริงๆ แทนที่จะมานั่งเดาความเสี่ยงจากอายุน้ำหนักส่วนสูง
เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเราจะเช็คสภาพรถ แทนที่จะดูแค่เลขไมล์ (การคำนวณความเสี่ยง) สู้เราเปิดฝากระโปรงดูเครื่องยนต์จริงๆ (CT Scan) เลยดีกว่าครับ
✍️ ปรึกษาแพทย์และเภสัชกร: หากคุณมีความกังวล หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ แม้ผลตรวจสุขภาพประจำปีจะบอกว่าปกติ ลองปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางดูว่า "ผมควรตรวจละเอียดเพิ่มเติมไหม?" หรือ "ผมควรเริ่มทานยาลดไขมันเพื่อป้องกันไว้ก่อนหรือไม่?"
บทสรุปจากเภสัชกร
บทความวิจัยชิ้นนี้เป็นเหมือนเสียงนาฬิกาปลุกที่เตือนให้เราตื่นจากความเข้าใจเดิมๆ ครับ การพึ่งพาแค่อายุและอาการเพื่อคัดกรองโรคหัวใจอาจทำให้เราพลาดโอกาสทองในการป้องกัน
การรู้เท่าทัน และตรวจพบรอยโรค (คราบไขมัน) ตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์และเภสัชกรวางแผนการรักษา จ่ายยา หรือปรับพฤติกรรมได้ทันท่วงที ก่อนที่ระเบิดเวลาลูกนั้นจะทำงาน
ดูแลหัวใจกันให้ดีนะครับ เพราะเรามีหัวใจแค่ดวงเดียว เปลี่ยนอะไหล่ไม่ได้ง่ายเหมือนรถยนต์ครับ
ด้วยความปรารถนาดีครับ
เอกสารอ้างอิง (References):
Mueller AS, Leipsic J, Tomey M, et al. Limitations of Risk- and Symptom-Based Screening in Predicting First Myocardial Infarction. JACC: Advances. 2025;4(12):102361.
Nurmohamed NS, et al. First myocardial infarction: risk factors, symptoms, and medical therapy. Eur Heart J. 2025.
Fuster V, et al. Influence of subclinical atherosclerosis burden and progression on mortality. J Am Coll Cardiol. 2024.
โฆษณา